รีวิวละคร #พรหมลิขิต กับการดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่องจนฉุดไม่อยู่
1. การตัดต่อที่ไม่มีการเรียบเรียง ส่วนที่ควรจะขยี้อารมณ์ แต่ตัดไปเล่นซีนอื่น เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวตลก เดี๋ยวตึงเครียด คนดูจะเป็นไบโพลาร์แทน มันเลยทำให้รู้สึกไม่อิน ตอนกำลังจะอินก็รีบตัดไปซีนอื่นแล้ว
2. พล็อตเรื่องที่วนซ้ำเดิมไปมา แม่พุตตานทำอาหาร พระเอกมาเที่ยวหาที่บ้าน แม่พุตตานทำกับข้าวให้กิน ซ้อมดาบ งอนกัน เลิฟซีน งอนกันอีก ดีกัน แล้วก็ตัดไปเล่าเรื่องกฎหมายปลาตะเพียนอีก แบบนี้ทั้งเรื่องจริงๆ
3. นอกจากพล็อตจะซ้ำแล้ว บทตัวละครก็ย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน ต้นเรื่องก็มีแต่โอเคเจ้าค่ะ โอเคขอรับอยู่นั่นแหละ มากลางเรื่องก็เอาแต่ขอจับคัมภีร์กฎษณะกาลี เถียงกับพระเอกอยู่หลายตอน มาท้ายเรื่องก็วนอยู่แต่บทขัดขุนหลวงไม่จบไม่สิ้น บทแม่กลิ่นก็ไม่จบซะทีกับเรื่องที่ให้หมู่สงไปเลิกกับเมีย คนดูอย่างเราก็ได้แต่แบบ เห้อ จะหมดได้ยังบทพวกนี้ พออีพีถัดไปอ้าวบทนี้มาอีกละ อุตส่าห์มีตอนเพิ่มมาจากภาคแรกตั้ง 16 อีพี ส่วนที่จะเล่าไม่เล่า แต่ส่วนที่เล่าไปแล้วก็เล่าอีก เล่าแล้วก็เล่าอีกได้ เหมือนคนคิดอะไรไม่ออกก็ส่งงานไฟนอลแบบลวกๆแบบนี้ไปแล้วกัน
4. ต่อจากข้อที่เเล้ว นอกจากพล็อตจะซ้ำ บทจะซ้ำแล้ว ยังมีซีนที่ไม่เข้าใจว่าหนังยัดเข้ามาทำไม นั่นคือซีนย้อนรอยไปเล่าตำนานความรักของแม่พุตตานกับพ่อริด เกือบครึ่งตอนเต็มๆ แล้วย้อนไปอีกหลายร้อยปี อันนี้เราว่าหนังออกทะเลไปไกลแล้ว เหมือนหาจุดจบของหนังไม่ได้ ก็เอาตามนี้แล้วกัน
5. ความไม่สมเหตุสมผลเยอะมากเช่นกัน ขุนหลวงที่ออกมาเดินเตร็ดเตร่เที่ยวเมือง เหมือนไม่มีงานมีการทำ แล้วก็วนกลับไปเล่าเรื่องกฎหมายปลาตะเพียนไม่จบไม่สิ้น คุณหญิงย่าจะตายพ่อเรืองฝาแฝดก็ไม่กลับมาดูใจย่า เพราะห่วงงานแต่งงานมากกว่าเนี่ยนะ คงอยากตัดตัวละครนี้ออกเต็มที มันเลยดูยัดเยียดสุดๆ ทั้งที่ความเป็นจริงจะไม่กลับไปดูใจย่าที่เลี้ยงดูตัวเองมาแต่เด็กซักนิดเลยหรอ ไหนจะตอนท้ายที่ชีปะขาวให้พุตตานเลือกว่าจะกลับยุคปัจจุบันหรืออยู่อยุธยาต่อ โอเคพุตตานเลือกอยู่กับพระเอก แล้วยังไงอ่ะ ก็ง่ายงั้นเลย อยากกลับบ้านมา 20 อีพี สุดท้ายเลือกอยู่กับผู้ชายเลย ไม่อยากกลับขึ้นมาซะงั้น ทั้งๆที่พระเอกก็ไม่ได้ทำอะไรให้เลยเนี่ยนะ
6. นักแสดงที่ขนมาเยอะมาก เยอะเหมือนที่เค้าเคลมไว้ตั้งแต่แรก แต่เพราะตัวละครเยอะนี่แหละ แทนที่จะได้อินกับพระเอกนางเอก เราเลยไม่อินอ่ะ ตัวละครที่ควรจะอยู่อย่างลูกแม่ปรางกับพ่อเรืองก็มาโผล่แค่กลางเรื่องนิดเดียว บทฝาแฝดพ่อริดก็น้อย (แต่โอเคเข้าใจว่าไม่อยากให้คนดูสับสน แต่นั่นก็เพราะพระเอกนางเอกยังเป็นโป๊บกับเบลล่าไง มันเลยตายตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว)
7. เมคอัพตัวละครที่ไม่สมเหตุสมผล เวลาผ่านมาตั้ง 20 ปี แต่ตัวละครแทบไม่แก่ แค่ใส่หงอก ใส่หนวด เปลี่ยนทรงผม ก็เท่ากับแก่แล้ว ทั้งๆที่งบก็ลงทุนกับซีจีไปตั้งเยอะ
8. สิ่งที่ทำให้ละครเรื่องนี้ดิ่งลงเหวแบบขั้นสุด คือบทของพระเอกนี่น่าหงุดหงิดตั้งแต่ต้นจนจบ พูดตามตรงว่าเละเทะ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้กร่อยไปเยอะพอสมควร ก็เห็นเล่าตำนานความรักซะใหญ่โตเชียว แต่พระเอกไม่ทำเ....ยอะไรเลย ไม่ขัดย่า ไม่ขัดขุนหลวง ขุนหลวงจะให้แม่หญิงแพรจีนเป็นเมียก็ไม่ขัด ขุนหลวงจะเอาแม่พุตตานทำเมียก็ไม่กล้าขัด จนสุดท้ายต้องให้แม่ ให้นางเอกเคลียร์ให้ แล้วสุดท้ายหนังก็บอกว่านี่คือพรหมลิขิตนะ แบบเออเห้ย ง่ายงั้นเชียว
ถ้าใครได้ติดตามจริงๆจะรู้ว่าหนังมันมีช่องโหว่อีกเยอะมาก และมีหลายซีนที่ขมวดปมไว้ แล้วก็ผูกไว้แบบนั้นเลย อยากจะตัดบทตัวละครไหนก็ตัดทิ้งดื้อๆเลย ยิ่งตอนท้ายๆหนังเล่าเร็วมาก 5 นาทีก่อนกำลังจะแต่งงาน ผ่านมา 5 นาทีแต่งงานเสร็จแล้ว 3 นาทีก่อนคนนี้ใกล้ตาย ผ่านมาอีก 3 นาทีเอ้าตายแล้ว คือมันดูไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไรเลย ถ้าใครเผลอลุกไปฉี่กลับมาดูต่อคืองงแล้วนะ
*** แต่ถึงอย่างงั้นข้อดีก็มีอยู่บ้างถึงจะไม่เยอะ นั่นคือบทตัวละครเดิมยังสามารถทำเราขำตามได้ โดยเฉพาะบทของผินแย้มที่โผล่มาทีรัยสนุกตลอด หรือตอนที่จับผิดแม่พุตตานว่าใช่แม่นายของตัวเองจริงมั้ย ทำเราอินได้จริงๆ แต่ก็มาซะน้อยเลย ส่วนบทของพ่อเดชกับแม่การะเกด เรียกว่าเกือบดี บางช่วงก็ดี แต่บางช่วงออกไปทางน่ารำคาญโดยเฉพาะพ่อเดชที่บทน่ารำคาญพอๆกับลูกชาย ส่วนบทแม่พุตตานเนี่ยซีนที่อยู่คนเดียวก็รู้สึกสนุกดี ชอบ แต่พอพระเอกเข้าซีนมา หนังกร่อยทันที กลายเป็นหนังรักน้ำเน่าที่ดูออกว่าจงใจยัดเข้ามา หรือแม้แต่พระเอกไปเข้าซีนกับตัวละครอื่นก็ยังทำให้คนดูหงุดหงิดได้เหมือนกัน
ส่วนตัวละครใหม่ที่ทำเราเซอร์ไพร์สเลยคือบทของอึ่ง ความน่ารัก ซื่อตรง ไร้เดียงสา ทำให้เราอินตามได้ ขำตามได้ บทจะเศร้าก็เศร้าจริงๆ อันเนี้ยดีมาก เสียดายที่พอกลางเรื่องบทของอึ่งน้อยลง ความสนุกเลยหายไป บทของยายกุยก็โอเค ถ้าตลกคือตลกจริงๆ แต่ก็นั่นแหละบทน้อยเหมือนเดิม
ส่วนตัวได้ลองกลับไปดูบุพเพสันนิวาส ซึ่งก็ดูมาแล้วหลายรอบจนนับไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่ไม่เคยเบื่อ เป็น 15 ตอนที่ครบรสมาก ยิ่งเอามาฉายใน Netflix มีการตัดต่อเรียบเรียงให้มันเข้าใจง่ายขึ้น ตัดซีนที่ไม่จำเป็นออกก็เยอะ ซึ่งดีมากเลย แต่กับเรื่องพรหมลิขิตเนี่ย ดูไปก็รู้สึกเหนื่อย ความคิดที่เด้งขึ้นมาในหัวคือเมื่อไหร่จะจบ จบเถอะ ไม่อยากดูต่อ แต่เพราะชอบบุพเพมาก สุดท้ายก็ทนดูต่อ แต่ขอไม่กลับมาดูซ้ำอีกรอบ 2 แค่นั้นเอง
ออกตัวก่อนว่าส่วนตัวชอบนักแสดงนะ นักแสดงทุกคนทำได้ดีหมด แต่บทละครแย่ก็คือแย่ ใครจะชอบก็ไม่ว่าเนาะ สนุกใครสนุกมัน แต่ส่วนตัวแค่รู้สึกว่าเป็นละครที่หาจุดเด่นตัวเองไม่เจอ จะแนวโรแมนติกก็ทำได้ไม่ดี ออกไปทางน่ารำคาญแทน จะแนวตลกก็ตลกได้ไม่สุด จะดราม่าการเมืองมั้ย ก็ไม่ขนาดนั้น ต่อให้เราถอดสมองออก ดูเพื่อความบันเทิง แต่มันไม่ทำให้เราบันเทิงไง ออกไปทางหดหู่ด้วยซ้ำ บอกเลยว่าถ้ามีภาค 3 อีก ขอบายดีกว่า
คำถามคือ แล้วทำไมหลายคนถึงรู้สึกผิดหวัง? เพราะเชื่อว่าหลายคนต้องเคยดูละครบุพเพสันนิวาส ซึ่งถ้ามีคะแนนเต็ม 100 ต้องให้ 1,000 อ่ะ คือดูกี่รอบก็สนุก ไม่เบื่อ พอรู้ว่าจะมีภาคต่อคนเลยตั้งตารอดูตั้งหลายปี แต่สุดท้ายหนังมันไม่ได้ดีแบบที่คิด เข้าใจแหละว่าภาค 2 จะสนุกเท่าภาคแรกได้ไง แต่ก็ไม่ใช่จะต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ หรือคนเขียนบทคิดเยอะไปมั้ย คิดว่าต้องมีแบบนั้นแบบนี้ให้สมแก่การรอคอย แต่มันกลายเป็นละครที่เส้นเรื่องพันกันเหมือนผมไม่ได้สระหลายวันอ่ะ ถ้าทำให้ละครมันดูเบาสมองกว่านี้ เอาเส้นเรื่องเรียบๆแต่คนได้อินไปกับตัวครดีกว่า
สำหรับใครมีความคิดเห็นที่เหมือนเราหรือต่างออกไปก็มาพูดคุยกันได้นะ จากใจคนรักละครบุพเพสันนิวาส
รีวิวละคร #พรหมลิขิต กับการดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่องจนฉุดไม่อยู่
รีวิวละคร #พรหมลิขิต กับการดิ่งลงเหวอย่างต่อเนื่องจนฉุดไม่อยู่
1. การตัดต่อที่ไม่มีการเรียบเรียง ส่วนที่ควรจะขยี้อารมณ์ แต่ตัดไปเล่นซีนอื่น เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวตลก เดี๋ยวตึงเครียด คนดูจะเป็นไบโพลาร์แทน มันเลยทำให้รู้สึกไม่อิน ตอนกำลังจะอินก็รีบตัดไปซีนอื่นแล้ว
2. พล็อตเรื่องที่วนซ้ำเดิมไปมา แม่พุตตานทำอาหาร พระเอกมาเที่ยวหาที่บ้าน แม่พุตตานทำกับข้าวให้กิน ซ้อมดาบ งอนกัน เลิฟซีน งอนกันอีก ดีกัน แล้วก็ตัดไปเล่าเรื่องกฎหมายปลาตะเพียนอีก แบบนี้ทั้งเรื่องจริงๆ
3. นอกจากพล็อตจะซ้ำแล้ว บทตัวละครก็ย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน ต้นเรื่องก็มีแต่โอเคเจ้าค่ะ โอเคขอรับอยู่นั่นแหละ มากลางเรื่องก็เอาแต่ขอจับคัมภีร์กฎษณะกาลี เถียงกับพระเอกอยู่หลายตอน มาท้ายเรื่องก็วนอยู่แต่บทขัดขุนหลวงไม่จบไม่สิ้น บทแม่กลิ่นก็ไม่จบซะทีกับเรื่องที่ให้หมู่สงไปเลิกกับเมีย คนดูอย่างเราก็ได้แต่แบบ เห้อ จะหมดได้ยังบทพวกนี้ พออีพีถัดไปอ้าวบทนี้มาอีกละ อุตส่าห์มีตอนเพิ่มมาจากภาคแรกตั้ง 16 อีพี ส่วนที่จะเล่าไม่เล่า แต่ส่วนที่เล่าไปแล้วก็เล่าอีก เล่าแล้วก็เล่าอีกได้ เหมือนคนคิดอะไรไม่ออกก็ส่งงานไฟนอลแบบลวกๆแบบนี้ไปแล้วกัน
4. ต่อจากข้อที่เเล้ว นอกจากพล็อตจะซ้ำ บทจะซ้ำแล้ว ยังมีซีนที่ไม่เข้าใจว่าหนังยัดเข้ามาทำไม นั่นคือซีนย้อนรอยไปเล่าตำนานความรักของแม่พุตตานกับพ่อริด เกือบครึ่งตอนเต็มๆ แล้วย้อนไปอีกหลายร้อยปี อันนี้เราว่าหนังออกทะเลไปไกลแล้ว เหมือนหาจุดจบของหนังไม่ได้ ก็เอาตามนี้แล้วกัน
5. ความไม่สมเหตุสมผลเยอะมากเช่นกัน ขุนหลวงที่ออกมาเดินเตร็ดเตร่เที่ยวเมือง เหมือนไม่มีงานมีการทำ แล้วก็วนกลับไปเล่าเรื่องกฎหมายปลาตะเพียนไม่จบไม่สิ้น คุณหญิงย่าจะตายพ่อเรืองฝาแฝดก็ไม่กลับมาดูใจย่า เพราะห่วงงานแต่งงานมากกว่าเนี่ยนะ คงอยากตัดตัวละครนี้ออกเต็มที มันเลยดูยัดเยียดสุดๆ ทั้งที่ความเป็นจริงจะไม่กลับไปดูใจย่าที่เลี้ยงดูตัวเองมาแต่เด็กซักนิดเลยหรอ ไหนจะตอนท้ายที่ชีปะขาวให้พุตตานเลือกว่าจะกลับยุคปัจจุบันหรืออยู่อยุธยาต่อ โอเคพุตตานเลือกอยู่กับพระเอก แล้วยังไงอ่ะ ก็ง่ายงั้นเลย อยากกลับบ้านมา 20 อีพี สุดท้ายเลือกอยู่กับผู้ชายเลย ไม่อยากกลับขึ้นมาซะงั้น ทั้งๆที่พระเอกก็ไม่ได้ทำอะไรให้เลยเนี่ยนะ
6. นักแสดงที่ขนมาเยอะมาก เยอะเหมือนที่เค้าเคลมไว้ตั้งแต่แรก แต่เพราะตัวละครเยอะนี่แหละ แทนที่จะได้อินกับพระเอกนางเอก เราเลยไม่อินอ่ะ ตัวละครที่ควรจะอยู่อย่างลูกแม่ปรางกับพ่อเรืองก็มาโผล่แค่กลางเรื่องนิดเดียว บทฝาแฝดพ่อริดก็น้อย (แต่โอเคเข้าใจว่าไม่อยากให้คนดูสับสน แต่นั่นก็เพราะพระเอกนางเอกยังเป็นโป๊บกับเบลล่าไง มันเลยตายตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว)
7. เมคอัพตัวละครที่ไม่สมเหตุสมผล เวลาผ่านมาตั้ง 20 ปี แต่ตัวละครแทบไม่แก่ แค่ใส่หงอก ใส่หนวด เปลี่ยนทรงผม ก็เท่ากับแก่แล้ว ทั้งๆที่งบก็ลงทุนกับซีจีไปตั้งเยอะ
8. สิ่งที่ทำให้ละครเรื่องนี้ดิ่งลงเหวแบบขั้นสุด คือบทของพระเอกนี่น่าหงุดหงิดตั้งแต่ต้นจนจบ พูดตามตรงว่าเละเทะ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้กร่อยไปเยอะพอสมควร ก็เห็นเล่าตำนานความรักซะใหญ่โตเชียว แต่พระเอกไม่ทำเ....ยอะไรเลย ไม่ขัดย่า ไม่ขัดขุนหลวง ขุนหลวงจะให้แม่หญิงแพรจีนเป็นเมียก็ไม่ขัด ขุนหลวงจะเอาแม่พุตตานทำเมียก็ไม่กล้าขัด จนสุดท้ายต้องให้แม่ ให้นางเอกเคลียร์ให้ แล้วสุดท้ายหนังก็บอกว่านี่คือพรหมลิขิตนะ แบบเออเห้ย ง่ายงั้นเชียว
ถ้าใครได้ติดตามจริงๆจะรู้ว่าหนังมันมีช่องโหว่อีกเยอะมาก และมีหลายซีนที่ขมวดปมไว้ แล้วก็ผูกไว้แบบนั้นเลย อยากจะตัดบทตัวละครไหนก็ตัดทิ้งดื้อๆเลย ยิ่งตอนท้ายๆหนังเล่าเร็วมาก 5 นาทีก่อนกำลังจะแต่งงาน ผ่านมา 5 นาทีแต่งงานเสร็จแล้ว 3 นาทีก่อนคนนี้ใกล้ตาย ผ่านมาอีก 3 นาทีเอ้าตายแล้ว คือมันดูไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไรเลย ถ้าใครเผลอลุกไปฉี่กลับมาดูต่อคืองงแล้วนะ
*** แต่ถึงอย่างงั้นข้อดีก็มีอยู่บ้างถึงจะไม่เยอะ นั่นคือบทตัวละครเดิมยังสามารถทำเราขำตามได้ โดยเฉพาะบทของผินแย้มที่โผล่มาทีรัยสนุกตลอด หรือตอนที่จับผิดแม่พุตตานว่าใช่แม่นายของตัวเองจริงมั้ย ทำเราอินได้จริงๆ แต่ก็มาซะน้อยเลย ส่วนบทของพ่อเดชกับแม่การะเกด เรียกว่าเกือบดี บางช่วงก็ดี แต่บางช่วงออกไปทางน่ารำคาญโดยเฉพาะพ่อเดชที่บทน่ารำคาญพอๆกับลูกชาย ส่วนบทแม่พุตตานเนี่ยซีนที่อยู่คนเดียวก็รู้สึกสนุกดี ชอบ แต่พอพระเอกเข้าซีนมา หนังกร่อยทันที กลายเป็นหนังรักน้ำเน่าที่ดูออกว่าจงใจยัดเข้ามา หรือแม้แต่พระเอกไปเข้าซีนกับตัวละครอื่นก็ยังทำให้คนดูหงุดหงิดได้เหมือนกัน
ส่วนตัวละครใหม่ที่ทำเราเซอร์ไพร์สเลยคือบทของอึ่ง ความน่ารัก ซื่อตรง ไร้เดียงสา ทำให้เราอินตามได้ ขำตามได้ บทจะเศร้าก็เศร้าจริงๆ อันเนี้ยดีมาก เสียดายที่พอกลางเรื่องบทของอึ่งน้อยลง ความสนุกเลยหายไป บทของยายกุยก็โอเค ถ้าตลกคือตลกจริงๆ แต่ก็นั่นแหละบทน้อยเหมือนเดิม
ส่วนตัวได้ลองกลับไปดูบุพเพสันนิวาส ซึ่งก็ดูมาแล้วหลายรอบจนนับไม่ได้ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่ไม่เคยเบื่อ เป็น 15 ตอนที่ครบรสมาก ยิ่งเอามาฉายใน Netflix มีการตัดต่อเรียบเรียงให้มันเข้าใจง่ายขึ้น ตัดซีนที่ไม่จำเป็นออกก็เยอะ ซึ่งดีมากเลย แต่กับเรื่องพรหมลิขิตเนี่ย ดูไปก็รู้สึกเหนื่อย ความคิดที่เด้งขึ้นมาในหัวคือเมื่อไหร่จะจบ จบเถอะ ไม่อยากดูต่อ แต่เพราะชอบบุพเพมาก สุดท้ายก็ทนดูต่อ แต่ขอไม่กลับมาดูซ้ำอีกรอบ 2 แค่นั้นเอง