สวัสดี เราจะมาแบ่งปันวิธีการเตรียมตัวสอบ IELTS ฉบับคนขี้เกียจและติดเกมให้ทุกคนได้ลองอ่านกัน เผื่อมีบางคนที่นิสัยคล้าย ๆ กัน และกำลังวางแผนสอบอยู่จะลองเอาไปปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบของตัวเอง
ก่อนอื่นต้องให้ข้อมูลก่อนว่า เราเคยเป็นเด็กหน้าห้องมาก่อนสมัยเรียนโรงเรียนและผ่านการเรียนพิเศษมาเยอะสมัยมัธยมศึกษาปลาย ทำให้
พอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่ที่เรา
ไม่มีคือความขยัน (อย่างต่อเนื่อง) ทำให้ปัญหาหลักของเราข้อหนึ่งคือ เรื่องของคำศัพท์ คลังคำศัพท์เราค่อนข้างจำกัดเลยละ อีกอย่างคือ ค่อนข้างยึดติด หากไม่ได้มีโอกาสเอาคำศัพท์นั้นมาใช้บ่อย ๆ เราก็จะใช้แต่คำเดิม ๆ ตามความเคยชิน
สำหรับการสอบ IELTS ในครั้งนี้ เราให้เวลาตัวเองเตรียมตัวค่อนข้างนาน (ประมาณ 7 เดือน) ซึ่งหากย้อนกลับไปได้ ถ้ายังคงไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้ขยันขึ้นได้ เราว่าไม่ต้องเตรียมตัวนานขนาดนั้นก็ได้ เพราะเสียเวลาเล่นเกมมาก แต่ใครที่มีความตั้งใจแน่วแน่ 6 เดือน สำหรับการเตรียมตัว เราว่าโอเคเลยนะ โดยท่องศัพท์และฝึกใช้ไปทุกวัน จะทำให้เรามีคลังคำศัพท์เพียงพอในการพูดและการเขียนแน่นอน
ด้วยความที่เราห่างหายจากการสอบและการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันไปนาน เราเลยเลือกที่จะพึ่งพาคอร์สเตรียมตัวสอบ ซึ่งสถาบันที่เราเลือกก็คือ
Good Language เนื่องจาก
(1) เป็นคอร์สสดที่
เรียนผ่าน Zoom ได้ (ขี้เกียจเดินทาง)
(2) ดูซ้ำได้ (แต่รอเป็นวัน กว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะส่งไฟล์ให้ทางอีเมล)
(3) ขอเข้า
เรียนชดเชยได้ (มีแผนไปเที่ยวตรงวันที่ลงเรียนพอดี)
(4) เพื่อนเรียนแล้ว เห็นผล สอบได้คะแนนดี ได้ไปเรียนต่อจนกลับมาทำงานละ
โดยเราเลือกเรียนแบบจัดเต็มคือ รวมสามคอร์สที่สถาบันมีเลย ซึ่งตรงจุดนี้ เราสามารถสลับลำดับคอร์สได้ตามความสะดวก แต่ต้องสอดคล้องกับตารางเรียนที่สถาบันวางแผนไว้แล้วนะ
(1) IELTS ปรับพื้นฐาน
(2) IELTS Vocabulary
(3) IELTS for YOU (4 Skills) แบ่งเรียนรอบละ 2 ทักษะ (5 สัปดาห์แรก เรียนอ่าน-ฟัง ในวันอาทิตย์ และ 5 สัปดาห์ถัดมาค่อยเรียนเขียน-พูด ในวันเสาร์) - ถ้าใครรีบหรือมีความตั้งใจสูง สามารถเรียนแบบ 4 ทักษะ พร้อมกันเลยก็ได้นะ ส่วนตัวเราว่า มันไม่ได้หนักมากและเป็นการปลุกไฟในตัวคุณได้ดีเลย
***3000 ล้านดวง*** แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ของสถาบันนะ ว่าครั้งที่หนึ่งของคอร์ส IELTS for You ส่วนของ “Speaking” แต่ละรอบเริ่มวันไหน เพราะมีผลต่อการเรียนพอสมควรเลย (จะกล่าวถึงต่อไป)
นับจากจุดนี้ จะเป็นสรุปประสบการณ์การเรียนของเรา ร่วมกับความคิดเห็นที่มีต่อคอร์ส เผื่อเป็นข้อมูลให้ผู้สนใจพิจารณาว่าเหมาะกับตัวเองหรือไม่
(1)
IELTS ปรับพื้นฐาน – รอบเสาร์และอาทิตย์ ต่อเนื่องสามสัปดาห์
ดังที่เราแจ้งไปก่อนหน้าแล้วว่า เราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบถูกหลักไวยากรณ์มาสักพักหนึ่งแล้ว และหลาย ๆ หัวข้อ (หลังจากที่เรียนไปแล้ว) ก็ค้นพบว่าไม่เคยมีความรู้ติดเหล่านี้หัวเลย ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคอร์สปรับพื้นฐานอะ ก็จะมีเพื่อนในคลาสที่เขาพื้นฐานไม่ได้จริง ๆ เวลาผู้สอนให้ทำโจทย์ก็เลยจะเสียเวลาเยอะหน่อย
ถ้าโชคดีได้เรียนในรอบที่เพื่อนมีพื้นฐานดีก็จะได้ความรู้เสริมไปเยอะมาก ๆ เลย ที่นี่ยืนยันได้ เพราะได้มีโอกาสไปเรียนซ้ำเนื่องจากขาดเรียนวันเปิดคอร์ส จึงได้เห็นความต่างตรงนี้ และอยากเรียนซ้ำจนจบคอร์สไม่ใช่แค่วันที่ชดเชยเลย เพราะรู้สึกว่ามันดีกว่ารอบตัวเองมาก ๆ 5555
***3000 ล้านดวง*** #รอบที่สอง การเข้าเรียนชดเชยได้เป็นจุดที่เราประทับใจมากเลยนะ แม้ว่าจะสามารถขอวีดีโอมาดูซ้ำได้ แต่ไฟล์ที่ได้จะไม่ใช่รอบที่เราลงเรียนอะ ทำให้เนื้อหาไม่ต่อเนื่อง (แต่ก็ได้ความรู้เสริมที่ผู้สอนอาจไม่มีโอกาสสอนในรอบที่เราเรียนเช่นกัน) ดังนั้น เป็นไปได้ขอเรียนซ้ำและดูวีดีโอย้อนด้วย จะดีกว่า
(2)
IELTS Vocabulary – รอบเสาร์และอาทิตย์ หนึ่งสัปดาห์
เป็นคอร์สแถมที่มีประโยชน์มาก ๆ สำหรับคนที่ขี้เกียจไปขวนขวายหาคำศัพท์เอง ระหว่างเรียนผู้สอนก็จะให้ฝึกแต่งประโยคจากคำที่เรียนเรื่อย ๆ แต่ด้วยความที่เรียนแค่สองครั้ง บทท้าย ๆ ก็เรียนไม่ทันหน่อย ๆ คนสอนก็จะให้ไฟล์วีดีโอไปดูเพิ่มและสามารถทักไปสอบถามเพิ่มเติมได้ ถ้าไม่เข้าใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หนังสือแทบทุกเล่มมีศัพท์แทรกอยู่เรื่อย ๆ และเอาไปใช้ได้จริงในพาร์ทเขียน ดังนั้นมีเวลาเก็บให้หมดนะ
(3)
IELTS for YOU (4 Skills)
คร่าว ๆ คือ เนื้อหาแต่ละสัปดาห์จะไม่ซ้ำกัน เป็นไปตามแต่ละประเภทคำถามที่พบในข้อสอบอะ (ยกเว้นคอร์สพูด!)
อ่าน (Reading) และฟัง (Listening)
เริ่มต้นมาทุกครั้งที่เรียน ผู้สอนก็จะแนะนำข้อสอบและทริคการทำข้อสอบ จากนั้นก็รันวงการด้วยการทำแบบฝึกหัดกันเลย ระหว่างเรียนก็มีการเฉลย ให้ความหมายคำศัพท์อะไรงี้ ฉะนั้นแนะนำว่า ควรมีความคุ้นเคยกับข้อสอบมาก่อนสักหน่อย (อาจลองทำแบบฝึกหัดในเล่ม Cambridge มาก่อนสักชุด) เพราะไม่งั้นอาจจะอ๊องและเสียเวลาไปหนึ่งครั้งได้
***3000 ล้านดวง*** #รอบที่สาม ก่อนวันสอบจริง ลองแกล้ง ๆ มาทวนทุกบทความที่ได้ทำไปในคาบเรียนหน่อยนะ เพราะอาจจะช่วยประหยัดเวลาอ่านบทความหรือฟังได้แบบชิว ๆ ตอนสอบก็เป็นได้
เขียน (Writing)
ถือว่าการเรียนพาร์ทนี้กับ
Good Language ช่วยชีวิตเราเลยนะ เพราะก่อนเรียน เราไม่เคยเขียนได้ครบจำนวนคำตามที่ข้อสอบกำหนดเลย หลาย ๆ คนอาจมองว่ามันเป็น Pattern ไปหน่อย แต่สำหรับเราที่เวลาถูกกดดันด้วยเวลาแล้วสมองไม่แล่นเนี่ย การเขียนตาม Pattern ก็ช่วยประหยัดเงินค่าสอบไปได้เยอะทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครไม่ชอบเขียนตาม Pattern ก็ไม่เสียหายอะไรนะ เพราะอย่างน้อยจะได้แนวว่า คำถามแบบนี้ ต้องการคำตอบประมาณนั้น ควรเขียนอะไรไปบ้าง
ระหว่างเรียน ผู้สอนก็จะให้รูปแบบการเขียนของแต่ละชุดคำถามที่เราจะเจอในข้อสอบจริง ทั้ง Task 1 และ 2 แบ่ง ๆ กันไป 5 สัปดาห์ อาจได้ลองฝึกคิดประโยคบ้าง แต่ส่วนใหญ่การฝึกจริง ๆ คือการบ้านแต่ละสัปดาห์ ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วส่งไปสองสามวันก็จะได้งานเขียนกลับมา พร้อมคะแนนโดยประมาณและข้อแนะนำว่าควรปรับอย่างไรถึงจะได้คะแนนที่สูงขึ้น
สิ่งที่เราประทับใจมาก ๆ คือ ส่งการบ้านได้ไม่จำกัดอะ เราอาจไปหาหัวข้อจากอินเตอร์เน็ตมาฝึกเขียน แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจได้ เจ้าหน้าที่เขายินดีช่วยมาก ๆ เลย
พูด (Speaking)
เป็นอันที่เราคงต้องย้ำอีกทีว่า ควรเข้าเรียนตามลำดับ (พาร์ทอื่น จะโผล่เข้าไปเรียนครั้งแรกในสัปดาห์ที่เท่าไรก็ได้ ไม่เห็นความแตกต่าง แต่พาร์ทนี้สมควรตาม Order จริง ๆ เพราะถ้าเข้าครั้งแรกในครั้งที่ 4 หรือ 5 ของคอร์ส แล้วเป็นมือใหม่คือเสียเวลาทันที)
รอบที่เราเรียน มีผู้สอนทั้งหมดสามคน อยากเลือกเข้าเรียนกับคนไหนก็ได้ แต่คนหนึ่งสอนสดที่สถาบันเท่านั้น อีกสองคนเป็นออนไลน์ โดยพาร์ทนี้ไม่มีการอัดวีดีโอนะ หากขาดเรียนต้องขอชดเชยเท่านั้น (คือ รอเข้าเรียนพร้อมเพื่อนคอร์สถัดไป)
เราเลือกเรียนกับผู้สอนที่สอน Listening ด้วย โดยครั้งที่หนึ่งถึงสามจะเป็นการปูพื้นว่าข้อสอบแต่ละพาร์ทเป็นอย่างไร ควรตอบอย่างไร มีฝึกพูดนิดหน่อย แต่ครั้งที่ 4 และ 5 จะเป็นการฝึกพูดตอบข้อสอบพาร์ทสองและสามตามลำดับ บอกตรงนี้ ว่าได้ฝึกพูดจริงทุกคน แต่แค่คนละครั้งต่อพาร์ท หากอยากฝึกเยอะ ๆ ต้องกล้าแสดงออกหน่อย เสนอตัวขอตอบขอพูดบ่อย ๆ พอพูดจบผู้สอนก็จะให้ Feedback และแนะนำว่าควรปรับอย่างไร ดังนั้น อย่าอาย ถ้าอาย ไม่พูด ไม่ตอบ เราจะไม่รู้เลยว่า เราแย่ตรงไหน ควรปรับอย่างไร
สุดท้าย ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราได้คะแนนตามที่หวังจริง ๆ คือ
การฝึกนะ เพราะเรียนแล้วแต่ไม่ฝึก มันไม่รอดจริง ๆ เพราะยิ่งฝึกเยอะเรายิ่งชิน เวลาสอบจริงถึงจะตื่นเต้นจนสมองทำงานไม่ทันไปบ้าง อย่างน้อยไขสันหลัง (reflex) ก็ยังจะเซฟเราได้อยู่ (โดยเฉพาะพาร์ทเขียน)
ซึ่งการฝึกของเรา คือทำโจทย์ตามหนังสือ Cambridge อะ ฝึกวันละนิดวันละหน่อย (อ่านและฟัง) วันไหนทำแล้วได้คะแนนน้อย ก็ทำชุดเดียวพอ เพราะมันบั่นทอนจิตใจ ไปเล่นเกมดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเอาว่ากันใหม่
สิ่งหนึ่งที่ได้จาก
การฝึกอ่านและฟังบ่อย ๆ คือ เราจะจับจุดได้ว่า ตรงไหนคือคำตอบอะ แม้ว่าจะรู้สึกค้านในใจมาก ๆ ก็ตามว่านี่คำตอบเหรอ แต่มันคือคำตอบจริง ๆ 5555 ทั้งนี้ พาร์ทอ่านต้องจับเวลาเสมอนะ ส่วนพาร์ทฟังคือห้ามหยุดไปแอบดูคำตอบหรือบทพูด แข็งใจทำให้จบค่อยกลับมาเปิดฟังเสียงพร้อมดูบทพูดทีหลัง เพื่อจำลองสถานการณ์ในห้องสอบจริง
ส่วน
การเขียน แรก ๆ เราไม่ได้จับเวลาเลย เพราะชอบเสียเวลาเปิดหาคำศัพท์สวย ๆ แต่หลัง ๆ พยายามเขียนให้ได้ตามเวลาที่กำหนด ไม่มัวหาศัพท์สวย ๆ แล้ว เพราะมันไม่สะท้อนเหตุการณ์จริงในห้องสอบ เราต้องไม่หลอกตัวเอง Feedback ว่าอย่างไรจะได้ปรับแก้ไขต่อไปได้ถูก (ก่อนไปสอบจริง เราฝึกเขียนไป 10 ชุด อะ)
พาร์ทพูดเป็นอะไรที่ฝึกยากมาก สำหรับเรานะ เพราะรอบตัวเรามีแต่คนไทย การออกเสียงแบบไทย ๆ ซึ่งไม่เหมือน Examiner ที่เขาออกเสียงแบบ Original เป็นท้อมาก ๆ ถ้าจะให้แนะนำการฝึกสำหรับพาร์ทนี้ เราคิดว่า คือการฟังบ่อย ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับการออกเสียง ส่วนการตอบ ให้ลองฝึกคิดคำตอบเรื่อย ๆ จากชุดคำถามที่เราเจอไม่ว่าจะจากหนังสือหรืออินเตอร์เน็ต ฝึกเรื่อย ๆ และจำไปด้วย ว่าคำตอบที่ดีที่สุดของเราคือแบบไหน พูดให้คล่องปากเข้าไว้ อาจได้เจอในห้องสอบจริง
ต่อไปจะมาเหลาเกี่ยวกับ
การสอบ หลังจากเรียนจบ เราสอบไปทั้งหม
ดสามครั้งถึงได้คะแนนเป็นที่พอใจสำหรับตัวเอง คือ
ทั้งสามครั้ง เราเลือกสอบแบบ Computer กับ BC โดยสองครั้งแรกสอบที่สยาม ครั้งที่สามที่สามย่าน เลือกสอบข้อเขียนเช้า และสอบพูดเป็นคนแรกในรอบบ่ายในครั้งที่สองและสาม เนื่องจากครั้งแรก เราเลือกสอบเย็น แต่โดนเลื่อนสอบมาเป็นคนที่สองหรือสาม ตรงจุดนี้ เราคิดว่า ไม่ต้องกดดันรอสอบนานเลยเปลี่ยนมาสอบเร็ว ๆ แล้วไปหาอร่อย ๆ ทานดีกว่า เพราะมันเครียด
สุดท้าย
“การมู” อันนี้แล้วแต่คน แต่สำหรับเรา จากประสบการณ์สอบทั้งสามรอบ เราว่ามูสักนิดก็ไม่เสียหาย โดยการสอบครั้งที่สาม เราสมัครสอบวันอธิบดี และเลือกวันสอบไม่ใช่วันวินาศอะ มันราบรื่นดีนะ
จบแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ ใด ๆ ขอให้โชคดี สอบได้คะแนนตรงใจ ไม่ต้องเสียเงินหลาย ๆ รอบน้า
อยากแชร์ประสบการณ์เตรียมตัวสอบ IELTS กับเขาบ้าง
ก่อนอื่นต้องให้ข้อมูลก่อนว่า เราเคยเป็นเด็กหน้าห้องมาก่อนสมัยเรียนโรงเรียนและผ่านการเรียนพิเศษมาเยอะสมัยมัธยมศึกษาปลาย ทำให้พอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่ที่เราไม่มีคือความขยัน (อย่างต่อเนื่อง) ทำให้ปัญหาหลักของเราข้อหนึ่งคือ เรื่องของคำศัพท์ คลังคำศัพท์เราค่อนข้างจำกัดเลยละ อีกอย่างคือ ค่อนข้างยึดติด หากไม่ได้มีโอกาสเอาคำศัพท์นั้นมาใช้บ่อย ๆ เราก็จะใช้แต่คำเดิม ๆ ตามความเคยชิน
สำหรับการสอบ IELTS ในครั้งนี้ เราให้เวลาตัวเองเตรียมตัวค่อนข้างนาน (ประมาณ 7 เดือน) ซึ่งหากย้อนกลับไปได้ ถ้ายังคงไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้ขยันขึ้นได้ เราว่าไม่ต้องเตรียมตัวนานขนาดนั้นก็ได้ เพราะเสียเวลาเล่นเกมมาก แต่ใครที่มีความตั้งใจแน่วแน่ 6 เดือน สำหรับการเตรียมตัว เราว่าโอเคเลยนะ โดยท่องศัพท์และฝึกใช้ไปทุกวัน จะทำให้เรามีคลังคำศัพท์เพียงพอในการพูดและการเขียนแน่นอน
ด้วยความที่เราห่างหายจากการสอบและการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันไปนาน เราเลยเลือกที่จะพึ่งพาคอร์สเตรียมตัวสอบ ซึ่งสถาบันที่เราเลือกก็คือ Good Language เนื่องจาก
(1) เป็นคอร์สสดที่เรียนผ่าน Zoom ได้ (ขี้เกียจเดินทาง)
(2) ดูซ้ำได้ (แต่รอเป็นวัน กว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะส่งไฟล์ให้ทางอีเมล)
(3) ขอเข้าเรียนชดเชยได้ (มีแผนไปเที่ยวตรงวันที่ลงเรียนพอดี)
(4) เพื่อนเรียนแล้ว เห็นผล สอบได้คะแนนดี ได้ไปเรียนต่อจนกลับมาทำงานละ
โดยเราเลือกเรียนแบบจัดเต็มคือ รวมสามคอร์สที่สถาบันมีเลย ซึ่งตรงจุดนี้ เราสามารถสลับลำดับคอร์สได้ตามความสะดวก แต่ต้องสอดคล้องกับตารางเรียนที่สถาบันวางแผนไว้แล้วนะ
(1) IELTS ปรับพื้นฐาน
(2) IELTS Vocabulary
(3) IELTS for YOU (4 Skills) แบ่งเรียนรอบละ 2 ทักษะ (5 สัปดาห์แรก เรียนอ่าน-ฟัง ในวันอาทิตย์ และ 5 สัปดาห์ถัดมาค่อยเรียนเขียน-พูด ในวันเสาร์) - ถ้าใครรีบหรือมีความตั้งใจสูง สามารถเรียนแบบ 4 ทักษะ พร้อมกันเลยก็ได้นะ ส่วนตัวเราว่า มันไม่ได้หนักมากและเป็นการปลุกไฟในตัวคุณได้ดีเลย
***3000 ล้านดวง*** แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ของสถาบันนะ ว่าครั้งที่หนึ่งของคอร์ส IELTS for You ส่วนของ “Speaking” แต่ละรอบเริ่มวันไหน เพราะมีผลต่อการเรียนพอสมควรเลย (จะกล่าวถึงต่อไป)
นับจากจุดนี้ จะเป็นสรุปประสบการณ์การเรียนของเรา ร่วมกับความคิดเห็นที่มีต่อคอร์ส เผื่อเป็นข้อมูลให้ผู้สนใจพิจารณาว่าเหมาะกับตัวเองหรือไม่
(1) IELTS ปรับพื้นฐาน – รอบเสาร์และอาทิตย์ ต่อเนื่องสามสัปดาห์
ดังที่เราแจ้งไปก่อนหน้าแล้วว่า เราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบถูกหลักไวยากรณ์มาสักพักหนึ่งแล้ว และหลาย ๆ หัวข้อ (หลังจากที่เรียนไปแล้ว) ก็ค้นพบว่าไม่เคยมีความรู้ติดเหล่านี้หัวเลย ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคอร์สปรับพื้นฐานอะ ก็จะมีเพื่อนในคลาสที่เขาพื้นฐานไม่ได้จริง ๆ เวลาผู้สอนให้ทำโจทย์ก็เลยจะเสียเวลาเยอะหน่อย
ถ้าโชคดีได้เรียนในรอบที่เพื่อนมีพื้นฐานดีก็จะได้ความรู้เสริมไปเยอะมาก ๆ เลย ที่นี่ยืนยันได้ เพราะได้มีโอกาสไปเรียนซ้ำเนื่องจากขาดเรียนวันเปิดคอร์ส จึงได้เห็นความต่างตรงนี้ และอยากเรียนซ้ำจนจบคอร์สไม่ใช่แค่วันที่ชดเชยเลย เพราะรู้สึกว่ามันดีกว่ารอบตัวเองมาก ๆ 5555
***3000 ล้านดวง*** #รอบที่สอง การเข้าเรียนชดเชยได้เป็นจุดที่เราประทับใจมากเลยนะ แม้ว่าจะสามารถขอวีดีโอมาดูซ้ำได้ แต่ไฟล์ที่ได้จะไม่ใช่รอบที่เราลงเรียนอะ ทำให้เนื้อหาไม่ต่อเนื่อง (แต่ก็ได้ความรู้เสริมที่ผู้สอนอาจไม่มีโอกาสสอนในรอบที่เราเรียนเช่นกัน) ดังนั้น เป็นไปได้ขอเรียนซ้ำและดูวีดีโอย้อนด้วย จะดีกว่า
(2) IELTS Vocabulary – รอบเสาร์และอาทิตย์ หนึ่งสัปดาห์
เป็นคอร์สแถมที่มีประโยชน์มาก ๆ สำหรับคนที่ขี้เกียจไปขวนขวายหาคำศัพท์เอง ระหว่างเรียนผู้สอนก็จะให้ฝึกแต่งประโยคจากคำที่เรียนเรื่อย ๆ แต่ด้วยความที่เรียนแค่สองครั้ง บทท้าย ๆ ก็เรียนไม่ทันหน่อย ๆ คนสอนก็จะให้ไฟล์วีดีโอไปดูเพิ่มและสามารถทักไปสอบถามเพิ่มเติมได้ ถ้าไม่เข้าใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หนังสือแทบทุกเล่มมีศัพท์แทรกอยู่เรื่อย ๆ และเอาไปใช้ได้จริงในพาร์ทเขียน ดังนั้นมีเวลาเก็บให้หมดนะ
(3) IELTS for YOU (4 Skills)
คร่าว ๆ คือ เนื้อหาแต่ละสัปดาห์จะไม่ซ้ำกัน เป็นไปตามแต่ละประเภทคำถามที่พบในข้อสอบอะ (ยกเว้นคอร์สพูด!)
อ่าน (Reading) และฟัง (Listening)
เริ่มต้นมาทุกครั้งที่เรียน ผู้สอนก็จะแนะนำข้อสอบและทริคการทำข้อสอบ จากนั้นก็รันวงการด้วยการทำแบบฝึกหัดกันเลย ระหว่างเรียนก็มีการเฉลย ให้ความหมายคำศัพท์อะไรงี้ ฉะนั้นแนะนำว่า ควรมีความคุ้นเคยกับข้อสอบมาก่อนสักหน่อย (อาจลองทำแบบฝึกหัดในเล่ม Cambridge มาก่อนสักชุด) เพราะไม่งั้นอาจจะอ๊องและเสียเวลาไปหนึ่งครั้งได้
***3000 ล้านดวง*** #รอบที่สาม ก่อนวันสอบจริง ลองแกล้ง ๆ มาทวนทุกบทความที่ได้ทำไปในคาบเรียนหน่อยนะ เพราะอาจจะช่วยประหยัดเวลาอ่านบทความหรือฟังได้แบบชิว ๆ ตอนสอบก็เป็นได้
เขียน (Writing)
ถือว่าการเรียนพาร์ทนี้กับ Good Language ช่วยชีวิตเราเลยนะ เพราะก่อนเรียน เราไม่เคยเขียนได้ครบจำนวนคำตามที่ข้อสอบกำหนดเลย หลาย ๆ คนอาจมองว่ามันเป็น Pattern ไปหน่อย แต่สำหรับเราที่เวลาถูกกดดันด้วยเวลาแล้วสมองไม่แล่นเนี่ย การเขียนตาม Pattern ก็ช่วยประหยัดเงินค่าสอบไปได้เยอะทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครไม่ชอบเขียนตาม Pattern ก็ไม่เสียหายอะไรนะ เพราะอย่างน้อยจะได้แนวว่า คำถามแบบนี้ ต้องการคำตอบประมาณนั้น ควรเขียนอะไรไปบ้าง
ระหว่างเรียน ผู้สอนก็จะให้รูปแบบการเขียนของแต่ละชุดคำถามที่เราจะเจอในข้อสอบจริง ทั้ง Task 1 และ 2 แบ่ง ๆ กันไป 5 สัปดาห์ อาจได้ลองฝึกคิดประโยคบ้าง แต่ส่วนใหญ่การฝึกจริง ๆ คือการบ้านแต่ละสัปดาห์ ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วส่งไปสองสามวันก็จะได้งานเขียนกลับมา พร้อมคะแนนโดยประมาณและข้อแนะนำว่าควรปรับอย่างไรถึงจะได้คะแนนที่สูงขึ้น
สิ่งที่เราประทับใจมาก ๆ คือ ส่งการบ้านได้ไม่จำกัดอะ เราอาจไปหาหัวข้อจากอินเตอร์เน็ตมาฝึกเขียน แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจได้ เจ้าหน้าที่เขายินดีช่วยมาก ๆ เลย
พูด (Speaking)
เป็นอันที่เราคงต้องย้ำอีกทีว่า ควรเข้าเรียนตามลำดับ (พาร์ทอื่น จะโผล่เข้าไปเรียนครั้งแรกในสัปดาห์ที่เท่าไรก็ได้ ไม่เห็นความแตกต่าง แต่พาร์ทนี้สมควรตาม Order จริง ๆ เพราะถ้าเข้าครั้งแรกในครั้งที่ 4 หรือ 5 ของคอร์ส แล้วเป็นมือใหม่คือเสียเวลาทันที)
รอบที่เราเรียน มีผู้สอนทั้งหมดสามคน อยากเลือกเข้าเรียนกับคนไหนก็ได้ แต่คนหนึ่งสอนสดที่สถาบันเท่านั้น อีกสองคนเป็นออนไลน์ โดยพาร์ทนี้ไม่มีการอัดวีดีโอนะ หากขาดเรียนต้องขอชดเชยเท่านั้น (คือ รอเข้าเรียนพร้อมเพื่อนคอร์สถัดไป)
เราเลือกเรียนกับผู้สอนที่สอน Listening ด้วย โดยครั้งที่หนึ่งถึงสามจะเป็นการปูพื้นว่าข้อสอบแต่ละพาร์ทเป็นอย่างไร ควรตอบอย่างไร มีฝึกพูดนิดหน่อย แต่ครั้งที่ 4 และ 5 จะเป็นการฝึกพูดตอบข้อสอบพาร์ทสองและสามตามลำดับ บอกตรงนี้ ว่าได้ฝึกพูดจริงทุกคน แต่แค่คนละครั้งต่อพาร์ท หากอยากฝึกเยอะ ๆ ต้องกล้าแสดงออกหน่อย เสนอตัวขอตอบขอพูดบ่อย ๆ พอพูดจบผู้สอนก็จะให้ Feedback และแนะนำว่าควรปรับอย่างไร ดังนั้น อย่าอาย ถ้าอาย ไม่พูด ไม่ตอบ เราจะไม่รู้เลยว่า เราแย่ตรงไหน ควรปรับอย่างไร
สุดท้าย ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราได้คะแนนตามที่หวังจริง ๆ คือ การฝึกนะ เพราะเรียนแล้วแต่ไม่ฝึก มันไม่รอดจริง ๆ เพราะยิ่งฝึกเยอะเรายิ่งชิน เวลาสอบจริงถึงจะตื่นเต้นจนสมองทำงานไม่ทันไปบ้าง อย่างน้อยไขสันหลัง (reflex) ก็ยังจะเซฟเราได้อยู่ (โดยเฉพาะพาร์ทเขียน)
ซึ่งการฝึกของเรา คือทำโจทย์ตามหนังสือ Cambridge อะ ฝึกวันละนิดวันละหน่อย (อ่านและฟัง) วันไหนทำแล้วได้คะแนนน้อย ก็ทำชุดเดียวพอ เพราะมันบั่นทอนจิตใจ ไปเล่นเกมดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเอาว่ากันใหม่
สิ่งหนึ่งที่ได้จากการฝึกอ่านและฟังบ่อย ๆ คือ เราจะจับจุดได้ว่า ตรงไหนคือคำตอบอะ แม้ว่าจะรู้สึกค้านในใจมาก ๆ ก็ตามว่านี่คำตอบเหรอ แต่มันคือคำตอบจริง ๆ 5555 ทั้งนี้ พาร์ทอ่านต้องจับเวลาเสมอนะ ส่วนพาร์ทฟังคือห้ามหยุดไปแอบดูคำตอบหรือบทพูด แข็งใจทำให้จบค่อยกลับมาเปิดฟังเสียงพร้อมดูบทพูดทีหลัง เพื่อจำลองสถานการณ์ในห้องสอบจริง
ส่วนการเขียน แรก ๆ เราไม่ได้จับเวลาเลย เพราะชอบเสียเวลาเปิดหาคำศัพท์สวย ๆ แต่หลัง ๆ พยายามเขียนให้ได้ตามเวลาที่กำหนด ไม่มัวหาศัพท์สวย ๆ แล้ว เพราะมันไม่สะท้อนเหตุการณ์จริงในห้องสอบ เราต้องไม่หลอกตัวเอง Feedback ว่าอย่างไรจะได้ปรับแก้ไขต่อไปได้ถูก (ก่อนไปสอบจริง เราฝึกเขียนไป 10 ชุด อะ)
พาร์ทพูดเป็นอะไรที่ฝึกยากมาก สำหรับเรานะ เพราะรอบตัวเรามีแต่คนไทย การออกเสียงแบบไทย ๆ ซึ่งไม่เหมือน Examiner ที่เขาออกเสียงแบบ Original เป็นท้อมาก ๆ ถ้าจะให้แนะนำการฝึกสำหรับพาร์ทนี้ เราคิดว่า คือการฟังบ่อย ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับการออกเสียง ส่วนการตอบ ให้ลองฝึกคิดคำตอบเรื่อย ๆ จากชุดคำถามที่เราเจอไม่ว่าจะจากหนังสือหรืออินเตอร์เน็ต ฝึกเรื่อย ๆ และจำไปด้วย ว่าคำตอบที่ดีที่สุดของเราคือแบบไหน พูดให้คล่องปากเข้าไว้ อาจได้เจอในห้องสอบจริง
ต่อไปจะมาเหลาเกี่ยวกับการสอบ หลังจากเรียนจบ เราสอบไปทั้งหมดสามครั้งถึงได้คะแนนเป็นที่พอใจสำหรับตัวเอง คือ
ทั้งสามครั้ง เราเลือกสอบแบบ Computer กับ BC โดยสองครั้งแรกสอบที่สยาม ครั้งที่สามที่สามย่าน เลือกสอบข้อเขียนเช้า และสอบพูดเป็นคนแรกในรอบบ่ายในครั้งที่สองและสาม เนื่องจากครั้งแรก เราเลือกสอบเย็น แต่โดนเลื่อนสอบมาเป็นคนที่สองหรือสาม ตรงจุดนี้ เราคิดว่า ไม่ต้องกดดันรอสอบนานเลยเปลี่ยนมาสอบเร็ว ๆ แล้วไปหาอร่อย ๆ ทานดีกว่า เพราะมันเครียด
สุดท้าย “การมู” อันนี้แล้วแต่คน แต่สำหรับเรา จากประสบการณ์สอบทั้งสามรอบ เราว่ามูสักนิดก็ไม่เสียหาย โดยการสอบครั้งที่สาม เราสมัครสอบวันอธิบดี และเลือกวันสอบไม่ใช่วันวินาศอะ มันราบรื่นดีนะ
จบแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ ใด ๆ ขอให้โชคดี สอบได้คะแนนตรงใจ ไม่ต้องเสียเงินหลาย ๆ รอบน้า