ขอเกริ่นก่อนว่าเราโตมาในครอบครัว ที่พ่อแม่ครบ ตอนเด็กค่อนข้างอบอุ่น ถึงเราจะอยู่กับครอบครัวแค่ช่วงสั้นๆ (เพราะแม่เชื่อเรื่องดวงมาก เรากับน้องคนเล็กชงกัน เราเลยต้องไปอยู่ไกลๆ) แต่ก็ยังโทรปรึกษาและคุยกันได้ทุกเรื่อง
ถ้าถามว่ามันมีปมในใจบ้างมั้ย ก็มีค่ะ... เวลาที่กลับบ้านแล้วทะเลาะกับน้อง ทุกครั้งที่แม่เข้าข้างน้อง เราคิดมาตลอดว่าเพราะเขาอยู่ด้วยกันทุกวัน เลยมีความผูกพันมากกว่า ส่วนเราออกมาโตข้างนอก สิ่งที่เค้าให้ก็เป็นค่าหอและค่าเทอมแทน
เราเรียนไกลบ้านยาวๆ (แต่ก็ยังโทรคุยกันเกือบทุกวัน ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ห่างเหินจนเกินไป) หลังจบ ป.โท ก็ได้มีโอกาสกลับไปทำงานใกล้บ้าน เงินเดือนหลักหมื่นต้นๆ พอมีเงินให้พ่อแม่เดือนละนิดละหน่อย ทุกครั้งที่ให้ ไม่ว่าเท่าไหร่เค้าก็ดีใจ
ทำงานได้ 2 ปี น้องคนกลางถามว่ายังอยากเรียนหมออยู่มั้ย ด้วยความที่อายุมาก ความรู้ ม.ปลายก็ผ่านมานาน จะอ่านเองก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เลยขอที่บ้านลงคอร์สติวสอบ เค้าบอกว่าอ่านเองก็ได้ ตอนนั้นก็ทำใจไว้แล้วว่าอาจจะสอบไม่ผ่าน แต่ก็พยายามจัดเวลาอ่านเต็มที่ กับ 4 เดือนที่เหลือ
ปรากฏว่าคะแนนผ่านเกณฑ์ แต่ติด ม.เอกชน ค่าเทอมก็เลยค่อนข้างสูง (รวมแล้ว 6 ปี ประมาณ 3 ล้าน) ไหนๆก็สอบผ่านที่บ้านเลยตัดสินใจว่าจะช่วยกันส่ง แล้วตกลงกันไว้ว่าถ้าทำงานจะให้เงินเดือนคนละ 1 หมื่น (4 คนก็ 4 หมื่น)
เรียนจบปุ๊บ ไม่ต้องใช้ทุน เลยเลือกทำงานเอกชน เงินเดือน 1 แสนต้นๆ พอที่บ้านรู้ก็เลยขอให้ส่งกลับเดือนละ 1 แสน (บัณฑิตใหม่ไฟแรง ครอบครัวส่งเรียนมา ก็อยากตอบแทนให้สบาย เราตัวคนเดียวไม่ได้ใช้อะไรมาก ก็ส่งไปตามนั้น) แต่หลังจากส่งไปได้ 6 เดือน เพิ่งรู้ว่าต้องจัดการลดหย่อนภาษี (ประมาณปีละ 5 แสน) เลยขอต่อรอง ให้น้อยลงหน่อยได้มั้ย สุดท้ายจบที่เดือนละ 7 หมื่น
เงินส่วนนี้ยกหน้าที่ให้น้องคนกลางบริหาร เพราะเราไม่อยากยุ่งยากเรื่องการเบิกยิบย่อย (ช่วงแรกให้ไปเป็นแสนแล้วมีการขอเพิ่มอีกทีละ 2-3 หมื่น ซึ่งมันเกินขอบเขตไปมาก เราเลยบอกว่าเหมาจ่ายแล้ว บริหารให้พอ)
และมันก็ควรจะพอ เพราะจุดประสงค์หลักของเงินตรงนี้ มีไว้รับผิดชอบค่าประกันชีวิต+สุขภาพของทุกคน (จ่ายแบบรายปีก็ยังไหว แต่น้องเลือกจ่ายราย 6 เดือน ก็แล้วแต่เขาล่ะกัน)
เพราะฉะนั้น มันก็ต้องมีเงินบางส่วนที่เหลือเป็นเงินสำรองไว้ใช้สำหรับส่วนกลาง (ค่าใช้จ่ายส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะต้องลำบากตรงนี้ เพราะทุกคนมีเงินเดือน) แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น กลายเป็นว่าเงินส่วนนี้เป็นจุดแรกที่คนในบ้านนึกถึงเมื่ออยากได้เงินก้อน
สำหรับค่าซ่อมแซมบ้านที่อยู่มานาน 20 ปี อันนี้สมเหตุสมผลเพราะเป็นส่วนกลางจริงๆ (โปรเจ็คซ่อมเยอะมาก แต่มีพ่อที่เป็นคนมัธยัสถ์สกรีนให้ว่าโปรเจ็คไหนที่ไม่จำเป็น ก็ตัดออกไป)
แต่ค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากนั้นนี่สิ
ค่าท่องเที่ยวพ่อแม่ (นานๆทีก็ไม่ว่า ใช้เงินซื้อความสุขให้พ่อแม่บ้าง แต่บางเดือน 2-3 ทริป นี่ก็คิดว่ามันเยอะไป)
ค่าเดินทาง (ตั๋วเครื่องบินทิ้งๆขว้างๆ จองไว้บางทีไม่เดินทางก็มี)
ค่าติวสอบ (น้องมาขอ บอกว่าอยากเรียนหมอเหมือนกัน ถ้าเราไม่ให้ก็ใจดำเพราะเคยผ่านจุดที่อ่านเองมาแล้ว รู้ว่ามันหนัก ลำบากแค่ไหน แต่มาขอเรียน 2 รอบก็ไม่ไหวนะ ถ้าสอบปีที่แล้วไม่ผ่าน ก็ย้อนไปดูคลิปเดิมสิ)
ค่าซื้อของจิปาถะ แม้แต่เครื่องตัดหญ้า (ซื้อมาเพื่อ!!!) น้องบอกที่ดินเปล่าหญ้ามันขึ้น จะปลูกกล้วยลดภาษีที่ดิน (ค่าภาษีที่ดินปีละไม่ถึง 2 พัน เครื่องตัดหญ้าหลักหมื่นไปแล้ว)
ใช้เงินแบบนี้ แล้วก็บ่นตลอดว่าเงินไม่พอ กองกลางติดลบ ไม่รู้จะบอกว่ายังไง บริหารได้ล้มเหลวมากๆ ส่งมาเกือบ 3 ปี เงินตั้งเกือบ 3 ล้าน ใช้หลักๆแค่ 3 คน เราเป็นคนส่งยังแทบไม่ได้ใช้ (ตั๋วเครื่องบินกลับบ้านยังต้องจ่ายเองทุกครั้ง) แล้วที่สำคัญ ทุกคนมีเงินเดือน เดือนละตั้ง 4 หมื่นกว่า
แล้วก็ไม่รู้ว่าร้อนเงินกันขนาดไหน วันดีคืนดีก็โทรมาทวงเรา อย่างกับเราเป็นลูกหนี้ ทั้งที่เราโอนให้ทันทีที่เงินเดือนออก
ปกติเงินจะออกวันที่ 5 มีแค่บางเดือนบริษัทบอกว่าทำไม่ทัน แต่ก็ออกไม่เกินวันที่ 6
คืนวันที่ 5 จะเริ่มโทรมาถามแล้ว พอบอกว่าเงินจะออกพรุ่งนี้ ก็พาลไปด่าบริษัทอีกว่าไม่ตรงต่อเวลา (ตัวเองก็เป็นข้าราชการ บางเดือนติดเสาร์อาทิตย์ เงินเดือนก็เลื่อนไปวันธรรมดาไม่ใช่รึงัยห๊า!!!)
บางเดือนก็ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมา โทรมาทวงตั้งแต่วันที่ 25 (วันจ่ายเงินเดือนของที่ทำงานเก่า)
มันทำให้เราเครียดมาก เพราะทั้งชีวิตเราไม่เคยโดนทวงเงินซักครั้ง ทำไมต้องมาสัมผัสความรู้สึกลูกหนี้จากคนที่เรียกว่าครอบครัวด้วย
แล้วการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกวัน งานที่เราทำมันกดดันมาก เลยตัดสินใจลาออกมาทำ freelance ตอนที่ออกต้องจ่ายค่าสัญญา 5 แสน (ระหว่างทำงานมีการเทรน เพราะงั้นถ้าเบรคสัญญาก่อนครบกำหนดต้องจ่ายค่าปรับ ซึ่งเรายอมรับในตรงนั้น) เงินค่าปรับก็เป็นเงินเก็บของเราที่ฝากน้องเข้าสหกรณ์เอาไว้
งาน freelance ค่าตอบแทนจะไม่ได้เป็นเงินก้อน แต่คำนวณแล้วก็ยังพอส่งได้ เราเลยบอกที่บ้านไปว่าเดือนนี้จะทะยอยให้ สิ่งที่ถามกลับมามีแค่จะให้เท่าไหร่ ประมาณวันไหน เงินกองกลางไม่พอ แล้วประกันก็รอเรียกเก็บอยู่นะ
คือในวันที่เราสะดุด มีใครในครอบครัวห่วงเราบ้างมั้ย ไม่ถามเราซักหน่อยเหรอว่าเราติดปัญหาอะไรรึป่าว หรือเราจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญ เงินกองกลางเท่านั้นที่ฉุกเฉินเร่งด่วน
ความรู้สึกตอนนั้น ชาไปทั้งตัว เพิ่งรู้สึกว่าเรามีหน้าที่แค่หาเงินเข้าบ้าน เป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตเงิน
เกิดความสงสัยว่าทำไมครอบครัวไม่อบอุ่นเหมือนเดิม ตอนมีเงินใช้หลักหมื่นหลักพันยังมีความสุขกันกว่านี้ มีอะไรก็ช่วยกันฝ่าฟันทุกอย่าง นั่งช่วยแม่กรีดสายไฟเอาทองแดงไปขาย ได้ทำอะไรด้วยกันตั้งเยอะ
แต่ตอนนี้เหมือนเดินคนเดียว ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย พยายามเพื่ออะไร อดหลับอดนอนเพื่ออะไร รับงานเยอะๆจนติดเป็นนิสัย เห็นโอกาสรับงานเป็นไม่ได้ ถึงตั้งใจว่าวันนี้จะพักแต่ก็เสียดาย สุดท้ายก็รับ อีกซักนิด อีกซักนิด จนเหมือนคนติดหนี้จริงๆไปแล้ว
ตอนนี้มันหมดทุกอย่าง ไม่อยากทำอะไรเพื่อใคร อยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มเก็บเงินใหม่ เงิน 2 แสน กับทองแท่งที่ฝากไว้เรายกให้
ถึงจะไม่มีเรา ทุกคนก็อยู่ได้ เพราะเงินเดือนแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องติดต่อเราอีก จบกันตรงนี้
ลาก่อนครอบครัวที่เคยอบอุ่นของฉัน
ตัดขาดจากทางบ้าน เพราะรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่ที่พัก แต่เป็นเหมือนโรงงานอะไรซักอย่าง
ถ้าถามว่ามันมีปมในใจบ้างมั้ย ก็มีค่ะ... เวลาที่กลับบ้านแล้วทะเลาะกับน้อง ทุกครั้งที่แม่เข้าข้างน้อง เราคิดมาตลอดว่าเพราะเขาอยู่ด้วยกันทุกวัน เลยมีความผูกพันมากกว่า ส่วนเราออกมาโตข้างนอก สิ่งที่เค้าให้ก็เป็นค่าหอและค่าเทอมแทน
เราเรียนไกลบ้านยาวๆ (แต่ก็ยังโทรคุยกันเกือบทุกวัน ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ห่างเหินจนเกินไป) หลังจบ ป.โท ก็ได้มีโอกาสกลับไปทำงานใกล้บ้าน เงินเดือนหลักหมื่นต้นๆ พอมีเงินให้พ่อแม่เดือนละนิดละหน่อย ทุกครั้งที่ให้ ไม่ว่าเท่าไหร่เค้าก็ดีใจ
ทำงานได้ 2 ปี น้องคนกลางถามว่ายังอยากเรียนหมออยู่มั้ย ด้วยความที่อายุมาก ความรู้ ม.ปลายก็ผ่านมานาน จะอ่านเองก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เลยขอที่บ้านลงคอร์สติวสอบ เค้าบอกว่าอ่านเองก็ได้ ตอนนั้นก็ทำใจไว้แล้วว่าอาจจะสอบไม่ผ่าน แต่ก็พยายามจัดเวลาอ่านเต็มที่ กับ 4 เดือนที่เหลือ
ปรากฏว่าคะแนนผ่านเกณฑ์ แต่ติด ม.เอกชน ค่าเทอมก็เลยค่อนข้างสูง (รวมแล้ว 6 ปี ประมาณ 3 ล้าน) ไหนๆก็สอบผ่านที่บ้านเลยตัดสินใจว่าจะช่วยกันส่ง แล้วตกลงกันไว้ว่าถ้าทำงานจะให้เงินเดือนคนละ 1 หมื่น (4 คนก็ 4 หมื่น)
เรียนจบปุ๊บ ไม่ต้องใช้ทุน เลยเลือกทำงานเอกชน เงินเดือน 1 แสนต้นๆ พอที่บ้านรู้ก็เลยขอให้ส่งกลับเดือนละ 1 แสน (บัณฑิตใหม่ไฟแรง ครอบครัวส่งเรียนมา ก็อยากตอบแทนให้สบาย เราตัวคนเดียวไม่ได้ใช้อะไรมาก ก็ส่งไปตามนั้น) แต่หลังจากส่งไปได้ 6 เดือน เพิ่งรู้ว่าต้องจัดการลดหย่อนภาษี (ประมาณปีละ 5 แสน) เลยขอต่อรอง ให้น้อยลงหน่อยได้มั้ย สุดท้ายจบที่เดือนละ 7 หมื่น
เงินส่วนนี้ยกหน้าที่ให้น้องคนกลางบริหาร เพราะเราไม่อยากยุ่งยากเรื่องการเบิกยิบย่อย (ช่วงแรกให้ไปเป็นแสนแล้วมีการขอเพิ่มอีกทีละ 2-3 หมื่น ซึ่งมันเกินขอบเขตไปมาก เราเลยบอกว่าเหมาจ่ายแล้ว บริหารให้พอ)
และมันก็ควรจะพอ เพราะจุดประสงค์หลักของเงินตรงนี้ มีไว้รับผิดชอบค่าประกันชีวิต+สุขภาพของทุกคน (จ่ายแบบรายปีก็ยังไหว แต่น้องเลือกจ่ายราย 6 เดือน ก็แล้วแต่เขาล่ะกัน)
เพราะฉะนั้น มันก็ต้องมีเงินบางส่วนที่เหลือเป็นเงินสำรองไว้ใช้สำหรับส่วนกลาง (ค่าใช้จ่ายส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะต้องลำบากตรงนี้ เพราะทุกคนมีเงินเดือน) แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น กลายเป็นว่าเงินส่วนนี้เป็นจุดแรกที่คนในบ้านนึกถึงเมื่ออยากได้เงินก้อน
สำหรับค่าซ่อมแซมบ้านที่อยู่มานาน 20 ปี อันนี้สมเหตุสมผลเพราะเป็นส่วนกลางจริงๆ (โปรเจ็คซ่อมเยอะมาก แต่มีพ่อที่เป็นคนมัธยัสถ์สกรีนให้ว่าโปรเจ็คไหนที่ไม่จำเป็น ก็ตัดออกไป)
แต่ค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากนั้นนี่สิ
ค่าท่องเที่ยวพ่อแม่ (นานๆทีก็ไม่ว่า ใช้เงินซื้อความสุขให้พ่อแม่บ้าง แต่บางเดือน 2-3 ทริป นี่ก็คิดว่ามันเยอะไป)
ค่าเดินทาง (ตั๋วเครื่องบินทิ้งๆขว้างๆ จองไว้บางทีไม่เดินทางก็มี)
ค่าติวสอบ (น้องมาขอ บอกว่าอยากเรียนหมอเหมือนกัน ถ้าเราไม่ให้ก็ใจดำเพราะเคยผ่านจุดที่อ่านเองมาแล้ว รู้ว่ามันหนัก ลำบากแค่ไหน แต่มาขอเรียน 2 รอบก็ไม่ไหวนะ ถ้าสอบปีที่แล้วไม่ผ่าน ก็ย้อนไปดูคลิปเดิมสิ)
ค่าซื้อของจิปาถะ แม้แต่เครื่องตัดหญ้า (ซื้อมาเพื่อ!!!) น้องบอกที่ดินเปล่าหญ้ามันขึ้น จะปลูกกล้วยลดภาษีที่ดิน (ค่าภาษีที่ดินปีละไม่ถึง 2 พัน เครื่องตัดหญ้าหลักหมื่นไปแล้ว)
ใช้เงินแบบนี้ แล้วก็บ่นตลอดว่าเงินไม่พอ กองกลางติดลบ ไม่รู้จะบอกว่ายังไง บริหารได้ล้มเหลวมากๆ ส่งมาเกือบ 3 ปี เงินตั้งเกือบ 3 ล้าน ใช้หลักๆแค่ 3 คน เราเป็นคนส่งยังแทบไม่ได้ใช้ (ตั๋วเครื่องบินกลับบ้านยังต้องจ่ายเองทุกครั้ง) แล้วที่สำคัญ ทุกคนมีเงินเดือน เดือนละตั้ง 4 หมื่นกว่า
แล้วก็ไม่รู้ว่าร้อนเงินกันขนาดไหน วันดีคืนดีก็โทรมาทวงเรา อย่างกับเราเป็นลูกหนี้ ทั้งที่เราโอนให้ทันทีที่เงินเดือนออก
ปกติเงินจะออกวันที่ 5 มีแค่บางเดือนบริษัทบอกว่าทำไม่ทัน แต่ก็ออกไม่เกินวันที่ 6
คืนวันที่ 5 จะเริ่มโทรมาถามแล้ว พอบอกว่าเงินจะออกพรุ่งนี้ ก็พาลไปด่าบริษัทอีกว่าไม่ตรงต่อเวลา (ตัวเองก็เป็นข้าราชการ บางเดือนติดเสาร์อาทิตย์ เงินเดือนก็เลื่อนไปวันธรรมดาไม่ใช่รึงัยห๊า!!!)
บางเดือนก็ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมา โทรมาทวงตั้งแต่วันที่ 25 (วันจ่ายเงินเดือนของที่ทำงานเก่า)
มันทำให้เราเครียดมาก เพราะทั้งชีวิตเราไม่เคยโดนทวงเงินซักครั้ง ทำไมต้องมาสัมผัสความรู้สึกลูกหนี้จากคนที่เรียกว่าครอบครัวด้วย
แล้วการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกวัน งานที่เราทำมันกดดันมาก เลยตัดสินใจลาออกมาทำ freelance ตอนที่ออกต้องจ่ายค่าสัญญา 5 แสน (ระหว่างทำงานมีการเทรน เพราะงั้นถ้าเบรคสัญญาก่อนครบกำหนดต้องจ่ายค่าปรับ ซึ่งเรายอมรับในตรงนั้น) เงินค่าปรับก็เป็นเงินเก็บของเราที่ฝากน้องเข้าสหกรณ์เอาไว้
งาน freelance ค่าตอบแทนจะไม่ได้เป็นเงินก้อน แต่คำนวณแล้วก็ยังพอส่งได้ เราเลยบอกที่บ้านไปว่าเดือนนี้จะทะยอยให้ สิ่งที่ถามกลับมามีแค่จะให้เท่าไหร่ ประมาณวันไหน เงินกองกลางไม่พอ แล้วประกันก็รอเรียกเก็บอยู่นะ
คือในวันที่เราสะดุด มีใครในครอบครัวห่วงเราบ้างมั้ย ไม่ถามเราซักหน่อยเหรอว่าเราติดปัญหาอะไรรึป่าว หรือเราจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญ เงินกองกลางเท่านั้นที่ฉุกเฉินเร่งด่วน
ความรู้สึกตอนนั้น ชาไปทั้งตัว เพิ่งรู้สึกว่าเรามีหน้าที่แค่หาเงินเข้าบ้าน เป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตเงิน
เกิดความสงสัยว่าทำไมครอบครัวไม่อบอุ่นเหมือนเดิม ตอนมีเงินใช้หลักหมื่นหลักพันยังมีความสุขกันกว่านี้ มีอะไรก็ช่วยกันฝ่าฟันทุกอย่าง นั่งช่วยแม่กรีดสายไฟเอาทองแดงไปขาย ได้ทำอะไรด้วยกันตั้งเยอะ
แต่ตอนนี้เหมือนเดินคนเดียว ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย พยายามเพื่ออะไร อดหลับอดนอนเพื่ออะไร รับงานเยอะๆจนติดเป็นนิสัย เห็นโอกาสรับงานเป็นไม่ได้ ถึงตั้งใจว่าวันนี้จะพักแต่ก็เสียดาย สุดท้ายก็รับ อีกซักนิด อีกซักนิด จนเหมือนคนติดหนี้จริงๆไปแล้ว
ตอนนี้มันหมดทุกอย่าง ไม่อยากทำอะไรเพื่อใคร อยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มเก็บเงินใหม่ เงิน 2 แสน กับทองแท่งที่ฝากไว้เรายกให้
ถึงจะไม่มีเรา ทุกคนก็อยู่ได้ เพราะเงินเดือนแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องติดต่อเราอีก จบกันตรงนี้
ลาก่อนครอบครัวที่เคยอบอุ่นของฉัน