เรื่องมีอยู่ว่า พ่อเราเป็นเส้นเลือดตีบในสมองที่เส้นเลือดฝอยค่ะ เข้ารับการรักษาด้วยประกันสังคม ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหงค่ะ เรารู้สึกว่าเราโดนหมอคนนึงปิดกั้นทางเลือกในการรักษาค่ะ
เราขอนามสมมติให้หมอคนดังกล่าวเป็นหมอ A นะคะ ตอนหมอ A มาตรวจเขาเริ่มด้วยการว่าคนในบ้าน ว่าเขาเคยเจอพ่อเราตอนมาตรวจร่างกายว่ามาคนเดียว และถามคนในบ้านว่ารู้ไหมว่ามีคุณพ่อป่วย หรือมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง พวกเราก็ตอบค่ะ แล้วก็บอกว่าความดัน เบาหวาน ไขมัน ปกติ (เพราะผลตรวจล่าสุดออกมาเป็นปกติ )แต่หมอบอกว่าโรคประจำตัวเป็นทุกอย่างเลย ซึ่งอันนี้คือผลตรวจที่หมอตรวจ ณ ตอนที่เข้าโรงพยาบาลแล้วซึ่งคนในบ้านไม่ทราบ เพราะหมอไม่ได้แจ้งเลย ส่วนเรื่องที่หมอบอกเห็นพ่อเรามาคนเดียว จริงๆแล้วครั้งนั้นพ่อเราไม่ได้มาคนเดียวค่ะ มากับคุณแม่ ส่วนพี่เราติดทำงานค่ะ เราก็อยู่หอ ซึ่งเรื่องนี้เราก็คิดว่าหลังจากนี้จะมาด้วยแล้วเพื่อมาช่วยกันฟัง
หลังจากครั้งนั้น เรากับพี่ก็จะเป็นคนไปฟังหมอ A ตลอด ช่วงที่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ก็มีญาติโทรมาบอกว่าอันไหนดี ทำยังไงถึงจะดี เราก็รับฟังค่ะ จนญาติพูดถึงยา สลายลิ่มเลือดซึ่งคือ ยาพลาวิกซ์ หรือ ทางการแพทย์เรียกว่า ยาคลอพิโดเกรล ว่ามันดี มีคนเป็นเหมือนกันแล้วไปหาที่โรงพยาบาลอื่นก็ได้ตัวนี้มาหลายคน เราจึงเก็บเรื่องยาจะไปปรึกษาหมอ A ค่ะ ตอนนั้นพี่เราพูดกับหมอไปแค่ว่า ขอสอบถามหน่อยค่ะ มียาตัวนึงจะขอถามว่า (สิ่งที่จะถาม ถ้าได้ถาม: “ยาคลอพิโดเกรลมันดีไหม และถ้าหมอบอกว่าดีกว่าก็จะถามถึงทางเลือกในการรักษาค่ะ ว่าสามารถซื้อยาตัวนี้ทานได้ไหม” ) แต่สิ่งที่หมอตอบมาก่อนที่จะพูดถึงยาตัวนี้คือ หมอบอกว่า อย่าทำให้การรักษาของหมอลำบาก อย่าไปฟังญาติให้มันมากนัก ทุกครั้งที่หมอ A พูดคือเขาไม่สบตาไม่มองหน้าเราเลย เขาประชดเราค่ะ แล้วหมอ A ก็พูดว่า มียาตัวนึงเป็นยาผีบอก ชื่อ cerebrolysin ไม่มีงานวิจัยรองรับว่าจะหาย โดสละหมื่นกว่า บางคนเป็นแสน บางคนก็หมดตัวกับตรงนี้ ถ้าตังเหลือจะลองก็ได้นะ (เรื่องยา cerebrolysin หลังจากที่หมอพูดเราก็ไปไล่อ่านงานวิจัย หรือบทความที่มีคนพูดถึงแล้วค่ะ) แล้วสุดท้ายหมอ A บอกว่า ถ้าอยากได้ตัวนี้ก็เอามาบอกที่เค้าน์เตอร์ เราเลยใจเสียหน่อยๆว่า ที่หมอ A ทำการรักษาให้อันนี้คือมันเต็มที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หรือแค่เอาราคาถูกสุด
ซึ่ง ญาติที่เขาเป็นห่วงและคอยแนะนำเพราะคนใกล้ตัวเคยมีคนเป็นมาก่อน พี่เราเคยถ่ายรูปยาที่หมอAสั่งให้ ไปให้ญาติดูค่ะ แล้วมาทราบจากญาติทีหลังว่า ญาติได้นำไปให้หมอที่ศิริราชดูค่ะ เขาบอกว่ามันเป็นยาราคาถูกทั้งหมดเลย และยาคลอพิโดเกรลดีกว่า (เราลองไปหาข้อมูลดูแล้วค่ะ เรื่องข้อห้ามที่คลอพิโดเกรลห้ามกินกับยาลดกรด แต่พ่อเราไม่ได้กินยาลดกรด)
สุดท้ายหลังจากออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวต่อที่บ้าน หมอ A ก็ย้ายการรักษาจากที่พ่อเรารักษาโรคประจำตัวกับหมอคนอื่น ก็มาเป็นหมอ A หมดเลยค่ะ
ซึ่งเรื่องที่เราถามหมอถึงทางเลือกในการรักษาไม่ได้ ทำให้เป็นกังวลค่ะ ว่าถ้าสมมติว่ามีทางเลือกที่ดีกว่าที่เราสามารถเข้าถึงได้ แต่เราโดนปิดกั้น แล้วอาการมันจะดีขึ้นไม่ทัน เนื่องจาก อาการเส้นเลือกในสมองตีบ มีเวลา 6 เดือนแรกหลังจากเกิดอาการเท่านั้นที่จะมีโอกาสฟื้นฟูมากที่สุด แต่เราก็ไม่ได้มีทางเลือกมาก เราไม่สามารถย้านโรงพยาบาลได้ เพราะถ้าย้านโรงพยาบาล มันจะเหลือแต่ที่ไกลๆและถึงเวลาจริงจะไปไม่สะดวกค่ะ
คือเราไม่รู้จะทำยังไง ถามหมอ ก็ถามไม่ได้ กลัวพูดไปจะมีผลกับการรักษา กลัวเขารักษาไม่ดีเอาอารมณ์ไปลงค่ะ
หมอประชดเรา เราควรทำยังไงคะ
เราขอนามสมมติให้หมอคนดังกล่าวเป็นหมอ A นะคะ ตอนหมอ A มาตรวจเขาเริ่มด้วยการว่าคนในบ้าน ว่าเขาเคยเจอพ่อเราตอนมาตรวจร่างกายว่ามาคนเดียว และถามคนในบ้านว่ารู้ไหมว่ามีคุณพ่อป่วย หรือมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง พวกเราก็ตอบค่ะ แล้วก็บอกว่าความดัน เบาหวาน ไขมัน ปกติ (เพราะผลตรวจล่าสุดออกมาเป็นปกติ )แต่หมอบอกว่าโรคประจำตัวเป็นทุกอย่างเลย ซึ่งอันนี้คือผลตรวจที่หมอตรวจ ณ ตอนที่เข้าโรงพยาบาลแล้วซึ่งคนในบ้านไม่ทราบ เพราะหมอไม่ได้แจ้งเลย ส่วนเรื่องที่หมอบอกเห็นพ่อเรามาคนเดียว จริงๆแล้วครั้งนั้นพ่อเราไม่ได้มาคนเดียวค่ะ มากับคุณแม่ ส่วนพี่เราติดทำงานค่ะ เราก็อยู่หอ ซึ่งเรื่องนี้เราก็คิดว่าหลังจากนี้จะมาด้วยแล้วเพื่อมาช่วยกันฟัง
หลังจากครั้งนั้น เรากับพี่ก็จะเป็นคนไปฟังหมอ A ตลอด ช่วงที่รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ก็มีญาติโทรมาบอกว่าอันไหนดี ทำยังไงถึงจะดี เราก็รับฟังค่ะ จนญาติพูดถึงยา สลายลิ่มเลือดซึ่งคือ ยาพลาวิกซ์ หรือ ทางการแพทย์เรียกว่า ยาคลอพิโดเกรล ว่ามันดี มีคนเป็นเหมือนกันแล้วไปหาที่โรงพยาบาลอื่นก็ได้ตัวนี้มาหลายคน เราจึงเก็บเรื่องยาจะไปปรึกษาหมอ A ค่ะ ตอนนั้นพี่เราพูดกับหมอไปแค่ว่า ขอสอบถามหน่อยค่ะ มียาตัวนึงจะขอถามว่า (สิ่งที่จะถาม ถ้าได้ถาม: “ยาคลอพิโดเกรลมันดีไหม และถ้าหมอบอกว่าดีกว่าก็จะถามถึงทางเลือกในการรักษาค่ะ ว่าสามารถซื้อยาตัวนี้ทานได้ไหม” ) แต่สิ่งที่หมอตอบมาก่อนที่จะพูดถึงยาตัวนี้คือ หมอบอกว่า อย่าทำให้การรักษาของหมอลำบาก อย่าไปฟังญาติให้มันมากนัก ทุกครั้งที่หมอ A พูดคือเขาไม่สบตาไม่มองหน้าเราเลย เขาประชดเราค่ะ แล้วหมอ A ก็พูดว่า มียาตัวนึงเป็นยาผีบอก ชื่อ cerebrolysin ไม่มีงานวิจัยรองรับว่าจะหาย โดสละหมื่นกว่า บางคนเป็นแสน บางคนก็หมดตัวกับตรงนี้ ถ้าตังเหลือจะลองก็ได้นะ (เรื่องยา cerebrolysin หลังจากที่หมอพูดเราก็ไปไล่อ่านงานวิจัย หรือบทความที่มีคนพูดถึงแล้วค่ะ) แล้วสุดท้ายหมอ A บอกว่า ถ้าอยากได้ตัวนี้ก็เอามาบอกที่เค้าน์เตอร์ เราเลยใจเสียหน่อยๆว่า ที่หมอ A ทำการรักษาให้อันนี้คือมันเต็มที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หรือแค่เอาราคาถูกสุด
ซึ่ง ญาติที่เขาเป็นห่วงและคอยแนะนำเพราะคนใกล้ตัวเคยมีคนเป็นมาก่อน พี่เราเคยถ่ายรูปยาที่หมอAสั่งให้ ไปให้ญาติดูค่ะ แล้วมาทราบจากญาติทีหลังว่า ญาติได้นำไปให้หมอที่ศิริราชดูค่ะ เขาบอกว่ามันเป็นยาราคาถูกทั้งหมดเลย และยาคลอพิโดเกรลดีกว่า (เราลองไปหาข้อมูลดูแล้วค่ะ เรื่องข้อห้ามที่คลอพิโดเกรลห้ามกินกับยาลดกรด แต่พ่อเราไม่ได้กินยาลดกรด)
สุดท้ายหลังจากออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวต่อที่บ้าน หมอ A ก็ย้ายการรักษาจากที่พ่อเรารักษาโรคประจำตัวกับหมอคนอื่น ก็มาเป็นหมอ A หมดเลยค่ะ
ซึ่งเรื่องที่เราถามหมอถึงทางเลือกในการรักษาไม่ได้ ทำให้เป็นกังวลค่ะ ว่าถ้าสมมติว่ามีทางเลือกที่ดีกว่าที่เราสามารถเข้าถึงได้ แต่เราโดนปิดกั้น แล้วอาการมันจะดีขึ้นไม่ทัน เนื่องจาก อาการเส้นเลือกในสมองตีบ มีเวลา 6 เดือนแรกหลังจากเกิดอาการเท่านั้นที่จะมีโอกาสฟื้นฟูมากที่สุด แต่เราก็ไม่ได้มีทางเลือกมาก เราไม่สามารถย้านโรงพยาบาลได้ เพราะถ้าย้านโรงพยาบาล มันจะเหลือแต่ที่ไกลๆและถึงเวลาจริงจะไปไม่สะดวกค่ะ
คือเราไม่รู้จะทำยังไง ถามหมอ ก็ถามไม่ได้ กลัวพูดไปจะมีผลกับการรักษา กลัวเขารักษาไม่ดีเอาอารมณ์ไปลงค่ะ