ตั้งแต่เราเรียนจบมา จนวันนี้ที่เรามีลูก เราถึงได้กลับมานั่งคิดเรื่องการศึกษาอีกครั้ง เราทะเลาะกับแฟนเรื่องโรงเรียนที่จะส่งลูกเข้าตอนประถม ภาพจำของแฟนคือโรงเรียนรัฐมันดีสู้เอกชนไม่ได้ เราว่ามันก็ใช่ คุณภาพมันก็ตามค่าเทอมที่จ่าย และข้อนี้แหละทำให้เราเอะใจ สังคมไทยมันโหดร้ายนะ เราที่จบโรงเรียน-มหาลัยของรัฐ เราเรียนไปเรื่อยๆ ไม่มีค่ายแป๊ะเจียอะไร ผลคือก็เหมือนอยู่เป็นจุดเล็กๆ ในสังคมโรงเรียน (ก็ดีค่ะ พอมาคิดก็รู้สึกโชคดีมากเลย) พอมองดูแผนการสอนการเรียน ทำให้รู้สึกถึงปัญหาจริงๆ ทั้ง
1.การที่ต้องเสียเวลาเรียน 8 ชม (เปรียบเสมือนที่เราทำงานอยู่ตอนนี้...) เช้าเข้าเวรกวาดถนน เรามาถึงโรงเรียน 7:30 ตามเวลารถรับส่ง หาที่วางกระเป๋า และหยิบไม้กวาดทำเวร หัวหน้าก็เช็คชื่อคนมา ผ่านไปถึง 7:50 ก็ไปรับแสงจ้าตอนเช้าหน้าเสาธง ฟัง ผอ ประกาศเรื่องต่างๆ เรียนวิชาละ ชม แต่การบ้านสั่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กำหนดส่งพรุ่งนี้ทุกวิชา ช่วงชั้นที่ทรหดที่สุดก็ช่วง ม.ปลาย และเราคิดว่ามันไม่ควรมีช่วงชั้นนี้นะ ถ้าจะเรียนอัดขนาดนี้ ทั้งที่สอบ O-net Gat pat มันมีแค่ไม่กี่วิชาเท่านั้น
2.การจบมาหางานทำ เราเห็นปัญหาใหญ่หลวงเลย บางคนกว่าจะจบก็ต้องเป็นหนี้ กยศ (หนึ่งในนั้นคือแฟนเรา) เราคบแฟนเลยต้องเป็นเดอะแบก ไปโดยปริยาย ด้วยความที่ไม่ต้องกู้เหมือนเขา แถมจบสูงกว่า แต่ก็โดนแฟนดูถูกที่จบมาทำงานเงินเดือนน้อย ใช่ค่ะ... ปัญหาเรื่องการหางานหลังเรียนจบ
เราจบธุรกิจบัณฑิต ภาษาอังกฤษพอใช้ อ่านออก พูดได้ เขียนได้ ส่วนตอนนี้กำลังเรียนภาษาจีนค่ะ คิดดูว่าวิชาที่ใช้ทำมาหากิน มันต้องเรียนเสริมซะเอง แต่อยู่ในหลักสูตรสอบ เราโดนครอบครัว(แฟน) กดดันว่าทำงานได้เงินหมื่นต้นๆ เนี่ยนะ... แต่เราหางานแล้ว ในจังหวัดเรามีจ้างแค่นี้จริงๆ ถ้าไม่มีสกิลการสื่อสารเลย ก็เป็นแค่คนในไลน์ผลิต หรือเป็นพนักงานทั่วไป เงินหมื่นต้นๆ หากินกับโอที หาในJobth ก็มีแต่ต้องไปที่อื่น แต่แลกกับการไกลบ้าน ค่าห้อง เราไม่เอาค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นคนชอบอยู่เซฟโซน แต่ครอบครัวแฟนชอบความก้าวกระโดด แต่มองการใช้ชีวิตก็ยากนะที่จะกระโดดได้
3.การใช้ชีวิต และนี้ก็เป็นจุดเชื่อมระหว่าง2-3 บ้านแฟนเรายังเป็นสังคมนิยม อยากได้แบรนด์เนม อยากกินชาบู อยากทำงานเสร็จก็เที่ยวทำบุญ แต่กับครอบครัวฝั่งเราชอบความสงบสุข อยู่ตลาด กับอยู่สวน แค่2ที่ แต่ก็ลำบากขึ้น เพราะสังคมสมัยนี้ไปไวมาไว อยู่กับเทคโนโลยี จนลืมงานที่ต้องทำ เช่นงานบ้าน การรักษาของ สมบัติของตนเอง สิทธิในสังคมของตนเอง พอเราคิดถึงตรงนี้ก็รู้ได้ว่าโรงเรียนไม่ได้เน้นตรงนี้เลย ทั้งที่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้ เพราะมันต้องติดตัวไปตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เหมือนสังคมไทยยังโฟกัสผิดจุด
ใครมีความเห็นหรือประสบการณ์เพิ่มเติม พูดคุยกันได้ค่ะ ถ้าประเทศเราไปถูกจุด ประเทศเราไม่น้อยหน้าใครเลยนะ
ป.ล.ไม่อยากให้ซ้ำรอยกับลูกตนเอง แต่ถ้าการเมือง เศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ ก็คงแก้ไม่ได้เลย
ความน่าอายของการศึกษากับสังคม ท
1.การที่ต้องเสียเวลาเรียน 8 ชม (เปรียบเสมือนที่เราทำงานอยู่ตอนนี้...) เช้าเข้าเวรกวาดถนน เรามาถึงโรงเรียน 7:30 ตามเวลารถรับส่ง หาที่วางกระเป๋า และหยิบไม้กวาดทำเวร หัวหน้าก็เช็คชื่อคนมา ผ่านไปถึง 7:50 ก็ไปรับแสงจ้าตอนเช้าหน้าเสาธง ฟัง ผอ ประกาศเรื่องต่างๆ เรียนวิชาละ ชม แต่การบ้านสั่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กำหนดส่งพรุ่งนี้ทุกวิชา ช่วงชั้นที่ทรหดที่สุดก็ช่วง ม.ปลาย และเราคิดว่ามันไม่ควรมีช่วงชั้นนี้นะ ถ้าจะเรียนอัดขนาดนี้ ทั้งที่สอบ O-net Gat pat มันมีแค่ไม่กี่วิชาเท่านั้น
2.การจบมาหางานทำ เราเห็นปัญหาใหญ่หลวงเลย บางคนกว่าจะจบก็ต้องเป็นหนี้ กยศ (หนึ่งในนั้นคือแฟนเรา) เราคบแฟนเลยต้องเป็นเดอะแบก ไปโดยปริยาย ด้วยความที่ไม่ต้องกู้เหมือนเขา แถมจบสูงกว่า แต่ก็โดนแฟนดูถูกที่จบมาทำงานเงินเดือนน้อย ใช่ค่ะ... ปัญหาเรื่องการหางานหลังเรียนจบ
เราจบธุรกิจบัณฑิต ภาษาอังกฤษพอใช้ อ่านออก พูดได้ เขียนได้ ส่วนตอนนี้กำลังเรียนภาษาจีนค่ะ คิดดูว่าวิชาที่ใช้ทำมาหากิน มันต้องเรียนเสริมซะเอง แต่อยู่ในหลักสูตรสอบ เราโดนครอบครัว(แฟน) กดดันว่าทำงานได้เงินหมื่นต้นๆ เนี่ยนะ... แต่เราหางานแล้ว ในจังหวัดเรามีจ้างแค่นี้จริงๆ ถ้าไม่มีสกิลการสื่อสารเลย ก็เป็นแค่คนในไลน์ผลิต หรือเป็นพนักงานทั่วไป เงินหมื่นต้นๆ หากินกับโอที หาในJobth ก็มีแต่ต้องไปที่อื่น แต่แลกกับการไกลบ้าน ค่าห้อง เราไม่เอาค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นคนชอบอยู่เซฟโซน แต่ครอบครัวแฟนชอบความก้าวกระโดด แต่มองการใช้ชีวิตก็ยากนะที่จะกระโดดได้
3.การใช้ชีวิต และนี้ก็เป็นจุดเชื่อมระหว่าง2-3 บ้านแฟนเรายังเป็นสังคมนิยม อยากได้แบรนด์เนม อยากกินชาบู อยากทำงานเสร็จก็เที่ยวทำบุญ แต่กับครอบครัวฝั่งเราชอบความสงบสุข อยู่ตลาด กับอยู่สวน แค่2ที่ แต่ก็ลำบากขึ้น เพราะสังคมสมัยนี้ไปไวมาไว อยู่กับเทคโนโลยี จนลืมงานที่ต้องทำ เช่นงานบ้าน การรักษาของ สมบัติของตนเอง สิทธิในสังคมของตนเอง พอเราคิดถึงตรงนี้ก็รู้ได้ว่าโรงเรียนไม่ได้เน้นตรงนี้เลย ทั้งที่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้ เพราะมันต้องติดตัวไปตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เหมือนสังคมไทยยังโฟกัสผิดจุด
ใครมีความเห็นหรือประสบการณ์เพิ่มเติม พูดคุยกันได้ค่ะ ถ้าประเทศเราไปถูกจุด ประเทศเราไม่น้อยหน้าใครเลยนะ
ป.ล.ไม่อยากให้ซ้ำรอยกับลูกตนเอง แต่ถ้าการเมือง เศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ ก็คงแก้ไม่ได้เลย