รอย...
ท่ามกลางตึกอาคารสูงเสียดฟ้า ซึ่งเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทางถนนคอนกรีต ที่ทอดตัวยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด บนพื้นผิวจราจร รถราที่กำลังต่อแถวกันอยู่ ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนตามกันไปเรื่อยราวไร้จุดมุ่งหมาย
บนทางเท้าที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนหลากสีหลายลวดลาย ผู้คนแปลกหน้ามากมายต่างก็พากันเดิน สวนทางกันไปมาอย่างไร้ระเบียบและปราศจากชีวิตชีวา
รู้สึกได้ถึงความโกลาหลปั่นป่วน แต่ทว่าไร้สรรพเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน
แสงแดดจัดจ้าเหลือประมาณก่อให้เกิดเปลวแดดร้อนระอุ ภาพเบื้องหน้าบิดเบือนจากการหักเหบิดเบี้ยวของแสงซึ่งตกกระทบ รับรู้ได้ถึงสภาพอากาศโหดร้ายที่กำลังเห็นและเป็นอยู่ แต่ผิวสัมผัสทางกายกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น
บนทางเท้าซึ่งคล้ายถูกขีดเส้นตรงไว้ให้เดินตาม ด้วยจังหวะก้าวอันคงที่ เท้าทั้งสองก็ยังคงทำหน้าที่ของมันไปอย่างนั้น แม้ฝูงชนจะมหาศาลคล้ายคลื่นยักษ์ถาโถม แต่ร่างกายกลับไร้การเบียดเสียดกระทบกระทั่ง ราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
ชั่วขณะหนึ่ง...ภาพอันไร้จุดสิ้นสุดตรงหน้า ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงขนาดมหึมากางกั้นทางที่กำลังมุ่งไป ทอดตัวยาวไปทางซ้ายและขวาจนไม่เห็นปลายทั้งสองฝั่ง ก่อตัวสูงขึ้นไปเทียมฟ้า จนมองไม่เห็นจุดสูงสุดของสันกำแพง
หยุดยืนนิ่งอย่างลังเล เหลียวมองสอดส่ายซ้ายขวา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีทางให้ไปต่อ
โสตประสาทแว่วเสียงอะไรสักอย่างมาให้ได้ยิน แผ่วเบาเสียจนไม่อาจจับใจความ หวิวหวิวกลมกลืนไปกับสรรพสิ่งจนไม่อาจแยกแยะว่านั่นคือเสียงอะไร ฉับพลันคลื่นในอกที่เคยสงบนิ่งก็เริ่มก่อม้วนเป็นเกลียว ก่อนที่ความปั่นป่วนนั้นจะสาดซัดเข้าใส่
ภาพรอบกายก็ค่อย ๆ เลื่อนไหลเชื่องช้าลงทีละน้อย และอีกชั่วอึดใจต่อมา มันก็ถูกเร่งให้เร็วขึ้นเป็นทบทวี จนถึงขนาดที่สายตาจับการเคลื่อนไหวเหล่านั้นไม่ได้
แล้วทั้งร่างก็ถูกแรงปริศนา ฉุดกระชากฉีกดึงจากทุกทิศทุกอย่าง อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
สายลมอบอุ่นบางเบาคลอเคลียอยู่กับประสาทสัมผัส ฝ่าเท้าทั้งสองกำลังเหยียบย่ำอยู่บนผืนทรายละเอียดนุ่มนวล มวลน้ำสาดซัดฟองคลื่นเข้าลูบไล้ก่อนที่มันจะค่อย ๆ แตกตัวสลายหายไป หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยและความรู้สึกอันแสนพิเศษ
เสียงซ่า เสียงหวีวหวิว ดังชัดแม้จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
เนินเตี้ยทางซ้ายมือปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี เรียงรายรกครึ้มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ กิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงแผ่กางให้ร่มเงา ขยับไหวเอนสอดประสาน ไปกับการเลื่อนไหลพัดผ่านของสายลม ผืนน้ำเวิ้งว้างทางฝั่งซ้ายระยับไปด้วยประกายวิบวับดุจอัญมณียามต้องแสง
ในภาพวิวทิวทัศน์อันงดงามแปลกประหลาด ที่ปรากฏดวงอาทิตย์สีแดง ซึ่งดูเหมือนกลมโตสุกปลั่งและใหญ่กว่าความเป็นจริงประดับอยู่บนฉากหลัง สถานที่นั้นปราศจากเงาร่างอื่นใด บนเส้นทางที่ถูกรังสรรค์โดยฝีมือของธรรมชาติเส้นนั้น มีเพียงรอยเท้าสองคู่ซึ่งอยู่เคียงข้างกัน ที่ฝากฝังไว้อยู่บนผืนทรายอุ่นละมุน
ย่างก้าวเท้าของตนเองลงไปทาบทับ ย่ำซ้ำรอยเท้าที่ประทับอยู่จากหนึ่งในสองนั้น แล้วก็ต้องแปลกใจที่เท้าของตนและรอยจารึกมีขนาดเท่ากันอย่างพอดิบพอดี ชั่วขณะนั้น...บางอารมณ์ บางความรู้สึก ก็ค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากซอกหลืบหนึ่งจากห้วงลึกในจิตใจ
คล้ายความอบอุ่น...แต่ไม่ใช่
คล้ายความโหยหาห่วงหวง...แต่ก็ไม่เชิง
เป็นความระลึกถึง เป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น มากมายและยากเย็น จนเกินกว่าจะสรรหาคำพูดคำใดมาอธิบายทั้งหมดนั้นได้
ทุกฝีก้าวที่ย่ำซ้ำ ๆ ตามไปยังเบื้องหน้า ความเอ่อล้นอิ่มเอมก็ยิ่งเพิ่มพูนทบทวี เท้าทั้งสองค่อย ๆ ก้าวเร็วขึ้นทีละน้อย จนกว่าจะรู้ตัว มันก็พาให้ทั้งร่างวิ่งออกไป
แล้วจู่ ๆ ภาพสองข้างทาง ที่กำลังเลื่อนไหลตามความรวดเร็วของการวิ่ง ก็กลับเชื่องช้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งอย่างน่าตกใจ รับรู้ได้ถึงกำแพงอากาศที่มองไม่เห็น ซึ่งตีกรอบปิดกั้นเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง มือทั้งสองช่วยกันป่ายเปะปะไปทั่วผนังที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่มีทางออกใด ๆ ให้สามารถหลุดรอดออกไปได้
สายตาสอดส่ายมองหาอะไรบางอย่างไปทั่ว แม้จะไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ แต่แม้ไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ ความรู้สึกที่ไม่เห็นไม่พบอะไรเลย ก็กลับทำให้ต้องใจหายหวั่นไหว
ฉับพลัน...เสียงที่เคยได้ยินจากก่อนหน้านี้ ก็ล่องลอยตามลมมาเข้าหูให้ได้ยินอีกครั้ง พยายามตั้งสติและลองฟังให้ดี ๆ มันชัดเจนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่ก็กลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยได้อย่างน่าประหลาด
สุขและเศร้า พองโตและเหี่ยวเฉา เบาหวิวและหนักหน่วง ปลดปล่อยและฉุดรั้ง หลากหลายอารมณ์ผสมกลมกลืนและขัดแย้งกันอยู่ในนั้น
เมฆเลื่อนไหลเปลี่ยนรูปร่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์กลมโตทิ้งตัวหายลับไปตรงเส้นขอบฟ้า กระแสแห่งเวลาเริ่มขยับเคลื่อนไหว ราวกับมีใครไปหมุนนาฬิกาโลกให้เร็วขึ้นสักร้อยเท่าพันเท่า ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้าใส่บริเวณหน้าอก จนคล้ายทั้งร่างกำลังจะถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้น ๆ
แล้วทุกอย่างก็ดับมืดสนิทลงไป
สัมผัสรับรู้ได้ถึงอากาศอันแสนเย็นสบาย ความอ่อนโยนบางเบา ที่กำลังโอบอุ้ม หุ้มห่อทั้งร่างอยู่อย่างทะนุถนอม ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงแมลงประชันขันแข่ง เสียงเสียดสีของเหล่าใบไม้ใบหญ้า คลอเคลียคลุกเคล้าอยู่ในโสตประสาทอย่างน่าฟัง
เท้าทั้งสองข้างกำลังเหยียบย่ำอยู่บนพรมหญ้าธรรมชาติสีเขียวสด สดชื่นร่มรื่น และทอดตัวยาวออกไปทุกทิศทุกทาง จนไกลสุดลูกหูลูกตา ลองยื่นมือออกไปที่ตรงเบื้องหน้า หยาดน้ำฟ้าอันไร้ที่มาร่างหล่นตกกระทบลงสู่มือข้างนั้น เย็นฉ่ำและจางหายไป ไม่หลงเหลือแม้เพียงร่องรอยของความเปียกปอนชื้นแฉะให้ได้รู้สึก
เท้าทั้งสองเริ่มออกก้าวเดินอีกครั้ง สายฝนโปรยปรายอย่างอ่อนโยนปรานี ต้นอ่อนแทงยอด ผลิดอกผลิใบขึ้นมาจากผืนดินที่ได้เหยียบย่ำผ่านพ้นไป
เนินสูงซึ่งถูกอาบไล้ไปด้วยแสงสีทองสวยสด ปรากฏอยู่ไม่ไกลที่ตรงเบื้องหน้า แล้วย่างก้าวก็ค่อย ๆ เบาสบาย คล้ายกำลังสัมผัสเหยียบย่ำอยู่ในอากาศว่างเปล่า ภาพรอบกายค่อย ๆ เลือนรางจากหายไปทีละน้อย จนเหลือเพียงความขาวโพลนของแสงสว่างอันอบอุ่น
เงาของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ถึงจะเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำ ซึ่งไม่อาจจะแยกแยะให้เห็นรายละเอียดใด ๆ ได้เลยสักนิด แต่ความรู้สึกในใจก็ทำให้รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่านั่นคือใคร ใครที่เฝ้ารอมาตลอดระยะเวลานานแสนนาน ใครที่รอวันจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แค่เพียงรอยยิ้มแย้มพราย ความอิ่มเอมก็เอ่อล้น หัวใจว่างเปล่าก็กลับถูกเติมเต็ม แล้วคำถามทั้งหมดที่เคยนึกเคลือบแคลงสงสัยมาตลอดก็มลายหายไป
หันเหลียวกลับมองไปยังเส้นทางไกลสุดลูกหูลูกตาเส้นเดิม ที่เพิ่งก้าวข้ามผ่านมันมาเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยดอกไม้หลายสีหลายพันธุ์ ซึ่งต่างก็พร้อมใจกันเบ่งบานอวดโฉม และส่งกลิ่นหอมละมุน ให้แขวนลอยอยู่ในทุกอณูอากาศ
ละสายตาและหันกลับมองมากหาบุคคลตรงหน้า ค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าไปหา และยื่นส่งมือไปให้ด้วยรอยยิ้ม
รักมาตลอด คิดถึงมาตลอด เฝ้ารอมาตลอด รอวันที่จะได้เจอหน้ากันมาตลอด
ผ่อนคลายเหลือเกิน อบอุ่นเหลือเกิน สบายใจเหลือเกิน ปลอดภัยเหลือเกิน
ซุกซบเข้ากับสัมผัสอันคุ้นเคย หลับตาลงด้วยรอยยิ้มและจิตใจอันสงบสุขปล่อยวาง
เส้นกราฟสัญญาณชีวิตที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอ ค่อย ๆ ห่างและราบเรียบลงทีละน้อย จนในท้ายที่สุดก็กลายเป็นเส้นตรงเสมอกัน ท่ามกลางความเศร้าโศกอาลัยของเหล่าลูกหลาน หนึ่งชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเดินผ่านอะไร ๆ มาอย่างยาวนาน ก็ได้จากไปอย่างสงบสุข
ด้วยน้ำตาและรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี ในช่วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
จบ
รอย...
ท่ามกลางตึกอาคารสูงเสียดฟ้า ซึ่งเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทางถนนคอนกรีต ที่ทอดตัวยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด บนพื้นผิวจราจร รถราที่กำลังต่อแถวกันอยู่ ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนตามกันไปเรื่อยราวไร้จุดมุ่งหมาย
บนทางเท้าที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนหลากสีหลายลวดลาย ผู้คนแปลกหน้ามากมายต่างก็พากันเดิน สวนทางกันไปมาอย่างไร้ระเบียบและปราศจากชีวิตชีวา
รู้สึกได้ถึงความโกลาหลปั่นป่วน แต่ทว่าไร้สรรพเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน
แสงแดดจัดจ้าเหลือประมาณก่อให้เกิดเปลวแดดร้อนระอุ ภาพเบื้องหน้าบิดเบือนจากการหักเหบิดเบี้ยวของแสงซึ่งตกกระทบ รับรู้ได้ถึงสภาพอากาศโหดร้ายที่กำลังเห็นและเป็นอยู่ แต่ผิวสัมผัสทางกายกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น
บนทางเท้าซึ่งคล้ายถูกขีดเส้นตรงไว้ให้เดินตาม ด้วยจังหวะก้าวอันคงที่ เท้าทั้งสองก็ยังคงทำหน้าที่ของมันไปอย่างนั้น แม้ฝูงชนจะมหาศาลคล้ายคลื่นยักษ์ถาโถม แต่ร่างกายกลับไร้การเบียดเสียดกระทบกระทั่ง ราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
ชั่วขณะหนึ่ง...ภาพอันไร้จุดสิ้นสุดตรงหน้า ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงขนาดมหึมากางกั้นทางที่กำลังมุ่งไป ทอดตัวยาวไปทางซ้ายและขวาจนไม่เห็นปลายทั้งสองฝั่ง ก่อตัวสูงขึ้นไปเทียมฟ้า จนมองไม่เห็นจุดสูงสุดของสันกำแพง
หยุดยืนนิ่งอย่างลังเล เหลียวมองสอดส่ายซ้ายขวา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีทางให้ไปต่อ
โสตประสาทแว่วเสียงอะไรสักอย่างมาให้ได้ยิน แผ่วเบาเสียจนไม่อาจจับใจความ หวิวหวิวกลมกลืนไปกับสรรพสิ่งจนไม่อาจแยกแยะว่านั่นคือเสียงอะไร ฉับพลันคลื่นในอกที่เคยสงบนิ่งก็เริ่มก่อม้วนเป็นเกลียว ก่อนที่ความปั่นป่วนนั้นจะสาดซัดเข้าใส่
ภาพรอบกายก็ค่อย ๆ เลื่อนไหลเชื่องช้าลงทีละน้อย และอีกชั่วอึดใจต่อมา มันก็ถูกเร่งให้เร็วขึ้นเป็นทบทวี จนถึงขนาดที่สายตาจับการเคลื่อนไหวเหล่านั้นไม่ได้
แล้วทั้งร่างก็ถูกแรงปริศนา ฉุดกระชากฉีกดึงจากทุกทิศทุกอย่าง อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
สายลมอบอุ่นบางเบาคลอเคลียอยู่กับประสาทสัมผัส ฝ่าเท้าทั้งสองกำลังเหยียบย่ำอยู่บนผืนทรายละเอียดนุ่มนวล มวลน้ำสาดซัดฟองคลื่นเข้าลูบไล้ก่อนที่มันจะค่อย ๆ แตกตัวสลายหายไป หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยและความรู้สึกอันแสนพิเศษ
เสียงซ่า เสียงหวีวหวิว ดังชัดแม้จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
เนินเตี้ยทางซ้ายมือปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี เรียงรายรกครึ้มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ กิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงแผ่กางให้ร่มเงา ขยับไหวเอนสอดประสาน ไปกับการเลื่อนไหลพัดผ่านของสายลม ผืนน้ำเวิ้งว้างทางฝั่งซ้ายระยับไปด้วยประกายวิบวับดุจอัญมณียามต้องแสง
ในภาพวิวทิวทัศน์อันงดงามแปลกประหลาด ที่ปรากฏดวงอาทิตย์สีแดง ซึ่งดูเหมือนกลมโตสุกปลั่งและใหญ่กว่าความเป็นจริงประดับอยู่บนฉากหลัง สถานที่นั้นปราศจากเงาร่างอื่นใด บนเส้นทางที่ถูกรังสรรค์โดยฝีมือของธรรมชาติเส้นนั้น มีเพียงรอยเท้าสองคู่ซึ่งอยู่เคียงข้างกัน ที่ฝากฝังไว้อยู่บนผืนทรายอุ่นละมุน
ย่างก้าวเท้าของตนเองลงไปทาบทับ ย่ำซ้ำรอยเท้าที่ประทับอยู่จากหนึ่งในสองนั้น แล้วก็ต้องแปลกใจที่เท้าของตนและรอยจารึกมีขนาดเท่ากันอย่างพอดิบพอดี ชั่วขณะนั้น...บางอารมณ์ บางความรู้สึก ก็ค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากซอกหลืบหนึ่งจากห้วงลึกในจิตใจ
คล้ายความอบอุ่น...แต่ไม่ใช่
คล้ายความโหยหาห่วงหวง...แต่ก็ไม่เชิง
เป็นความระลึกถึง เป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น มากมายและยากเย็น จนเกินกว่าจะสรรหาคำพูดคำใดมาอธิบายทั้งหมดนั้นได้
ทุกฝีก้าวที่ย่ำซ้ำ ๆ ตามไปยังเบื้องหน้า ความเอ่อล้นอิ่มเอมก็ยิ่งเพิ่มพูนทบทวี เท้าทั้งสองค่อย ๆ ก้าวเร็วขึ้นทีละน้อย จนกว่าจะรู้ตัว มันก็พาให้ทั้งร่างวิ่งออกไป
แล้วจู่ ๆ ภาพสองข้างทาง ที่กำลังเลื่อนไหลตามความรวดเร็วของการวิ่ง ก็กลับเชื่องช้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งอย่างน่าตกใจ รับรู้ได้ถึงกำแพงอากาศที่มองไม่เห็น ซึ่งตีกรอบปิดกั้นเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง มือทั้งสองช่วยกันป่ายเปะปะไปทั่วผนังที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่มีทางออกใด ๆ ให้สามารถหลุดรอดออกไปได้
สายตาสอดส่ายมองหาอะไรบางอย่างไปทั่ว แม้จะไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ แต่แม้ไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ ความรู้สึกที่ไม่เห็นไม่พบอะไรเลย ก็กลับทำให้ต้องใจหายหวั่นไหว
ฉับพลัน...เสียงที่เคยได้ยินจากก่อนหน้านี้ ก็ล่องลอยตามลมมาเข้าหูให้ได้ยินอีกครั้ง พยายามตั้งสติและลองฟังให้ดี ๆ มันชัดเจนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่ก็กลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยได้อย่างน่าประหลาด
สุขและเศร้า พองโตและเหี่ยวเฉา เบาหวิวและหนักหน่วง ปลดปล่อยและฉุดรั้ง หลากหลายอารมณ์ผสมกลมกลืนและขัดแย้งกันอยู่ในนั้น
เมฆเลื่อนไหลเปลี่ยนรูปร่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์กลมโตทิ้งตัวหายลับไปตรงเส้นขอบฟ้า กระแสแห่งเวลาเริ่มขยับเคลื่อนไหว ราวกับมีใครไปหมุนนาฬิกาโลกให้เร็วขึ้นสักร้อยเท่าพันเท่า ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้าใส่บริเวณหน้าอก จนคล้ายทั้งร่างกำลังจะถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้น ๆ
แล้วทุกอย่างก็ดับมืดสนิทลงไป
สัมผัสรับรู้ได้ถึงอากาศอันแสนเย็นสบาย ความอ่อนโยนบางเบา ที่กำลังโอบอุ้ม หุ้มห่อทั้งร่างอยู่อย่างทะนุถนอม ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงแมลงประชันขันแข่ง เสียงเสียดสีของเหล่าใบไม้ใบหญ้า คลอเคลียคลุกเคล้าอยู่ในโสตประสาทอย่างน่าฟัง
เท้าทั้งสองข้างกำลังเหยียบย่ำอยู่บนพรมหญ้าธรรมชาติสีเขียวสด สดชื่นร่มรื่น และทอดตัวยาวออกไปทุกทิศทุกทาง จนไกลสุดลูกหูลูกตา ลองยื่นมือออกไปที่ตรงเบื้องหน้า หยาดน้ำฟ้าอันไร้ที่มาร่างหล่นตกกระทบลงสู่มือข้างนั้น เย็นฉ่ำและจางหายไป ไม่หลงเหลือแม้เพียงร่องรอยของความเปียกปอนชื้นแฉะให้ได้รู้สึก
เท้าทั้งสองเริ่มออกก้าวเดินอีกครั้ง สายฝนโปรยปรายอย่างอ่อนโยนปรานี ต้นอ่อนแทงยอด ผลิดอกผลิใบขึ้นมาจากผืนดินที่ได้เหยียบย่ำผ่านพ้นไป
เนินสูงซึ่งถูกอาบไล้ไปด้วยแสงสีทองสวยสด ปรากฏอยู่ไม่ไกลที่ตรงเบื้องหน้า แล้วย่างก้าวก็ค่อย ๆ เบาสบาย คล้ายกำลังสัมผัสเหยียบย่ำอยู่ในอากาศว่างเปล่า ภาพรอบกายค่อย ๆ เลือนรางจากหายไปทีละน้อย จนเหลือเพียงความขาวโพลนของแสงสว่างอันอบอุ่น
เงาของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ถึงจะเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำ ซึ่งไม่อาจจะแยกแยะให้เห็นรายละเอียดใด ๆ ได้เลยสักนิด แต่ความรู้สึกในใจก็ทำให้รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่านั่นคือใคร ใครที่เฝ้ารอมาตลอดระยะเวลานานแสนนาน ใครที่รอวันจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
แค่เพียงรอยยิ้มแย้มพราย ความอิ่มเอมก็เอ่อล้น หัวใจว่างเปล่าก็กลับถูกเติมเต็ม แล้วคำถามทั้งหมดที่เคยนึกเคลือบแคลงสงสัยมาตลอดก็มลายหายไป
หันเหลียวกลับมองไปยังเส้นทางไกลสุดลูกหูลูกตาเส้นเดิม ที่เพิ่งก้าวข้ามผ่านมันมาเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยดอกไม้หลายสีหลายพันธุ์ ซึ่งต่างก็พร้อมใจกันเบ่งบานอวดโฉม และส่งกลิ่นหอมละมุน ให้แขวนลอยอยู่ในทุกอณูอากาศ
ละสายตาและหันกลับมองมากหาบุคคลตรงหน้า ค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าไปหา และยื่นส่งมือไปให้ด้วยรอยยิ้ม
รักมาตลอด คิดถึงมาตลอด เฝ้ารอมาตลอด รอวันที่จะได้เจอหน้ากันมาตลอด
ผ่อนคลายเหลือเกิน อบอุ่นเหลือเกิน สบายใจเหลือเกิน ปลอดภัยเหลือเกิน
ซุกซบเข้ากับสัมผัสอันคุ้นเคย หลับตาลงด้วยรอยยิ้มและจิตใจอันสงบสุขปล่อยวาง
เส้นกราฟสัญญาณชีวิตที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอ ค่อย ๆ ห่างและราบเรียบลงทีละน้อย จนในท้ายที่สุดก็กลายเป็นเส้นตรงเสมอกัน ท่ามกลางความเศร้าโศกอาลัยของเหล่าลูกหลาน หนึ่งชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเดินผ่านอะไร ๆ มาอย่างยาวนาน ก็ได้จากไปอย่างสงบสุข
ด้วยน้ำตาและรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี ในช่วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
จบ