ขอย้อนอดีตไปหน่อย
คือผมพอเริ่มทำงานไปเรียนไปก็เป็นภูมิแพ้ และเริ่มเป็นผิวหนังอักเสบหาสาเหตุไม่ได้ ก็หาหมอที่ รพ. ขอไม่บอกนะครับว่าชื่ออะไร หลายที่มาก ก็ได้แต่ยาสเตียรอยด์ ทาแล้วก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามปกติของการใช้ยา สเตียรอยด์ แต่มันก็กลับมาเป็นอยู่เรื่อย ๆ พออายุสัก 30-40 ก็ได้ทดสอบภูมิแพ้แบบเจาะเลือด และแบบสะกิดผิวหนังเพื่อหาสารกระตุ้น สรุปเจอเยอะเลย ไรฝุ่น แมลงสาบ ถั่วลิสง และอะไรอีกไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ซึ่งในระหว่างนั้น เคยรักษาแพทย์แผนไทยครับ
โอ้โห ศัพท์ที่เรียกกันคือมันกระทุ้งพิษ มันขึ้นเต็มตัวไปหมดเลย อดทนได้ระยะหนึ่งแล้วก็ไม่ไหวทรมานมากกกกก จนภรรยาสงสาร ก็เลยกลับมารักษาแบบแพทย์ปัจจุบันก็หนีไม่พ้น ยาสเตียรอยด์ เหมือนเดิมและก็ต้องทนเป็น ๆ หายไปอยู่
แล้วอยู่มาวันหนึ่งครับ ภรรยา ผมได้รู้จักกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งได้คุยกัน แล้วภรรยาก็เล่าเรื่องของผมให้ฟัง อาจารย์ท่านนั้นก็แนะนำให้ลองรักษากับแพทย์แผนไทยท่านหนึ่ง โดยบอกก้บภรรยาว่าไม่น่าจะรุ่นแรกกระทุ้งพิษออกมามาก ๆ เหมือนครั้งก่อนหรอก ภรรยาก็เลยบอกผม ผมก็ตกลงลองไปรักษากับคุณหมอท่านนั้น
วันนั้นที่ไปหาหมอประมาณเดือน ม.ค. - ก.พ. 66 ได้ คุณหมดตรวจอาการโดยเพียงดูที่ใบหน้า หัว และให้ถอดเสื้อ ดูด้านหน้าและด้านหลัง ดูที่หน้าแข้ง และก็บอกว่าป็นโรคไขกาฬ ในรายละเอียดเป็นศัพท์ทางแพทย์แผนไทย อ้างอิงถึง คำภีร์ตักศิลา อะไรประมาณนั้น แต่บอกถึงอาการที่เป็นอยู่ โดยผมยังไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร คุณหมอพูดยังไม่ได้จบ ผมกับภรรยามองตากัน เหมือนหมอรู้จักทุกอย่างที่เราป่วยมาเลย ตรงมากกกกกก และก็เล่าเรื่องโรคที่ผมเป็นอยู่มันเป็นเพราะอะไร (ตรงนี้ผมไว้จะพยายามนึกแล้วจะเขียนใน blog ให้อีกทีนะครับ) และจะรักษายังไง พอเล่าเสร็จก็จ่ายยาเป็นผงให้ชงดื่ม และก็จะมีตัวยาที่จะทำให้ถ่าย ด้วยในตัวยาผมขอยังไม่กล่าวถึงนะครับ แต่มีข้อห้ามเยอะมากกกกกกก ท่านอะไรลำบากมากที่กินไม่ได้ ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ใหญ่ ชา กาแฟ และอีกหลายอย่าง ผลจากการทานยาไปสักพักมันก็เริ่มมา เป็นผื่น เป็นตุ่ม เหมือนเดิมครับ ผ่านไปกี่เดือนผมจำไม่ได้และแต่ก็ลำบากอยู่ พอพบหมอคราวนี้เจอยาแรง คือต้องทานยาและต้องถ่ายทุกวันเป็นเวลา 22 วัน 7 วันแรกกินได้แต่ข้าวต้มและเกลือ ห้ามกินอย่างอื่นเลย ดื่มน้ำเกลือแร่ได้เพราะชดเชยที่ถ่ายออกไปอีก 15 วัน ดีหน่อยกินของต้ม ๆ ได้บ้างแต่เงื่อนไขก็เยอะอยู่ จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละครับ เดือนที่หนึ่งผ่านไปได้แต่ทรมานจริง ๆ มันเละไปทั้งตัว หน้ายังกับผีดิบเลยครับ ซอมบี้ ดีๆเลย เจ็บไปหมด พอไปพบหมอ โดนให้ท่านแบบเดิมอีกเดือนแทบตายยยยยยย 7วันแรกที่กินข้าวต้มไม่ไม่ลง แต่ปลาย ๆ เดือนอาการเริ่มดีขึ้นครับมันจะเหลือแค่ที่หัว ใบหน้าและศรีษะที่ยังออกอาการเละอยู่ หลังจากกลับมาทานยาปกติเหมือนช่วง ๆ แรก อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นแต่ยังคงเหลือที่ส่วนบนหัวเหมือนเดิมจนเดือน ม.ค. 67 ผมติดสินใจกินยาที่ต้องกินข้าวต้มอย่างเดียว เพราะจะได้หายเร็ว ๆ ครับ
ซึ่งจากที่รักษาตัวในแบบแผนแผนไทยกับหมดท่านนี้ผมไม่ได้ใช้ยาสเตียรอยด์เลย เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งไม่น่าเชื่อครับ แต่ผมยังไม่หายขาดยังคงรักษาอยู่จนวันนี้
ผมมาเล่าให้ฟังเพราะผมเชื่อว่าคนที่เจ็บป่วยแบบผมคงมีเยอะ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ บางทีเราก็ท้อ แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้ได้ดีครับ
https://familyray2023.blogspot.com/
แล้วผมจะค่อยเขียนใน blog ผมนะครับ
ทิ้งท้ายคือ ผมรักษาแพทย์แผนปัจจุบันผมเข้าใจว่าการรักษาคือการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะหมอไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดได้ว่าเกิดจากอะไร แต่จากที่ฟังหมอแพทย์แผนไทยที่ผมรักษาท่านบอกได้และตอนอธิบายก็อ้างอิงก็หลักการรักษาทำให้เห็นภาพเข้าใจได้ครับ แต่บางเหตุผลก็ดูเหมือนไม่น่าเชื่อถือเพราะพูดถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็นแต่ผมเชื่อนะครับ ถึงว่าจะไม่เคยเจอกับตัวเอง เพราะพ่อภรรยาเคยเล่าให้ฟังในสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ โดยทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะอะไร ครับ
เล่าเรื่องการรักษากับแพทย์แผนไทย (โรคผิวหนังอักเสบ)
คือผมพอเริ่มทำงานไปเรียนไปก็เป็นภูมิแพ้ และเริ่มเป็นผิวหนังอักเสบหาสาเหตุไม่ได้ ก็หาหมอที่ รพ. ขอไม่บอกนะครับว่าชื่ออะไร หลายที่มาก ก็ได้แต่ยาสเตียรอยด์ ทาแล้วก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามปกติของการใช้ยา สเตียรอยด์ แต่มันก็กลับมาเป็นอยู่เรื่อย ๆ พออายุสัก 30-40 ก็ได้ทดสอบภูมิแพ้แบบเจาะเลือด และแบบสะกิดผิวหนังเพื่อหาสารกระตุ้น สรุปเจอเยอะเลย ไรฝุ่น แมลงสาบ ถั่วลิสง และอะไรอีกไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ซึ่งในระหว่างนั้น เคยรักษาแพทย์แผนไทยครับ
โอ้โห ศัพท์ที่เรียกกันคือมันกระทุ้งพิษ มันขึ้นเต็มตัวไปหมดเลย อดทนได้ระยะหนึ่งแล้วก็ไม่ไหวทรมานมากกกกก จนภรรยาสงสาร ก็เลยกลับมารักษาแบบแพทย์ปัจจุบันก็หนีไม่พ้น ยาสเตียรอยด์ เหมือนเดิมและก็ต้องทนเป็น ๆ หายไปอยู่
แล้วอยู่มาวันหนึ่งครับ ภรรยา ผมได้รู้จักกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งได้คุยกัน แล้วภรรยาก็เล่าเรื่องของผมให้ฟัง อาจารย์ท่านนั้นก็แนะนำให้ลองรักษากับแพทย์แผนไทยท่านหนึ่ง โดยบอกก้บภรรยาว่าไม่น่าจะรุ่นแรกกระทุ้งพิษออกมามาก ๆ เหมือนครั้งก่อนหรอก ภรรยาก็เลยบอกผม ผมก็ตกลงลองไปรักษากับคุณหมอท่านนั้น
วันนั้นที่ไปหาหมอประมาณเดือน ม.ค. - ก.พ. 66 ได้ คุณหมดตรวจอาการโดยเพียงดูที่ใบหน้า หัว และให้ถอดเสื้อ ดูด้านหน้าและด้านหลัง ดูที่หน้าแข้ง และก็บอกว่าป็นโรคไขกาฬ ในรายละเอียดเป็นศัพท์ทางแพทย์แผนไทย อ้างอิงถึง คำภีร์ตักศิลา อะไรประมาณนั้น แต่บอกถึงอาการที่เป็นอยู่ โดยผมยังไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร คุณหมอพูดยังไม่ได้จบ ผมกับภรรยามองตากัน เหมือนหมอรู้จักทุกอย่างที่เราป่วยมาเลย ตรงมากกกกกก และก็เล่าเรื่องโรคที่ผมเป็นอยู่มันเป็นเพราะอะไร (ตรงนี้ผมไว้จะพยายามนึกแล้วจะเขียนใน blog ให้อีกทีนะครับ) และจะรักษายังไง พอเล่าเสร็จก็จ่ายยาเป็นผงให้ชงดื่ม และก็จะมีตัวยาที่จะทำให้ถ่าย ด้วยในตัวยาผมขอยังไม่กล่าวถึงนะครับ แต่มีข้อห้ามเยอะมากกกกกกก ท่านอะไรลำบากมากที่กินไม่ได้ ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ใหญ่ ชา กาแฟ และอีกหลายอย่าง ผลจากการทานยาไปสักพักมันก็เริ่มมา เป็นผื่น เป็นตุ่ม เหมือนเดิมครับ ผ่านไปกี่เดือนผมจำไม่ได้และแต่ก็ลำบากอยู่ พอพบหมอคราวนี้เจอยาแรง คือต้องทานยาและต้องถ่ายทุกวันเป็นเวลา 22 วัน 7 วันแรกกินได้แต่ข้าวต้มและเกลือ ห้ามกินอย่างอื่นเลย ดื่มน้ำเกลือแร่ได้เพราะชดเชยที่ถ่ายออกไปอีก 15 วัน ดีหน่อยกินของต้ม ๆ ได้บ้างแต่เงื่อนไขก็เยอะอยู่ จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละครับ เดือนที่หนึ่งผ่านไปได้แต่ทรมานจริง ๆ มันเละไปทั้งตัว หน้ายังกับผีดิบเลยครับ ซอมบี้ ดีๆเลย เจ็บไปหมด พอไปพบหมอ โดนให้ท่านแบบเดิมอีกเดือนแทบตายยยยยยย 7วันแรกที่กินข้าวต้มไม่ไม่ลง แต่ปลาย ๆ เดือนอาการเริ่มดีขึ้นครับมันจะเหลือแค่ที่หัว ใบหน้าและศรีษะที่ยังออกอาการเละอยู่ หลังจากกลับมาทานยาปกติเหมือนช่วง ๆ แรก อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นแต่ยังคงเหลือที่ส่วนบนหัวเหมือนเดิมจนเดือน ม.ค. 67 ผมติดสินใจกินยาที่ต้องกินข้าวต้มอย่างเดียว เพราะจะได้หายเร็ว ๆ ครับ
ซึ่งจากที่รักษาตัวในแบบแผนแผนไทยกับหมดท่านนี้ผมไม่ได้ใช้ยาสเตียรอยด์เลย เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งไม่น่าเชื่อครับ แต่ผมยังไม่หายขาดยังคงรักษาอยู่จนวันนี้
ผมมาเล่าให้ฟังเพราะผมเชื่อว่าคนที่เจ็บป่วยแบบผมคงมีเยอะ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ บางทีเราก็ท้อ แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ เป็นกำลังใจให้ได้ดีครับ
https://familyray2023.blogspot.com/
แล้วผมจะค่อยเขียนใน blog ผมนะครับ
ทิ้งท้ายคือ ผมรักษาแพทย์แผนปัจจุบันผมเข้าใจว่าการรักษาคือการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะหมอไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดได้ว่าเกิดจากอะไร แต่จากที่ฟังหมอแพทย์แผนไทยที่ผมรักษาท่านบอกได้และตอนอธิบายก็อ้างอิงก็หลักการรักษาทำให้เห็นภาพเข้าใจได้ครับ แต่บางเหตุผลก็ดูเหมือนไม่น่าเชื่อถือเพราะพูดถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็นแต่ผมเชื่อนะครับ ถึงว่าจะไม่เคยเจอกับตัวเอง เพราะพ่อภรรยาเคยเล่าให้ฟังในสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ โดยทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะอะไร ครับ