ก่อนอื่นก็ต้องขอชมเชยทีมผู้จัด ผู้สร้าง ที่สามารถสร้างเนื้อเรื่องภาคต่อจนจบสมบูรณ์ ปลุกกระแสของประวัติศาสตร์ไทยขึ้นมาอีกครั้ง
ขนทัพนักแสดงคับคั่งล้นจอ การแคสบทหลายๆคนทำออกมาได้ดีมาก (ชื่นชม เกรท - แม่แก้ว เป็นการส่วนตัว) เบลล่ายังคงเป็นตัวแบกของเรื่อง การถ่ายทอดอารมณ์ การแสดง ยังคงมีมิติทำได้ดี Part ของเรื่องราวในวังทำออกมาได้สมเกียรติ และมีความปราณีต ตั้งแต่ฉากการส่งมอบราชสมบัติของเจ้าฟ้าเพชร-พร จนมาถึงพาร์ทท้ายๆอย่างฉากการส่งตัว ทั้งหมดนี้ในฐานะชายแทร่ ที่ดูบุพเพ - พรหมลิขิต ก็ขอชื่นชมจากใจจริง
ทีนี้มาใน รีวิวในส่วนที่คิดว่าภาคต่อนี้ มันมีจุดที่ไม่ประทับใจ ในการถ่ายทอดเรื่องราวของ พรหมลิขิต ซึ่งจะขอแบ่งเป็นข้อๆ หลายคนอาจจะเห็นด้วย เห็นต่างก็ไม่เป็นไร อันนี้มาจากมุมมองของผมที่ดูอย่างเดียว
(โดยไม่อ่านแพล็ตฟอร์มอื่น หรือจากแหล่งอื่นแม้แต่ใน pantip เพื่อให้ได้รีวิวที่เป็นตัวเองมากที่สุด)
1. ใส่ตัวประกอบมาเยอะมาก เยอะจนล้น การเกลี่ยบทที่ไม่ดี ทำให้สุดท้ายเรื่องนี้โดยเสียตำหนิเป็นอย่างมากว่าล่าช้า จนไม่น่าติดตาม
อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องไปได้ช้า และซ้ำไปซ้ำมาตลอดจนจบซีรี่ส์นี้จริงๆ ในพรหมลิขิตใส่ตัวละครมาเยอะมาก จนทำให้การดำเนินเรื่องไปได้ช้า เพราะต้องตัดไปตัดมา หรือไปใส่บทพูด (ที่ไม่ได้มีสาระสำคัญ) บางทีก็เสริมให้ได้พอขำ แต่บางทีก็ไม่รู้จะใส่มาทำไม ซึ่งสำหรับผมเป็นปัญหาที่เจอมาตั้งแต่ ep แรก จนถึง ep ท้ายๆ และทำให้เรื่องไม่น่าติดตาม พอเกลี่ยบทแย่ๆแล้ว ตัวละครอย่าง พี่เรืองเล็ก - ยี่หวา นี่ไม่ต้องใส่มาเลยก็ยังได้
2. การแสดงความรักของ พุดตาล และ ริด มันพร่ำเพรื่อ และไม่รู้สึกจริงๆว่า "รัก" อย่างบริสุทธิ์
ในประเด็นนี้ผมขอเทียบกับพาร์ทหมู่สงแล้วกันกัน คู่หมู่สง - แม่กลิ่น แม้จะเป็นคู่รอง airtime น้อยกว่า แต่กลับรู้สึกถึงความรักมากกว่า ผ่านไดอะล็อคตัวละคร บุคลที่สาม เช่นตอนที่หมู่สงไปปราบพยศเมียๆ หรือตอนที่แม่กลิ่น มาระบายกับยายกุย มันรู้สึกว่า real มากกว่า ส่วนแม่พุดตาลกับริดนั้น รู้สึกมันเป็นความรักแบบ puppy love เอาจริงๆเรียกว่า "หลง" ของพ่อริดแต่ฝ่ายเดียวก็ได้ เคมีพอได้ แต่น้ำหนักของความรัก ความรู้สึกกลับสู้คู่เอกของ บุพเพสันนิวาสไม่ได้เลย หรือแม้แต่คู่รองยังดูเหลื่อมๆกว่าเลย
3. บทเอา "ริด" มาฆ่าแท้ๆ ในองก์ถวายตัว
น่าจะเป็นพาร์ทที่มวลมหาประชาชนคิดเหมือนกันทั้งประเทศว่า เอาพ่อริดมาฆ่าจริงๆ กับองก์ถวายตัว ทั้งๆที่ตัวเองด้วยซ้ำที่ขอให้พุดตาล อยู่ในชาติภพนี้ต่อ แต่พอเจอประเด็นเรื่องขุนหลวง กลับปล่อยมือแบบไม่ยอม "ทำอะไรเลย" ซึ่งมันทำให้มิติความรักของคู่นี้ กลายเป็นอ่อนไปเลย ทั้งๆที่ต่างคนต่างรู้ชาติภพก่อน การผูกกรรมกันมา พุดตาลเองก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าควรสู้เพื่อนางบ้าง ตัวเอกเลือกที่จะปล่อยเฉยๆ บอกให้เป็นไปตาม พรหมลิขิต ซึ่งมันทำร้ายความรู้สึกคนดูมาก ว่านี่คือตัวเอกที่เราควรเทใจช่วยจริงๆไหมเนี่ย (ส่วนตัวผมหลัง ep นี้ มองพ่อริดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และไม่คิดว่าเหมาะกับพุดตาลด้วย) ในขณะที่บางกระแสบอกยอมเป็นเจ้าจอมให้ขุนหลวงดีกว่า
4. นำเสนออาหารไทย แบบล้นๆ
การนำเสนอเอกลักษณ์ไทย โดยเฉพาะการทำอาหารเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมจริงๆ แต่การใส่มาแบบยัดๆ ให้มันเต็ม airtime ผมก็มองว่ามันเยอะไปเหมือนกัน เข้าใจว่าเอาไปขายต่างชาติได้ เช่นเดียวกับซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้รู้สึกว่าใส่มาเยอะจนเกินพอดี บางเรื่องเรารู้ว่าอาหารน่าอร่อย โดยไม่ต้องมีคำอธิบายเอาไอ้นั่นมาทำไอ่นี้ เอาไอนี่ไปต้มอย่างงั้นอย่างงี้ด้วยซ้ำ (แต่ในส่วนนี้เข้าใจได้ ว่าใช้เป็นการเชื่อมตัวละครในเรื่องได้หลายตัว) ส่วนเรื่องอาหาร ยังมองว่ามีลูกเล่นสนุกๆได้ หรือแม้แต่ recipes ที่เป็นไทยเดิมๆ หรืออาหารที่เราหาทานไม่ได้แล้ว แต่มีในสมัยอยุธยามาก็ได้
5. ทิ้งตัวละครเก่าแบบไร้คุณค่าจริงๆ
อันนี้ขอชี้เป้าไปที่ "คุณพี่โป๊ป - พ่อเดช" ที่ภาคต่อนี้แทบจะเป็นตัวละครที่กลวงที่สุด ตัวละครหนึ่งไปเลย ทั้งความฉลาด ไหวพริบ ที่มีจากภาค 1 และภาคเสริมฉบับภาพยนต์ หายไปหมด มีหน้าที่ อือๆ ออๆ เออๆ กลายเป็นโยนบทไปให้แม่การะเกด ในการนำเรื่องต่างๆเสียเองเกือบทั้งหมด ซึ่งน่าเสียดายมาก สำหรับตัวละครที่จริงๆควรมีมิติ และสร้างสีสันให้เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
6. part ที่ควรขยี้ กลับไม่ขยี้ Part ที่ไม่ต้องขยี้เยอะ กลับไปเสียเวลาซะเยอะ
เข้าใจว่าขายจิ้น คู่พระนาง อันนี้เก็ต แต่นัยนึงเราเห็นเบลล่ากับโป๊ป จนฟินมารอบนึงแล้วใน บุพเพสันนิวาส การขายซ้ำ แบบ เยอะกว่าเดิม มันไม่ได้ทำให้อินมากกว่าเดิม ในภาคนี้เน้นล้ม เน้นกอดกันเยอะ จนมันดูซ้ำซากน่าเบื่อ และมันมองไม่เห็นความรักที่พัฒนาไปด้วยใจของทั้งคู่ มากไปกว่าการ skinship ของตัวละครเท่านั้นเลย ส่วน Part ที่ควรถูกพูดถึงเช่นเรื่องของหมู่สง เรื่องของแพรจีน เรื่องทุจริตของพระยาคลัง การปูภาพความรักของเจ้าฟ้าเพชร-พร หรือความสำพันธ์ของบุตรขุนหลวงท้ายสระก็หายไป ซึ่งจะสร้าง impact กับเรื่องได้มาก หรือการใส่ Hint ในเรื่องของพม่า / ตองอู เข้ามาก็ไม่มี ทั้งทีจริงๆแล้วในยุคนี้มันจะปูไปสู่การล่มสลายของอยุธยาต่อไป
7. มุขซ้ำไปซ้ำมา
เรื่องนี้ขอเขียนถึงนิดนึงกับมุขซ้ำๆซากๆในเรื่อง เช่น การให้พุดตาลพยายามพูดศัพท์วัยรุ่นปัจจุบัน (2023) ในยุคอยุธยา และตบมุขด้วยชาวบ้านทำหน้างงๆ ว่ามันคืออะไร แปลว่าอะไร มันยัดมุขแบบนี้มาจนล้น มีเกือบทุก ep ตอนละหลายคำ และดูยัดเยียดมากเกินไป จนบางทีไดอะล็อคมันเพี้ยน เพราะมันดูเหมือนอยากจะยัดให้พูดคำนี้ให้ได้ เพื่อมาเป็นกิมมิคเล็กๆในเรื่อง ซึ่งเอาจริงๆพุดตาลควรจะรู้ตั้งแต่มาอยู่ยุคนี้แล้วว่า แม้แต่คำไทย (บาลี+สันสกฤต)บางคำ คนสมัยนั้นก็ไม่ได้พูดแบบปัจจุบัน มันควรจะหลุดมาสร้างสีสันให้เรื่องแบบพอดีๆ ไม่ใช่เจตนายัดเข้ามาทื่อๆแบบนี้
8. พาร์ทย้อนอดีต ที่ควรสำคัญแต่ดูเหมือนละเลย
พาร์ทที่ย้อนไปในสมัยขอมโบราณแล้วกัน ควรจะเน้น และสร้างอารมณ์ร่วมได้มากกว่านี้ จริงๆจะเป็นเต็ม ep. ไปเลยซักตอนก็ได้ เพราะนี่คือแก่น คือปมที่ทำให้ตัวละครทั้งหมดผูกกันหลายภพหลายชาติ สรุปทำออกมาน่าจะ 2 เบรก (หรือเบรกเดียวด้วยซ้ำ) แถมพาร์ทที่ทำออกมา โปรดัคชั่นน่าเกลียดมาก คือการเอาตัวละครไปแปะไว้กับปราสาทหินเก่าๆ เออ.. นั่นควรเป็นวังเจ้าเมืองใช่ไหม จะเอา CG ลงมาหน่อย หรือไปใช้โลเคชั่นอื่นก็ยังไม่น่าเกลียด อันนี้เหมือนเน้นคอสตูมให้ตัวละคร แต่มันกลายเป็นลอยเอามากๆ กับฉากหลังหินๆ เก่าๆพังๆ ทหารมาวิ่งๆกันอยู่ 4 - 5 คน
9. พยายามเปรียบเทียบสังคม / norm ในอดีต มากไปนิดนึง
เพื่อนหญิงพลังหญิงก็ยังคงใส่เข้ามา หรือแม้กระทั่งสังคมชายเป็นใหญ่ หอชำเรา ก็ถูกใส่เข้ามา แต่เป็นการใส่เข้ามาเพื่อให้ถูกเปรียบเทียบกับ norm ทางสังคมในยุคปัจจุบัน (2023) ซึ่งจริงๆแล้ว ผู้จัดอาจจะเลือกนำเสนออีกด้านว่าทำไมผู้ชายถึงถูกนับเป็นใหญ่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งในฐานะของนักรบ และกำลังการผลิตหลักที่สำคัญในยุคสมัยนั้น แล้วให้คนดูทำความเข้าใจเอาเอง อีกประการหนึ่งแม้จะมีประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามา แต่พุดตาลก็ยังคงมีบ่าวถึงสองคนอยุ่ดี เหมือนภาคนี้จะพยายามให้พุดตาลเป็นตัวแทนของ gen ปัจจุบัน ที่มองโลกในอดีต แต่ผมกลับชอบภาคก่อนมากกว่า ที่ละครทำหน้าที่นำเสนอ fact ว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ แบบนี้ด้วยเหรือ ดดยไม่ต้องไปตัดสินอะไร แต่เอามาพูดคุยกันต่อนอกจอกันได้
10. เพลงประกอบละคร ซ้ำ มากๆ
อันนี้แย่จริง มันทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อมาก บุพเพภาคแรก ถ้าจำไม่ผิดมีเพลงดีๆจากทั้ง
ลิเดีย - เพียงสบตา
ไอซ์ - บุพเพสันนิวาส
แนน - เธอหนอเธอ
พีท พล - ออเจ้าเอย
ซึ่งแต่ละเพลงถูกใช้อย่างเหมาะสมในแต่ละองก์ ทั้งช่วงเศร้า ซึ้ง คิดถึง ฯลฯ
ส่วนภาคนี้ เข้าใจว่ามีสอง-สามเพลง
ธีรนัยน์ x คุณแสตมป์ - พรหมลิขิต
วี - ข้ามเวลา
กัน - เคียงขวัญ
แต่ในละครใช้เพลง พรหมลิขิต เกือบทุกฉาก .. มันน่าเบื่อจริงๆครับ ล้มที เพลงมา ล้มทีเพลงมา กอดทีเพลงมา กอดอีกทีเพลงก็มา แต่เพลงเดิมหมดเลย โดยเฉพาะใน ep ท้ายๆ เพลงข้ามเวลานี่แทบจะหายไปจากละครเลย
11. Ep. ท้ายๆ speed run มากไป
อันนี้เดี๋ยวคนอ่านจะงง ว่าช้าก็บ่น เร็วก็ไม่ชอบ ... ไม่ใช่ๆ ผมไม่ได้หมายถึงความเร็วในการเล่าเรื่อง
แต่หมายถึงการใส่อะไรมาแบบไม่สมเหตุสมผล เช่นจู่ๆพ่อริดก็ไปเจอ พระยาโกษาธิบดี คุยเรื่องภาษีข้าวจากจีนกันทื่อๆ
จู่ๆก็ไปเจอเรื่องชั่วช้าสามาณย์ ส่วย โสเภณีจีน กับแบบง่ายๆเลย แล้วก็เข้าไปดีลว่าโอเคงั้นขอลาออกนะ บาย
เดี๋ยว พี่เป็นมหาดเล็กนะโว้ย ต่างพระเนตรพระกรรณ นี่ก็จบลวกเกิน พี่เรืองบ่นจะตายก็ยัดให้เป็นไข้ป่า ตายๆไปเลยงี้ ตายในเบรกเดียว ถึงบอกในข้อแรกๆว่าพอเกลี่ยบทตัวละครแบบนี้แล้ว มันยิ่งทำให้เหมือนทิ้งๆขว้างๆตัวละครจริงๆ
12. เรื่องนี้สรุปง่ายกว่าถ้าเป็น รอม-คอม มากกว่ามองเป็นละคร พีเรียด
อันนี้เป็นสรุปของตัวผมเองนะ ว่าพรหมลิขิต ควรถูกจัดให้เป็นรอม-คอม มากกว่ามองให้เป็นละครพีเรียด ที่ถ่ายทอดวิถี - ความคิดตัวละครในยุคๆหนึ่ง
แต่เป็นเนื้อเรื่องความรักของคนสองคน ที่มี theme ของอยุธยาเป็นฉากหลังมากกว่า
ทั้งนี้ ก็ยังคงขอบคุณผู้จัดและนักแสดง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ได้ดูทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็เห็นความตั้งใจที่แท้จริงของผู้จัดและนักแสดง การทำการบ้านทั้งฝ่ายประวัติศาสตร์ คอสตูม ฯฃฯ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นมุมมองที่ผมมีต่อ พรหมลิขิต หรือ Love Destiny2 ครับ
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บข่าวทางเน็ต และจากทาง pantip ด้วยครับ
ชายแทร่ ขอรีวิว "พรหมลิขิต" Love Destiny 2
ขนทัพนักแสดงคับคั่งล้นจอ การแคสบทหลายๆคนทำออกมาได้ดีมาก (ชื่นชม เกรท - แม่แก้ว เป็นการส่วนตัว) เบลล่ายังคงเป็นตัวแบกของเรื่อง การถ่ายทอดอารมณ์ การแสดง ยังคงมีมิติทำได้ดี Part ของเรื่องราวในวังทำออกมาได้สมเกียรติ และมีความปราณีต ตั้งแต่ฉากการส่งมอบราชสมบัติของเจ้าฟ้าเพชร-พร จนมาถึงพาร์ทท้ายๆอย่างฉากการส่งตัว ทั้งหมดนี้ในฐานะชายแทร่ ที่ดูบุพเพ - พรหมลิขิต ก็ขอชื่นชมจากใจจริง
ทีนี้มาใน รีวิวในส่วนที่คิดว่าภาคต่อนี้ มันมีจุดที่ไม่ประทับใจ ในการถ่ายทอดเรื่องราวของ พรหมลิขิต ซึ่งจะขอแบ่งเป็นข้อๆ หลายคนอาจจะเห็นด้วย เห็นต่างก็ไม่เป็นไร อันนี้มาจากมุมมองของผมที่ดูอย่างเดียว
(โดยไม่อ่านแพล็ตฟอร์มอื่น หรือจากแหล่งอื่นแม้แต่ใน pantip เพื่อให้ได้รีวิวที่เป็นตัวเองมากที่สุด)
1. ใส่ตัวประกอบมาเยอะมาก เยอะจนล้น การเกลี่ยบทที่ไม่ดี ทำให้สุดท้ายเรื่องนี้โดยเสียตำหนิเป็นอย่างมากว่าล่าช้า จนไม่น่าติดตาม
อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องไปได้ช้า และซ้ำไปซ้ำมาตลอดจนจบซีรี่ส์นี้จริงๆ ในพรหมลิขิตใส่ตัวละครมาเยอะมาก จนทำให้การดำเนินเรื่องไปได้ช้า เพราะต้องตัดไปตัดมา หรือไปใส่บทพูด (ที่ไม่ได้มีสาระสำคัญ) บางทีก็เสริมให้ได้พอขำ แต่บางทีก็ไม่รู้จะใส่มาทำไม ซึ่งสำหรับผมเป็นปัญหาที่เจอมาตั้งแต่ ep แรก จนถึง ep ท้ายๆ และทำให้เรื่องไม่น่าติดตาม พอเกลี่ยบทแย่ๆแล้ว ตัวละครอย่าง พี่เรืองเล็ก - ยี่หวา นี่ไม่ต้องใส่มาเลยก็ยังได้
2. การแสดงความรักของ พุดตาล และ ริด มันพร่ำเพรื่อ และไม่รู้สึกจริงๆว่า "รัก" อย่างบริสุทธิ์
ในประเด็นนี้ผมขอเทียบกับพาร์ทหมู่สงแล้วกันกัน คู่หมู่สง - แม่กลิ่น แม้จะเป็นคู่รอง airtime น้อยกว่า แต่กลับรู้สึกถึงความรักมากกว่า ผ่านไดอะล็อคตัวละคร บุคลที่สาม เช่นตอนที่หมู่สงไปปราบพยศเมียๆ หรือตอนที่แม่กลิ่น มาระบายกับยายกุย มันรู้สึกว่า real มากกว่า ส่วนแม่พุดตาลกับริดนั้น รู้สึกมันเป็นความรักแบบ puppy love เอาจริงๆเรียกว่า "หลง" ของพ่อริดแต่ฝ่ายเดียวก็ได้ เคมีพอได้ แต่น้ำหนักของความรัก ความรู้สึกกลับสู้คู่เอกของ บุพเพสันนิวาสไม่ได้เลย หรือแม้แต่คู่รองยังดูเหลื่อมๆกว่าเลย
3. บทเอา "ริด" มาฆ่าแท้ๆ ในองก์ถวายตัว
น่าจะเป็นพาร์ทที่มวลมหาประชาชนคิดเหมือนกันทั้งประเทศว่า เอาพ่อริดมาฆ่าจริงๆ กับองก์ถวายตัว ทั้งๆที่ตัวเองด้วยซ้ำที่ขอให้พุดตาล อยู่ในชาติภพนี้ต่อ แต่พอเจอประเด็นเรื่องขุนหลวง กลับปล่อยมือแบบไม่ยอม "ทำอะไรเลย" ซึ่งมันทำให้มิติความรักของคู่นี้ กลายเป็นอ่อนไปเลย ทั้งๆที่ต่างคนต่างรู้ชาติภพก่อน การผูกกรรมกันมา พุดตาลเองก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าควรสู้เพื่อนางบ้าง ตัวเอกเลือกที่จะปล่อยเฉยๆ บอกให้เป็นไปตาม พรหมลิขิต ซึ่งมันทำร้ายความรู้สึกคนดูมาก ว่านี่คือตัวเอกที่เราควรเทใจช่วยจริงๆไหมเนี่ย (ส่วนตัวผมหลัง ep นี้ มองพ่อริดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และไม่คิดว่าเหมาะกับพุดตาลด้วย) ในขณะที่บางกระแสบอกยอมเป็นเจ้าจอมให้ขุนหลวงดีกว่า
4. นำเสนออาหารไทย แบบล้นๆ
การนำเสนอเอกลักษณ์ไทย โดยเฉพาะการทำอาหารเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมจริงๆ แต่การใส่มาแบบยัดๆ ให้มันเต็ม airtime ผมก็มองว่ามันเยอะไปเหมือนกัน เข้าใจว่าเอาไปขายต่างชาติได้ เช่นเดียวกับซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้รู้สึกว่าใส่มาเยอะจนเกินพอดี บางเรื่องเรารู้ว่าอาหารน่าอร่อย โดยไม่ต้องมีคำอธิบายเอาไอ้นั่นมาทำไอ่นี้ เอาไอนี่ไปต้มอย่างงั้นอย่างงี้ด้วยซ้ำ (แต่ในส่วนนี้เข้าใจได้ ว่าใช้เป็นการเชื่อมตัวละครในเรื่องได้หลายตัว) ส่วนเรื่องอาหาร ยังมองว่ามีลูกเล่นสนุกๆได้ หรือแม้แต่ recipes ที่เป็นไทยเดิมๆ หรืออาหารที่เราหาทานไม่ได้แล้ว แต่มีในสมัยอยุธยามาก็ได้
5. ทิ้งตัวละครเก่าแบบไร้คุณค่าจริงๆ
อันนี้ขอชี้เป้าไปที่ "คุณพี่โป๊ป - พ่อเดช" ที่ภาคต่อนี้แทบจะเป็นตัวละครที่กลวงที่สุด ตัวละครหนึ่งไปเลย ทั้งความฉลาด ไหวพริบ ที่มีจากภาค 1 และภาคเสริมฉบับภาพยนต์ หายไปหมด มีหน้าที่ อือๆ ออๆ เออๆ กลายเป็นโยนบทไปให้แม่การะเกด ในการนำเรื่องต่างๆเสียเองเกือบทั้งหมด ซึ่งน่าเสียดายมาก สำหรับตัวละครที่จริงๆควรมีมิติ และสร้างสีสันให้เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
6. part ที่ควรขยี้ กลับไม่ขยี้ Part ที่ไม่ต้องขยี้เยอะ กลับไปเสียเวลาซะเยอะ
เข้าใจว่าขายจิ้น คู่พระนาง อันนี้เก็ต แต่นัยนึงเราเห็นเบลล่ากับโป๊ป จนฟินมารอบนึงแล้วใน บุพเพสันนิวาส การขายซ้ำ แบบ เยอะกว่าเดิม มันไม่ได้ทำให้อินมากกว่าเดิม ในภาคนี้เน้นล้ม เน้นกอดกันเยอะ จนมันดูซ้ำซากน่าเบื่อ และมันมองไม่เห็นความรักที่พัฒนาไปด้วยใจของทั้งคู่ มากไปกว่าการ skinship ของตัวละครเท่านั้นเลย ส่วน Part ที่ควรถูกพูดถึงเช่นเรื่องของหมู่สง เรื่องของแพรจีน เรื่องทุจริตของพระยาคลัง การปูภาพความรักของเจ้าฟ้าเพชร-พร หรือความสำพันธ์ของบุตรขุนหลวงท้ายสระก็หายไป ซึ่งจะสร้าง impact กับเรื่องได้มาก หรือการใส่ Hint ในเรื่องของพม่า / ตองอู เข้ามาก็ไม่มี ทั้งทีจริงๆแล้วในยุคนี้มันจะปูไปสู่การล่มสลายของอยุธยาต่อไป
7. มุขซ้ำไปซ้ำมา
เรื่องนี้ขอเขียนถึงนิดนึงกับมุขซ้ำๆซากๆในเรื่อง เช่น การให้พุดตาลพยายามพูดศัพท์วัยรุ่นปัจจุบัน (2023) ในยุคอยุธยา และตบมุขด้วยชาวบ้านทำหน้างงๆ ว่ามันคืออะไร แปลว่าอะไร มันยัดมุขแบบนี้มาจนล้น มีเกือบทุก ep ตอนละหลายคำ และดูยัดเยียดมากเกินไป จนบางทีไดอะล็อคมันเพี้ยน เพราะมันดูเหมือนอยากจะยัดให้พูดคำนี้ให้ได้ เพื่อมาเป็นกิมมิคเล็กๆในเรื่อง ซึ่งเอาจริงๆพุดตาลควรจะรู้ตั้งแต่มาอยู่ยุคนี้แล้วว่า แม้แต่คำไทย (บาลี+สันสกฤต)บางคำ คนสมัยนั้นก็ไม่ได้พูดแบบปัจจุบัน มันควรจะหลุดมาสร้างสีสันให้เรื่องแบบพอดีๆ ไม่ใช่เจตนายัดเข้ามาทื่อๆแบบนี้
8. พาร์ทย้อนอดีต ที่ควรสำคัญแต่ดูเหมือนละเลย
พาร์ทที่ย้อนไปในสมัยขอมโบราณแล้วกัน ควรจะเน้น และสร้างอารมณ์ร่วมได้มากกว่านี้ จริงๆจะเป็นเต็ม ep. ไปเลยซักตอนก็ได้ เพราะนี่คือแก่น คือปมที่ทำให้ตัวละครทั้งหมดผูกกันหลายภพหลายชาติ สรุปทำออกมาน่าจะ 2 เบรก (หรือเบรกเดียวด้วยซ้ำ) แถมพาร์ทที่ทำออกมา โปรดัคชั่นน่าเกลียดมาก คือการเอาตัวละครไปแปะไว้กับปราสาทหินเก่าๆ เออ.. นั่นควรเป็นวังเจ้าเมืองใช่ไหม จะเอา CG ลงมาหน่อย หรือไปใช้โลเคชั่นอื่นก็ยังไม่น่าเกลียด อันนี้เหมือนเน้นคอสตูมให้ตัวละคร แต่มันกลายเป็นลอยเอามากๆ กับฉากหลังหินๆ เก่าๆพังๆ ทหารมาวิ่งๆกันอยู่ 4 - 5 คน
9. พยายามเปรียบเทียบสังคม / norm ในอดีต มากไปนิดนึง
เพื่อนหญิงพลังหญิงก็ยังคงใส่เข้ามา หรือแม้กระทั่งสังคมชายเป็นใหญ่ หอชำเรา ก็ถูกใส่เข้ามา แต่เป็นการใส่เข้ามาเพื่อให้ถูกเปรียบเทียบกับ norm ทางสังคมในยุคปัจจุบัน (2023) ซึ่งจริงๆแล้ว ผู้จัดอาจจะเลือกนำเสนออีกด้านว่าทำไมผู้ชายถึงถูกนับเป็นใหญ่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งในฐานะของนักรบ และกำลังการผลิตหลักที่สำคัญในยุคสมัยนั้น แล้วให้คนดูทำความเข้าใจเอาเอง อีกประการหนึ่งแม้จะมีประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามา แต่พุดตาลก็ยังคงมีบ่าวถึงสองคนอยุ่ดี เหมือนภาคนี้จะพยายามให้พุดตาลเป็นตัวแทนของ gen ปัจจุบัน ที่มองโลกในอดีต แต่ผมกลับชอบภาคก่อนมากกว่า ที่ละครทำหน้าที่นำเสนอ fact ว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ แบบนี้ด้วยเหรือ ดดยไม่ต้องไปตัดสินอะไร แต่เอามาพูดคุยกันต่อนอกจอกันได้
10. เพลงประกอบละคร ซ้ำ มากๆ
อันนี้แย่จริง มันทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อมาก บุพเพภาคแรก ถ้าจำไม่ผิดมีเพลงดีๆจากทั้ง
ลิเดีย - เพียงสบตา
ไอซ์ - บุพเพสันนิวาส
แนน - เธอหนอเธอ
พีท พล - ออเจ้าเอย
ซึ่งแต่ละเพลงถูกใช้อย่างเหมาะสมในแต่ละองก์ ทั้งช่วงเศร้า ซึ้ง คิดถึง ฯลฯ
ส่วนภาคนี้ เข้าใจว่ามีสอง-สามเพลง
ธีรนัยน์ x คุณแสตมป์ - พรหมลิขิต
วี - ข้ามเวลา
กัน - เคียงขวัญ
แต่ในละครใช้เพลง พรหมลิขิต เกือบทุกฉาก .. มันน่าเบื่อจริงๆครับ ล้มที เพลงมา ล้มทีเพลงมา กอดทีเพลงมา กอดอีกทีเพลงก็มา แต่เพลงเดิมหมดเลย โดยเฉพาะใน ep ท้ายๆ เพลงข้ามเวลานี่แทบจะหายไปจากละครเลย
11. Ep. ท้ายๆ speed run มากไป
อันนี้เดี๋ยวคนอ่านจะงง ว่าช้าก็บ่น เร็วก็ไม่ชอบ ... ไม่ใช่ๆ ผมไม่ได้หมายถึงความเร็วในการเล่าเรื่อง
แต่หมายถึงการใส่อะไรมาแบบไม่สมเหตุสมผล เช่นจู่ๆพ่อริดก็ไปเจอ พระยาโกษาธิบดี คุยเรื่องภาษีข้าวจากจีนกันทื่อๆ
จู่ๆก็ไปเจอเรื่องชั่วช้าสามาณย์ ส่วย โสเภณีจีน กับแบบง่ายๆเลย แล้วก็เข้าไปดีลว่าโอเคงั้นขอลาออกนะ บาย
เดี๋ยว พี่เป็นมหาดเล็กนะโว้ย ต่างพระเนตรพระกรรณ นี่ก็จบลวกเกิน พี่เรืองบ่นจะตายก็ยัดให้เป็นไข้ป่า ตายๆไปเลยงี้ ตายในเบรกเดียว ถึงบอกในข้อแรกๆว่าพอเกลี่ยบทตัวละครแบบนี้แล้ว มันยิ่งทำให้เหมือนทิ้งๆขว้างๆตัวละครจริงๆ
12. เรื่องนี้สรุปง่ายกว่าถ้าเป็น รอม-คอม มากกว่ามองเป็นละคร พีเรียด
อันนี้เป็นสรุปของตัวผมเองนะ ว่าพรหมลิขิต ควรถูกจัดให้เป็นรอม-คอม มากกว่ามองให้เป็นละครพีเรียด ที่ถ่ายทอดวิถี - ความคิดตัวละครในยุคๆหนึ่ง
แต่เป็นเนื้อเรื่องความรักของคนสองคน ที่มี theme ของอยุธยาเป็นฉากหลังมากกว่า
ทั้งนี้ ก็ยังคงขอบคุณผู้จัดและนักแสดง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ได้ดูทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็เห็นความตั้งใจที่แท้จริงของผู้จัดและนักแสดง การทำการบ้านทั้งฝ่ายประวัติศาสตร์ คอสตูม ฯฃฯ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นมุมมองที่ผมมีต่อ พรหมลิขิต หรือ Love Destiny2 ครับ
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บข่าวทางเน็ต และจากทาง pantip ด้วยครับ