บ้านปูรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV เตรียมผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนป้อนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 60,000 ชุดต่อปี คาดเริ่มผลิตป้อนค่ายรถได้ทันภายในไตรมาสแรกของปี 2567 พร้อมแสวงหาโอกาสลงทุนเหมืองนิกเกิล ประเทศอินโดนีเซีย ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ชี้อยู่ระหว่างหาพันธมิตร และดำเนินการอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง เพราะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล รวมถึงต้องรอนโยบายการลงทุนและการส่งเสริมที่ชัดเจนจากรัฐบาลอินโดนีเซียก่อนจึงจะดำเนินการได้
สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทในเครือคือ บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (Banpu Next) เข้าซื้อหุ้น 40% ของบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SVOLT Thailand ด้วยมูลค่าการลงทุน 750 ล้านบาท เมื่อเดือนตุลาคมผ่านมา ล่าสุด SVOLT Thailand ซึ่งมีโรงงานผลิตตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ได้จัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ (Module Pack Factory) สำหรับ 60,000 ชุดต่อปี ป้อนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและเพื่อการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตแบตเตอรี่ส่งมอบได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2567
“ลูกค้ารายสำคัญของเราจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งได้ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) และ HOZON หรือเจ้าของแบรนด์ NETA” สมฤดีกล่าว
นอกจากนี้ บ้านปูวางแผนที่จะผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล เช่นเดียวกับรถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า
ปัจจุบันธุรกิจถ่านหินและธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูรวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้ของบริษัทในปี 2565 และบริษัทกำลังมุ่งลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกที่ลดคาร์บอน เช่น การผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
เล็งหาพันธมิตรรุกลงทุนนิกเกิลในอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV ข้างต้นแล้ว บ้านปูยังวางกลยุทธ์ในการลงทุนมูลค่าสูง โดยตั้งเป้าไปที่การขุดแหล่งแร่นิกเกิลในอินโดนีเซียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“เราไม่ได้สร้างเฉพาะแบตเตอรี่สำหรับ EV เท่านั้น เรายังสร้างห่วงโซ่อุปทานสำหรับ EV และพลังงานหมุนเวียนด้วย” สมฤดีกล่าว
อย่างไรก็ตาม สมฤดีย้ำว่า การลงทุนในธุรกิจเหมืองต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล บริษัทจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และต้องรอนโยบายการลงทุนและการส่งเสริมที่ชัดเจนจากรัฐบาลอินโดนีเซียก่อนจึงจะดำเนินการ โดยบริษัทคาดว่าจะหาพันธมิตรใหม่และสรุปกลยุทธ์การลงทุนภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งในส่วนนี้ผู้หุ้นส่วนรายย่อยและรายใหญ่ต่างก็คาดหวังกับบ้านปูไม่น้อย
ทั้งนี้ บ้านปูประกาศกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 282% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ อีกกลุ่มบริษัทที่ไม่อาจมองข้ามคือกลุ่มบ้านปู (BANPU) ที่แตกไลน์ธุรกิจจากธุรกิจเหมืองถ่านหินและไฟฟ้า ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านธุรกิจพลังงาน (Transition) ทั้งองค์กร ในการลงทุนทุกประเทศที่บ้านปูมีฐานธุรกิจ โดยอยู่ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter เพื่อส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืนที่มุ่งขยายพอร์ตพลังงานสะอาด
โดยบ้านปูได้จัดตั้งบริษัท BANPU NEXT ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บมจ.บ้านปู (BANPU) 50% และ บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) 50% เพื่อมุ่งสู่การเป็น Net Zero Energy Provider ให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบัน BANPU NEXT ดำเนินธุรกิจ 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจซื้อขาย ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ และธุรกิจพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการจัดการพลังงาน
‘บ้านปู’ บุก EV เต็มสูบ เตรียมผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไออนป้อนรถยนต์ไฟฟ้าค่าย GWM และ NETA พร้อมเล็งหาพันธมิตรลงทุนเหมืองแร่
สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทในเครือคือ บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (Banpu Next) เข้าซื้อหุ้น 40% ของบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SVOLT Thailand ด้วยมูลค่าการลงทุน 750 ล้านบาท เมื่อเดือนตุลาคมผ่านมา ล่าสุด SVOLT Thailand ซึ่งมีโรงงานผลิตตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ได้จัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ (Module Pack Factory) สำหรับ 60,000 ชุดต่อปี ป้อนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและเพื่อการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตแบตเตอรี่ส่งมอบได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2567
“ลูกค้ารายสำคัญของเราจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งได้ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) และ HOZON หรือเจ้าของแบรนด์ NETA” สมฤดีกล่าว
นอกจากนี้ บ้านปูวางแผนที่จะผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล เช่นเดียวกับรถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า
ปัจจุบันธุรกิจถ่านหินและธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูรวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้ของบริษัทในปี 2565 และบริษัทกำลังมุ่งลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกที่ลดคาร์บอน เช่น การผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
เล็งหาพันธมิตรรุกลงทุนนิกเกิลในอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV ข้างต้นแล้ว บ้านปูยังวางกลยุทธ์ในการลงทุนมูลค่าสูง โดยตั้งเป้าไปที่การขุดแหล่งแร่นิกเกิลในอินโดนีเซียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“เราไม่ได้สร้างเฉพาะแบตเตอรี่สำหรับ EV เท่านั้น เรายังสร้างห่วงโซ่อุปทานสำหรับ EV และพลังงานหมุนเวียนด้วย” สมฤดีกล่าว
อย่างไรก็ตาม สมฤดีย้ำว่า การลงทุนในธุรกิจเหมืองต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล บริษัทจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และต้องรอนโยบายการลงทุนและการส่งเสริมที่ชัดเจนจากรัฐบาลอินโดนีเซียก่อนจึงจะดำเนินการ โดยบริษัทคาดว่าจะหาพันธมิตรใหม่และสรุปกลยุทธ์การลงทุนภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งในส่วนนี้ผู้หุ้นส่วนรายย่อยและรายใหญ่ต่างก็คาดหวังกับบ้านปูไม่น้อย
ทั้งนี้ บ้านปูประกาศกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 282% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ อีกกลุ่มบริษัทที่ไม่อาจมองข้ามคือกลุ่มบ้านปู (BANPU) ที่แตกไลน์ธุรกิจจากธุรกิจเหมืองถ่านหินและไฟฟ้า ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านธุรกิจพลังงาน (Transition) ทั้งองค์กร ในการลงทุนทุกประเทศที่บ้านปูมีฐานธุรกิจ โดยอยู่ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter เพื่อส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืนที่มุ่งขยายพอร์ตพลังงานสะอาด
โดยบ้านปูได้จัดตั้งบริษัท BANPU NEXT ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บมจ.บ้านปู (BANPU) 50% และ บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) 50% เพื่อมุ่งสู่การเป็น Net Zero Energy Provider ให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบัน BANPU NEXT ดำเนินธุรกิจ 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจซื้อขาย ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ และธุรกิจพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการจัดการพลังงาน