JJNY : พิธา-ชัยธวัช มั่นใจไม่ผิด│‘ก้าวไกล’ แชมป์ใช้เวทีสภาผลักดันแก้ปัญหา ปชช.!│ฝนถล่ม นราธิวาส│อิหร่านประท้วงรัสเซีย

พิธา-ชัยธวัช มั่นใจไม่ผิด งัดพยานหลักฐานสู้ ใช้ม.112หาเสียง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4346872

  
ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา ‘พิธา-ก้าวไกล’ ล้มล้างการปกครอง 31 ม.ค. 67 ด้าน ‘พิธา’ งัดพยานหลักฐานสู้ มั่นใจไม่ผิด ม. 112 ไม่ชัวร์ใช้หาเสียงรอบหน้า ชี้ ส.ส.ชุดต่อไป-สถานการณ์ตอนนั้น
 
เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 25 ธันวาคม ที่ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับการไต่สวนพยานบุคคลในคดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความอดีตพระพุทธะอิสระ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขณะนั้น ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่

นายชัยธวัชกล่าวว่า คิดว่าการไต่สวนเป็นไปด้วยดี เรายังมั่นใจว่า ตามข้อเท็จจริงตามกฎหมายและเจตนาของเราสามารถชี้ได้ว่าไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง และก่อนหน้านี้ได้ทำคำชี้แจงในประเด็นสำคัญๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้หลักๆ มาตอบคำถามที่ตุลาการซักถามเพิ่มเติม ซึ่งมีคำถามหลากหลาย ซึ่งพูดได้ไม่หมดเพราะระหว่างไต่สวน รอบของนายพิธา กับรอบของตนนั้น ตนไม่ได้อยู่ในห้องด้วย
 
เมื่อถามว่าหลังศาลไต่สวนยังเชื่อมั่นหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังเชื่อมั่นเหมือนเดิมว่าการเสนอร่างกฎหมายโดยการใช้กระบวนการนิติบัญญัติ และแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงกฎหมายอาญา หมิ่นประมาท เรายังมั่นใจว่า ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ ทั้งนี้การเสนอร่างใดๆ มีกระบวนการของสภาแล้วไม่ว่าจะเป็นวาระที่ 1 วาระที่ 2 วาระที่ 3 ซึ่งต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ ต้องใช้กรรมาธิการในการคัดกรองพิจารณาเนื้อหาซ้ำอีกครั้ง ยังมีกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนผ่านสภา ก่อนประกาศใช้จะสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น การเสนอกฎหมายไม่มีทางนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้
 
ด้านนายพิธากล่าวว่า การไต่สวน ในวันนี้ตนก็ยังมั่นใจว่า กระบวนการราบรื่นดีในส่วนตัวเองรู้สึกพอใจ ที่ได้แถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ข้อสงสัย ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทุกสิ่งที่ตั้งใจมาเป็นไปตามความคาดหมาย ยังมั่นใจในข้อเท็จจริงหลายๆ เรื่อง ข้อเสนอแก้ไขทางนิติบัญญัติไม่ได้มาจากพรรคเราเป็นพรรคแรก แต่มาจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ดีรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในช่วงปี 2563-2564 ตอนนี้พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นพรรคเดียว ดังนั้นน่าจะยืนยันได้ในเรื่องของเจตนาว่าไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างการปกครอง
 
เมื่อถามว่า หากผลการตัดสินออกมาเป็นคุณทั้ง 2 คดีนายพิธาจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไรก็ยังทำงานกับพรรคก้าวไกล แต่ออกมาเป็นคุณ ในส่วนของบทบาทพรรคก้าวไกลก็ต้องรอเดือนเม.ย.2567 ที่จะมีการประชุมวิสามัญใหญ่พรรคก้าวไกล ส่วนตัวไม่ได้ยึดติดอะไร สามารถทำงานการเมืองได้ทุกรูปแบบ ไม่กังวลใจยังสามารถทำงานต่อได้
 
เมื่อถามว่าการแก้ไขมาตรา 112 ยังจะสามารถเป็นนโยบานหาเสียงครั้งต่อไปได้หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า นโยบายเป็นของ สส.ชุดที่แล้ว เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ชุดที่แล้ว ตอนนี้เป็น ส.ส.ชุดใหม่ ซึ่งยังไม่ได้มีการหารือพูดคุยในกันในพรรคว่า ปัจจุบัน อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ก็ยังเป็นข้อพิพาทในศาลรัฐธรรมนูญอยู่
 
เมื่อถามว่า หากศาลวินิจฉัยทิศทางใดทิศทางหนึ่งหรือให้เรายุติ ยกเลิกนโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อจุดยืนการทำงานของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ต้องรอให้คำพิพากษาศาลออกมาก่อน เป็นเรื่องของ ส.ส.แต่ละคน ดูสถานการณ์บริบทของบ้านเมืองซึ่งแตกต่างกันไป ตอนที่เรายื่นตอนนั้นก็ต้องเข้าใจว่าบริบทการเมืองตอนนั้นมีการใช้ความรุนแรง และมีคดีมาตรา 112 เพิ่มขึ้นจากหลักสิบเป็นหลักร้อยเป็น 268 คดี ในปี 2563 โดยมีเยาวชน 20 กว่าคน ดังนั้นในปี 2564 เราจึงคิดว่า นี่เป็นทางฝ่ายการเป็นทางออกของการเมืองตอนนั้น หลายเรื่อง หลายๆ เวลา ต้องดูว่าสิ่งสำคัญในระบบยุติธรรมคือการได้สัดส่วน เมื่อมีการละเมิดสิทธิ์ก็ต้องทางออกในรัฐสภาที่เรายึดถือ ณ ตอนนั้น ตอนนี้ก็ต้องแล้วแต่ ส.ส.แต่ละคน และสถานการณ์ ดูองค์ประกอบหลายเรื่อง รวมถึงสถานการณ์ตอนนั้น
 
เมื่อถามว่า ประเมินตัวเองหลังไต่สวนให้กี่คะแนน นายพิธา กล่าวว่า คงไม่ตอบเป็นตัวเลข แต่ก็พอใจ หากย้อนกลับไปได้เท่าที่ตัวเองคิดตอนนี้ ก็คิดว่าไม่มีอะไรอยากจะทำเพิ่ม ทำเต็มที่แล้ว ตอนนี้ต้องรอคำพิพากษา ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ปากคำ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์ 4-5 ท่าน มาให้ความเห็น ส่วนรายละเอียดให้ความเห็นอย่างไรนั้นไม่สามารถบอกได้
 
สำหรับคดีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว และนัดแถลงด้วยว่าวาจา ประชุมปรึกษาหารือและลงมติในเวลา 09.30 น. และนัดฟังวินิจฉัย เวลา 14.00 น. วันที่ 31 มกราคม 2567



‘ก้าวไกล’ แชมป์ใช้เวทีสภาผลักดันแก้ปัญหา ปชช.!
https://www.dailynews.co.th/news/3023757/

ผลวิจัยพบ พรรคก้าวไกล-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย นำโด่ง ใช้เวทีสภา เป็นเครื่องมือผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหา ปชช.จังหวัดต่างๆ ชี้รัฐประหารทำให้องค์กรท้องถิ่นชะงักงันในการทำหน้าที่แก้ไขปัญหา ปชช.

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับงานวิจัยปริญญาตรีของนายนราเชษฐ รอดเมือง นักศึกษาปี 4 เรื่อง “การขอปรึกษาหารือของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่ได้รับรางวัลวิจัยยอดเยี่ยมของคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ปี 2566 มี รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชเลิศอนันต์ เป็นที่ปรึกษา มีรายละเอียดดังนี้

ผลการวิจัยได้เปลี่ยนความเข้าใจที่สำคัญของสังคมว่า สส. มีบทบาทเพียงด้านนิติบัญญัติ และการจัดตั้งตรวจสอบรัฐบาลเท่านั้น ทว่าความจริงแล้ว สส.ไทยยังมีบทบาทสำคัญด้านการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นจังหวัดด้วยอย่างเป็นทางการ โดยใช้เวทีสภาเป็นเครื่องมือผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนจังหวัดต่างๆ ซึ่ง สส. จะมีเวลาคนละ 2 นาทีในวาระการขอปรึกษาหารือของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีเวลาราว 1.30 ชม. ก่อนที่จะเข้าสู่วาระการประชุมต่อไป
 
ทั้งนี้ทางฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรจะมีหน่วยงานส่งเรื่องประเด็นปัญหาที่ สส. นำเสนอ ไปยังกระทรวงต่างๆ และติดตามรายงานผลการแก้ไขปัญหาของกระทรวงนั้นๆ ให้ สส. ได้รับทราบในท้ายสุด

งานวิจัยนี้ได้ใช้การประชุมสภาสมัยสามัญที่ 1 หลังเลือกตั้งพฤษภาคม 2566 ระหว่างครั้งที่ 3-12 (20 ก.ค.-31 ส.ค.) รวมการประชุม 10 ครั้ง มี สส. ร่วมขอปรึกษาหารือจำนวน 295 คน/ครั้ง รวม 879 ประเด็นปัญหา
 
ด้านพรรคการเมือง (ที่สมาชิกพรรคเสนอขอปรึกษาหารือ)
อันดันแรก ก้าวไกล 74 คน/ครั้ง (28.14% เป็นสส.บัญชีรายชื่อ 7 คน) 284 ประเด็นปัญหา (32.32%)
อันดับที่ 2 เพื่อไทย 65 คน/ครั้ง (24.71% สส.บัญชีรายชื่อ 4 คน) ) 216 ประเด็นปัญหา (24.52%)
อันดับที่ 3 ภูมิใจไทย 51 คน/ครั้ง (19.39%) 136 ประเด็นปัญหา (15.48%)

ด้านประเด็นปัญหาแยกตามภูมิภาค (ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปัญหาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้าถนน น้ำประปา น้ำชลประทาน)
อันดับแรก ภาคกลาง ร้อยละ 37.51 (314 ประเด็นปัญหา)
อันดับที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 30.47 (255 ประเด็นปัญหา)
อันดับที่ 3 ภาคใต้ ร้อยละ 18.16 (152 ประเด็นปัญหา)
อันดับที่ 4 ภาคเหนือ ร้อยละ 13.86 (116 ประเด็นปัญหา)
 
ด้านกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหา (1 ประเด็นปัญหา อาจเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง)
อันดับแรก ก.มหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง/ภูมิภาค การประปานครหลวง/ภูมิภาค) ร้อยละ 51.88 (456 ประเด็นปัญหา)
อันดับที่ 2 ก.คมนาคม (กรมทาง) ร้อยละ 37.43 (328 ประเด็นปัญหา)
อันดับที่ 3 ก.เกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 16.72 (147 ประเด็นปัญหา)

รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับบทบาท สส. ต่อการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ว่า “บทบาทนี้มีมาตั้งแต่แรกมี สส. ในไทยเมื่อ 90 ปีมาแล้ว เพราะไทยมีระบบราชการรวมศูนย์อำนาจและการตัดสินใจที่ชนชั้นนำที่กรุงเทพ เมื่อมี สส. บทบาทสำคัญที่ไม่ด้อยไปกว่าบทบาทด้านการออกกฎหมาย คือต่อรองแบ่งปันจัดสรรงบประมาณและความเจริญให้กระจายลงไปยังจังหวัดท้องถิ่นต่างๆ รวมทั้งเป็นเสมือนเกราะช่วยเหลือประชาชนจากการรังแกของข้าราชการเจ้าใหญ่นายโตในจังหวัดอำเภอ
 
และจากการที่ไทยมีการรัฐประหารเป็นระยะ การรัฐประหารจะมุ่งฟื้นอำนาจข้าราชการทุกหน่วย ฟื้นอำนาจรัฐรวมศูนย์ส่วนกลาง จึงทำให้องค์กรท้องถิ่นชะงักงันในการทำหน้าที่แก้ไขปัญหาของประชาชนในท้องถิ่นจังหวัด ดังนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้งหลังว่างเว้นไปหลายปี สส. จึงมีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชน ด้วยการประสานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดังที่เราเห็นคือ ไฟฟ้า ถนน น้ำประปา เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานเหล่านี้เป็นหน่วยงานที่แทบไม่ได้ถูกตรวจสอบเร่งรัดการทำงานอย่างจริงจัง ดังนั้น บทบาท สส. ไทยจึงยังมีบทบาทประสานช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคในวิถีชีวิตประจำวัน..



หนักสุดรอบ50ปี ฝนถล่ม นราธิวาส น้ำป่าทะลักท่วม โค่นเสาไฟฟ้าแรงสูง
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8025053

หนักสุดในรอบ 50 ปี ฝนถล่ม นราธิวาส ต่อเนื่อง น้ำป่าทะลักเข้าท่วมอย่างหนัก กระแสน้ำแรง-เชี่ยว พัดเสาไฟฟ้าแรงสูงหักโค่น เร่งขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูง
 
วันที่ 25 ธ.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.นราธิวาส ยังหนักขึ้นต่อเนื่อง โดยทั้งวันมีปริมาณฝนตกกระจายโดยรอบ ประกอบกับน้ำป่าจากเทือกเขาต่าง ๆ ไหลลงมาสบทบในพื้นที่ราบ ส่งผลให้ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
 
ขณะที่ในพื้นที่ ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส ยังคงมีมวลน้ำไหลเข้าท่วมสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงเช้าประชาชนต่างช่วยเหลือขนย้ายข้าวของกันเอง น้ำเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 09.00 น.ของวันนี้ และเพิ่มอย่างรวดเร็ว

ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารเรือ จากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ได้เดินทางเข้ามาพร้อมเรือท้องแบนเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ดำเนินการด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกระแสน้ำมีกำลังแรงและเชี่ยว ไม่สามารถนำเรือท้องแบบเข้าช่วยเหลือขนย้ายสิ่งของและผู้สูงอายุและเด็กได้ 
นอกจากนี้ ในพื้นที่กระแสน้ำได้ส่งผลให้เสาไฟฟ้าแรงสูงหักโค่น เจ้าหน้าที่ต้องรีบตัดกระแสไฟ เพื่อความปลอดภัย พร้อมส่งชุดเจ้าหน้าที่มาดำเนินการซ่อม อย่างไรก็ตาม เหตุอุทกภัยในครั้งนี้สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนของประชาชนอย่างมาก

โดย ชาวลำภู กล่าวว่า ไม่เคยพบเห็นมวลน้ำขนาดนี้ตั้งแต่เกิด รวมกว่า 50 ปี ทั้งมวลน้ำ และกระแสที่เชี่ยว และความเร็ว ส่วนใหญ่ไม่ทันตั้งตัว ถึงแม้จะรับมือมาล่วงหน้าแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่