จนอยู่มาวันหนึ่ง ได้มีชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยอยู่บนแม่น้ำบางปะกง จึงได้พากันใช้เชือกผูกเพื่อดึงองค์พระพุทธรูปขึ้นมาจากน้ำ แต่ด้วยแรงดึงทำให้เชือกขาดสะบั้นและพระพุทธรูปองค์นั้นก็ได้ค่อยๆ จมแบบทวนกระแสน้ำ 3 รอบ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า 3 พระทวน และในปัจจุบันได้เพี้ยนกลายมาเป็นสัมปทวน อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ในปัจจุบันนั่นเอง
ในเวลาต่อมา ได้มีคนพบเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ลอยเหนือน้ำหน้าวัดโสธรวรารามวรวิหาร ช่วงต้น กรุงศรีอยุธยา หรือประมาณ 500 ปีก่อน ปัจจุบันเรียกว่าบางพระ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันมาฉุดองค์พระขึ้นอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้ จึงได้มีการปลูกศาลเพียงตาเพื่อเป็นการบวงสรวง และนำสายสิญจน์ผูกคล้องที่พระหัตถ์ขององค์พระพุทธรูปเพื่อดึงขึ้นมา เกิดปาฏิหาริย์ใหญ่เพราะสามารถดึงขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเพียงใช้แค่สายสิญจน์ ทำให้ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสและเคารพ และได้อัญเชิญให้ไปประดิษฐานที่พระวิหารวัดโสธรตั้งแต่นั้นมา

ค้าขายเจริยรุ่งเรือง
เมื่อครั้งในอดีต สถานที่ที่พบองค์พระพุทธรูปลอยน้ำมานั้น เป็นสถานที่ที่การคมนาคมไม่สะดวก ค้าขายยาก และมีผู้คนสัญจรน้อย ทำให้การค้าขายไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อได้นำ หลวงพ่อโสธร ขึ้นมาประดิษฐาน ณ ที่แห่งนั้นแล้ว การค้าขายกลับมาเจริญรุ่งเรือง ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาต่างแวะเวียนมาทำการค้าขาย จึงเป็นที่เคารพบูชาต่อพ่อค้าแม่ค้าเดินเรือ บ้างก็เชื่อว่าน้ำในแม่น้ำตรงที่หลวงพ่อโสธรประดิษฐานอยู่นั้นเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันนำน้ำไปรดบนเรือ หรือนำมาล้างหน้าล้างตา เสริมความเป็นสิริมงคล
ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและภัยอันตราย
เมื่อครั้งหนึ่ง ชาวบ้านในละแวกนั้นเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพง เกิดฤดูแล้ง ชาวบ้านอดอยาก อีกทั้งยังเกิดโรคระบาดฝีดาษทำให้เจ็บป่วย ทรมาน ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยงต่างก็ล้มตายไปกับโรคระบาดตามๆ กัน จนเมื่อวันหนึ่ง ได้มีครอบครัวหนึ่งไปกราบไหว้ขอพร หลวงพ่อโสธร ให้หายจากความทรมาน พร้อมนำยารักษา 3 อย่างคือ ขี้ธูป ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวจากการบูชา และน้ำมนต์มาต้มกินและอาบแทนน้ำเปล่า ทำให้เกิดปาฏิหาริย์แบบไม่คาดคิด เพราะจากที่เจ็บป่วยจากโรคระบาดเหมือนใกล้สิ้นลมหายใจ ก็กลับมาฟื้นคืนและแข็งแรงเป็นปกติ ทำให้ชาวบ้านยิ่งศรัทธาหลวงพ่อโสธรมากยิ่งขึ้น