✻ 1. เส้นทางปฏิบัติ ✻
เมื่อก่อนเป็นเหมือนหลายคน คิดว่าต้องใช้กำลังสมาธิสูงๆ เพื่อเกิดปัญญาเห็นธรรม
เข้าฌานนานเท่าไรก็ไม่เกิดปัญญาสักที เริ่มเหนื่อย ออกจากฌานลงมาที่อุปจารสมาธิ
ที่จริงว่าจะพักผ่อนแล้ว แต่ใจคิดว่าไหนๆ ก็เข้าสมาธิทั้งที ลองดูขันธ์ห้าในอุปจารสมาธิแทนแล้วกัน
เขาสอนว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ดูขันธ์ห้าในปัจจุบันไม่เห็นอะไรสักที กำลังสมาธิข่มให้นิ่งไปหมด
หงุดหงิด ไม่คืบหน้าสักที เปลี่ยนเป็นดูขันธ์ห้าในอดีตแทนแล้วกัน
นึกย้อนเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ปรากฏเป็นภาพ flashback ไล่ทีละเหตุการณ์
นำภาพเหตุการณ์เปิดวนไปมา จากอดีตมาปัจจุบัน จากปัจจุบันย้อนไปอดีต
เปิดภาพโหมด slow motion เห็นขันธ์ห้าในเหตุการณ์นั้นเกิดดับถี่เป็นสิบเฟรมภายในหนึ่งวินาที
จุดหนึ่งเกิดเอะใจขึ้นมา ทำไมตลอด 20 ปีที่ผ่านมาถึงมีแต่ภาพของขันธ์ห้าล่ะ
เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นความคิดที่เกิดขึ้น เห็นความสุขทุกข์ เห็นความจำ เห็นผู้สังเกตการณ์
ว่าแต่ "ตัวเรา" อยู่ที่ไหน นี่ขนาดเปิดโหมด slow motion แล้วนะ ทำไมถึงเห็นเฉพาะขันธ์ห้าล่ะ
เป็นไปไม่ได้ ทั้งชีวิต 20 ปีที่ผ่านมาจะไม่มีตัวเราได้อย่างไร ตัวเราอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นมาตลอดไม่ใช่เหรอ
ใจหนึ่งบอกให้เลิกดูขันธ์ห้าซะ ออกจากสมาธิซะ ใจรับไม่ได้ ไม่มีตัวเราได้อย่างไร ฟุ้งซ่านแน่เลย
แต่อีกใจอยากรู้อยากเห็น เจ็บปวดใจแค่ไหนก็จะหาคำตอบให้ได้ แม้ปวดใจจนตายก็ยอม
ตอนนั้นเลือกที่จะสู้ต่อ เป็นวินาทีที่เจ็บปวดใจที่สุดในชีวิต ราวกับกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างที่หนักอึ้งอยู่
จู่ๆ เหมือนข้ามไปอีกฝั่งได้สำเร็จ ความเจ็บปวดหายวับ และเกิดความมหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
✻ 2. ก้าวข้ามการมีอยู่ของตัวเรา ✻
"ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ห้า" นี่คือคำพูดแรกที่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เป็นข้อความที่หาอ่านได้ทั่วไปในตำรา แต่ครั้งนี้เห็นชัดด้วยตัวเอง ทึ่งมากจนร้องอุทานออกมา
ตามมาด้วยน้ำตาปิติที่ไหลออกจากตา ราวกับความอึดอัดทรมานใจตลอดสังสารวัฏได้ปลดปล่อยออก
ความรู้สึกแว็บแรกเหมือนโลกทั้งใบทลายต่อหน้า ที่ผ่านมามองโลกผ่านการมีอยู่ของตัวเรามาตลอด
ตัวเราเป็นเหมือนแว่นตามองโลก ตัวเราหายไปจึงมองโลกโดยตรงไม่ผ่านแว่น มีเพียงขันธ์ห้าที่อยู่ของมันตามธรรมชาติ
ไม่เคยมีตัวเราเลย ไม่มีตัวเราในขันธ์ห้า ไม่มีตัวเรานอกขันธ์ห้า ไม่มีเราในที่ใดเลย
ไม่มีเราในอดีต ไม่มีเราในปัจจุบัน ไม่มีเราในอนาคต ไม่มีเราจริงๆ
เดี๋ยวนะ ไม่มีเราในอนาคต นั่นมันคำพูดของอรหันต์ไม่ใช่เหรอ แต่ที่เห็นตอนนี้ก็ไม่มีเราจริงๆ นี่นา
ไม่ใช่นึกคิดเอง แต่รู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว" มันไม่เคยมีตัวเรามาตั้งแต่ต้น ตรงนี้เห็นชัดเจนมาก
ที่ผ่านมาโง่มาตลอด ไปหลงยึดว่าขันธ์ห้าเป็นตัวเรา ไปจินตนาการหาตัวเรานอกขันธ์ห้า มองโลกผ่านแว่นตาที่เรียกว่าตัวเรา
ความทุกข์ทั้งหลายเกาะกินตัวเราอยู่ พยายามรักษาเพื่อไม่ให้ความทุกข์มาเกาะตัวเรา
แต่ตอนนี้ตัวเราหายไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องรักษาแล้ว ความทุกข์ไม่มีที่เกาะ จึงรู้ชัดว่า "พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว"
ด้วยความคุ้นชินว่าไม่ควรหลงยินดีกับอาการแปลกๆ เตือนว่านั่นอาจเป็นของปลอม
โอเค ฟุ้งซ่านไปเอง กลับมาปฏิบัติต่อดีกว่า ลองพิจารณาหาสิ่งที่จะปฏิบัติต่อ ว่าแต่จะให้ปฏิบัติอะไรต่อล่ะ
ที่ผ่านมาเราอยากบรรลุธรรม พยายามปฏิบัติเพื่อให้เราบรรลุธรรม แต่ตอนนี้ตัวเราที่จะบรรลุธรรมมันหายไปแล้ว
ถึงรู้ชัดว่า "กิจที่ทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก" ไม่ใช่เพราะเป้าหมายสำเร็จแล้ว แต่เป้าหมายหายไปต่างหาก
เล่าประสบการณ์ ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
เมื่อก่อนเป็นเหมือนหลายคน คิดว่าต้องใช้กำลังสมาธิสูงๆ เพื่อเกิดปัญญาเห็นธรรม
เข้าฌานนานเท่าไรก็ไม่เกิดปัญญาสักที เริ่มเหนื่อย ออกจากฌานลงมาที่อุปจารสมาธิ
ที่จริงว่าจะพักผ่อนแล้ว แต่ใจคิดว่าไหนๆ ก็เข้าสมาธิทั้งที ลองดูขันธ์ห้าในอุปจารสมาธิแทนแล้วกัน
เขาสอนว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ดูขันธ์ห้าในปัจจุบันไม่เห็นอะไรสักที กำลังสมาธิข่มให้นิ่งไปหมด
หงุดหงิด ไม่คืบหน้าสักที เปลี่ยนเป็นดูขันธ์ห้าในอดีตแทนแล้วกัน
นึกย้อนเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ปรากฏเป็นภาพ flashback ไล่ทีละเหตุการณ์
นำภาพเหตุการณ์เปิดวนไปมา จากอดีตมาปัจจุบัน จากปัจจุบันย้อนไปอดีต
เปิดภาพโหมด slow motion เห็นขันธ์ห้าในเหตุการณ์นั้นเกิดดับถี่เป็นสิบเฟรมภายในหนึ่งวินาที
จุดหนึ่งเกิดเอะใจขึ้นมา ทำไมตลอด 20 ปีที่ผ่านมาถึงมีแต่ภาพของขันธ์ห้าล่ะ
เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นความคิดที่เกิดขึ้น เห็นความสุขทุกข์ เห็นความจำ เห็นผู้สังเกตการณ์
ว่าแต่ "ตัวเรา" อยู่ที่ไหน นี่ขนาดเปิดโหมด slow motion แล้วนะ ทำไมถึงเห็นเฉพาะขันธ์ห้าล่ะ
เป็นไปไม่ได้ ทั้งชีวิต 20 ปีที่ผ่านมาจะไม่มีตัวเราได้อย่างไร ตัวเราอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นมาตลอดไม่ใช่เหรอ
ใจหนึ่งบอกให้เลิกดูขันธ์ห้าซะ ออกจากสมาธิซะ ใจรับไม่ได้ ไม่มีตัวเราได้อย่างไร ฟุ้งซ่านแน่เลย
แต่อีกใจอยากรู้อยากเห็น เจ็บปวดใจแค่ไหนก็จะหาคำตอบให้ได้ แม้ปวดใจจนตายก็ยอม
ตอนนั้นเลือกที่จะสู้ต่อ เป็นวินาทีที่เจ็บปวดใจที่สุดในชีวิต ราวกับกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างที่หนักอึ้งอยู่
จู่ๆ เหมือนข้ามไปอีกฝั่งได้สำเร็จ ความเจ็บปวดหายวับ และเกิดความมหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
✻ 2. ก้าวข้ามการมีอยู่ของตัวเรา ✻
"ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ห้า" นี่คือคำพูดแรกที่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เป็นข้อความที่หาอ่านได้ทั่วไปในตำรา แต่ครั้งนี้เห็นชัดด้วยตัวเอง ทึ่งมากจนร้องอุทานออกมา
ตามมาด้วยน้ำตาปิติที่ไหลออกจากตา ราวกับความอึดอัดทรมานใจตลอดสังสารวัฏได้ปลดปล่อยออก
ความรู้สึกแว็บแรกเหมือนโลกทั้งใบทลายต่อหน้า ที่ผ่านมามองโลกผ่านการมีอยู่ของตัวเรามาตลอด
ตัวเราเป็นเหมือนแว่นตามองโลก ตัวเราหายไปจึงมองโลกโดยตรงไม่ผ่านแว่น มีเพียงขันธ์ห้าที่อยู่ของมันตามธรรมชาติ
ไม่เคยมีตัวเราเลย ไม่มีตัวเราในขันธ์ห้า ไม่มีตัวเรานอกขันธ์ห้า ไม่มีเราในที่ใดเลย
ไม่มีเราในอดีต ไม่มีเราในปัจจุบัน ไม่มีเราในอนาคต ไม่มีเราจริงๆ
เดี๋ยวนะ ไม่มีเราในอนาคต นั่นมันคำพูดของอรหันต์ไม่ใช่เหรอ แต่ที่เห็นตอนนี้ก็ไม่มีเราจริงๆ นี่นา
ไม่ใช่นึกคิดเอง แต่รู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว" มันไม่เคยมีตัวเรามาตั้งแต่ต้น ตรงนี้เห็นชัดเจนมาก
ที่ผ่านมาโง่มาตลอด ไปหลงยึดว่าขันธ์ห้าเป็นตัวเรา ไปจินตนาการหาตัวเรานอกขันธ์ห้า มองโลกผ่านแว่นตาที่เรียกว่าตัวเรา
ความทุกข์ทั้งหลายเกาะกินตัวเราอยู่ พยายามรักษาเพื่อไม่ให้ความทุกข์มาเกาะตัวเรา
แต่ตอนนี้ตัวเราหายไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องรักษาแล้ว ความทุกข์ไม่มีที่เกาะ จึงรู้ชัดว่า "พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว"
ด้วยความคุ้นชินว่าไม่ควรหลงยินดีกับอาการแปลกๆ เตือนว่านั่นอาจเป็นของปลอม
โอเค ฟุ้งซ่านไปเอง กลับมาปฏิบัติต่อดีกว่า ลองพิจารณาหาสิ่งที่จะปฏิบัติต่อ ว่าแต่จะให้ปฏิบัติอะไรต่อล่ะ
ที่ผ่านมาเราอยากบรรลุธรรม พยายามปฏิบัติเพื่อให้เราบรรลุธรรม แต่ตอนนี้ตัวเราที่จะบรรลุธรรมมันหายไปแล้ว
ถึงรู้ชัดว่า "กิจที่ทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก" ไม่ใช่เพราะเป้าหมายสำเร็จแล้ว แต่เป้าหมายหายไปต่างหาก