เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Tempel ตอนที่ 15



ตอนที่  15  อุปสรรคระหว่างกลับลำพูน

                วันนี้สดใสตื่นมาเห็นภรรยารีบเร่งจัดเของเพื่อจะเดินทางดูเธอตื่นเต้นที่จะได้ไปลำพูน  บ้านเกิดของผม  
                “ที่รักคุณกำลังทำอะไรอยู่นะครับ” ผมทักไป  
                “ก็กำลังจัดกระเป๋าเดินทางนะซิคะคุณถ้าว่างก็มาช่วยกันหน่อยเร็ว”  
                “ได้เลยครับจะให้ช่วยยังบ้างล่ะ”  
                “ก็นี่ไงเสื้อผ้าที่ฉันเก็บมานี่แล้ว  คุณพับแล้วแยกของคุณกับของฉัน  เดี๋ยวฉันจะเก็บเข้ากระเป๋าเองของใครของมัน”  
                “รับทราบครับคุณภรรยา”  
                “ไม่ต้องมาปากดีเลยช่วยกันเร็วๆจะได้เสร็จไวๆ” ปุ๊สั่ง  
                “ครับผม”  ผมเห็นภรรยาผมแล้วตลกจริงๆออกอาการตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ไปลำพูน  หลังจากจัดสัมภาระเสร็จแล้วก่อนออกเดินทางเธอสั่งให้ผมไปสำรวจประตูหน้าต่างแล้วก็ระบบไฟภายในบ้านว่าจัดการเรียบร้อยหรือเปล่าเพราะกลัวเรื่องอุบัติเหตุและขโมยโขจร  
                “ผมตรวจเช็คเรียบร้อยแล้วครับรับรองปลอดภัย 100 %“ ผมรายงาน 
                “ให้มันแน่นะถ้าของหายแม้แต่ชิ้นเดียว...คุณตายแน่...ออกไปแล้วล็อกประตูให้ดีด้วย” เมียขู่ 
                “จะให้ผมบอกพี่พจน์ไหมว่าขอให้คนมาดูแลบ้านให้ด้วยช่วงที่เราไม่อยู่หนะ” ผมหยอก 
                “เออ...ก็ดีนะสามีฉันนี่ฉลาดจริงๆเลย” ปุ๊ชมผม 
                “แต่ผมไม่มีเบอร์ของพี่พจน์นะซิ”  
                “ว่ายังไงนะไม่มีเบอร์แล้วพูดมาทำไม” ปุ๊ฉุนขึ้นมาอีกแล้ว 
                “แต่ผมมีเบอร์ของเจ๊กานดานะ”  ผมแก้ตัว  
                “ถ้าอย่างนั้นก็รีบโทรไปซิจะรอทำไม”  ปุ๊สั่ง  
                “ได้ครับ...แต่คุณต้องเป็นคนโทรไปคุยเองนะ”  
                “ทำไมคุณไม่คุย”  
                “ผมไม่อยากไปยุ่งกับเมียชาวบ้านเขาหนะ  แค่เมียผมคนเดียวผมก็เกือบตายมาแล้วไม่รู้กี่รอบ..ขืนรอบนี้ไปยุ่งอีกผมต้องตายจริงๆอย่างแน่นอน” ผมกะล่อนไปตามเรื่อง 
                “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเบอร์มาฉันจะโทรไปคุยเอง”  ผมยื่นเบอร์โทร.ให้  เธอหยิบไปแล้วก็เดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะสักพักก็เดินกลับมาแบบยิ้มแย้มแจ่มใส  
                “ที่รักคะเราเดินทางกันได้แล้วนะ  เจ๊กานดาเขารับปากแล้วคะว่าจะคอยส่งคนไปคอยดูแลให้..มาซิคะเดี๋ยวไปขึ้นรถไม่ทันนะ..มาเร็วๆ” อะไรกันวะอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายจริงๆเลยเมียกูเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  กูปรับตัวไม่ทันเลย  อย่างอื่นกูไม่กลัว...กลัวอย่างเดียวมนุษย์เมียนี่แหละกูอยากจะบ้าตาย
                เราขึ้นรถโดยสายจากคำเขื่อนแก้วจนถึงจังหวัดอุบลราชธานีโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง  แล้วก็ต่อรถไปที่สถานีขนส่งอุบลฯ  จากนั้นเราก็เดินหาซื้อตั๋วรถทัวร์สายอุบลฯ-เชียงใหม่  เรารีบเข้าไปในสถานีขนส่งในทันทีแล้วก็เจอสายรถทัวร์แห่งหนึ่งติดป้ายว่า  อุบลฯ-เชียงใหม่  เราก็เลยเข้าไปสอบถาม  
                “สวัสดีครับ  พวกเราจะเดินทางไปลำพูนหนะครับวันนี้มีรถเที่ยวไหนไปบ้างครับ..ผมอยากทราบเวลาที่!..” ปุ๊เบรคผม  
                “มานี่ๆฉันคุยเองให้คุณคุยไม่รู้เรื่องสักที”  แล้วเธอก็คุยแบบกับพนักงานขายตั๋วแบบซาวน์แทร็ตอย่างเอร็ดอร่อย   จนได้ตั๋วรถ VIP  มาสองใบรวมราคาแล้วประมาณ  800 บาท  ภรรยาผมบอกว่าเรียบร้อยแล้ว   
                “คุณจองตั๋ว  VIP  เลยเหรอมันจะแพงไปรึป่าว” ผมถาม 
                “ก็ฉันพอใจนี่...ฉันจะเอาแบบไหนก็ได้..คุณไม่ต้องพูดมาก...คุณคะกว่ารถจะออกก็ตั้ง  2 ทุ่มแน่ะ” ปุ๊บอกผม 
                “ตอนนี้ก็โมงแล้ว” ผมถาม
                “เที่ยงกว่าแล้วคะ” ปุ๊ตอบ 
                “ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนไหมครับ” ผมเสนอ 
                “ดีคะ..อย่างนั้นคุณนำไปนะคะ”   
                “ตามผมมาให้ทันนะ”  ผมหยอกเล่น   ผมเดินนำเธอวิ่งตามจนมาเจอร้านอาหารร้านแห่งหนึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า  
                “ร้านนี้น่านั่งนะเราเข้าไปดูกันไหม” ผมชวน 
                “ก็ดีคะ..เอ้จะกินอะไรดีน้า”  แล้วเราก็เข้าไปในร้าน  มีพนักงานมาต้อนรับ 
                “รับอะไรดีครับ”  พนักงานเสิร์ฟถามพร้อมยื่นรายการอาหารให้  
                “ผมเอาข้าวขาหมู  กับเกี๊ยวกุ้ง  คุณจะสั่งอะไร” ผมสั่งอาหารของผม 
                “ฉันเอาข้าวมันไก่ก็แล้วกัน”  ปุ๊สั่งบ้าง  ระหว่างรออาหาร เธอถามผมว่า 
                “นี่คุณพ่อกับแม่คุณท่านใจดีจริงเหรอ”  
                “จริงซิ..คุณถามทำไมเหรอ” ผมสงสัย  
                “เปล่าก็แค่อยากรู้..เออ..แล้วท่านชอบอะไรเป็นพิเศษบ้างไหมฉันหมายถึงของประดับหรือของใช้อะไรแบบนี้ หนะ” ปุ๊ถาม 
                “แม่เป็นผู้หญิงก็ต้องชอบของประดับซิ  เช่น  สร้อยคอสร้อยข้อมือ  กำไล  แหวนอะไรพวกนี้แหละ  ผมเห็นท่านเก็บไว้นะแต่ไม่ค่อยเห็นเอามาใส่  หรืออาจเอามาใส่ในช่วงไปออกงานก็ได้ผมไม่ค่อยได้สังเกต”  ผมตอบ  
                “แล้วพ่อคุณล่ะ” ปุ๊ถามต่อ 
                “พ่อผมเหรอ...รายนั้นเขาบ้านาฬิกา   เวลานายจ้างเอานาฬิกาซึ่งเขาคิดว่ามันเสียแล้วเอามาให้พ่อบางทีตั้ง 2-3 เรือนก็มี  พ่อจะดีใจมากถึงจะเป็นนาฬิกาที่เสียแล้วแต่คุณเชื่อไหมพ่อผมทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาได้อีกนะ  พ่อก็เลยชอบสะสมนาฬิกา..คุณถามทำไมเหรอ"  ผมสงสัย  
                “เปล่าก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง..เออคุณกินไปก่อนนะเดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”  ปุ๊บอก  
“               รีบไปรีบมานะระวังตัวด้วยนะ”  ผมก็นั่งกินต่อไป  แต่แอบได้ยินโต๊ะข้างๆคุยกันว่าแถวนี้มีโรงหนังด้วยเข้าท่าเลยชวนเมียไปดูหนังดีกว่า  ซักพักนึงแล้วปุ๊ก็มา  
                “รอนานไหมคะที่รัก” ปุ๊ถาม  ผมเลยตอบไปว่า 
                “นานเป็นชาติเลย  คุณแอบไปซื้อของมาใช่ไหม” ผมถามแบบทำหน้าเข้ม  
                “เปล่านะคนในห้องน้ำมันเยอะ แล้วฉันก็หลงทางด้วยก็เลยมาช้าไปหน่อยหนะค่ะ..โกรธรึคะ”  ปุ๊ถามแบบมีเลสนัย  
                “เปล่า...ผมนึกว่าคุณหนีกลับบ้านไปแล้ว  ผมจะได้กินของบนโต๊ะนี่ให้หมดเลยตากห่าง” ผมหยอก  
                “คนบ้าฉันกินยังไม่อิ่มเลยนะ”  
                “อย่างนั้นก็กินต่อซิ  นี่คุณกินข้าวแล้วเราไปดูหนังกันไหม..ผมได้ยินเขาคุยกันนะ..ว่าแถวนี้มีโรงหนังด้วยนะ..เราไปเที่ยวดูกันไหมว่ามีเรื่องอะไรฉายบ้างระหว่างรอขึ้นรถ” ผมเสนอ 
                “อือ..ก็ดีซิคะ..อย่างนั้นไปกันเลย”  เธอรีบชวนผมทันที  
                “อ้าว!..ไม่กินให้หมดก่อนเหรอ”  
                “ฉันอิ่มแล้วไปกันเลย” 
                “เดี๋ยวไม่จ่ายเงินค่าอาหารก่อนเหรอ”  
                “คุณก็ไปจ่ายเลยซิแล้วรีบตามมานะ”  ไม่พ้นกูอีกแล้ว  จ่ายค่าอาหารแล้วเธอก็รีบลากผมไปที่โรงหนังทันที  เข้าไปที่หน้าโรงหนังแล้วก็เที่ยวดูโปรแกรมหนังที่จะฉายในช่วงบ่าย  
                “นี่ๆคุณเรื่องบ้านผีปอบภาค16น่าดูนะทั้งตลกทั้งสยองดูไหม” ผมแกล้งถาม 
                “ไม่เอาคุณก็รู้ว่าฉันกลัวผี”   
                “ยกเว้นผีผ้าห่มใช่ไหมที่ไม่น่ากลัวหนะ”  ผมแกล้งต่อ  
                “ไอ้บ้า..ผีตัวนี้แหละน่ากลัวที่สุด..เสียตัวตลอด..ไปหาดูโรงอื่นเร็วๆ” เธอดึงแขนผม  
                “คุณๆโรงนั้นเขาฉายหนังฝรั่งพากย์ไทยด้วยน่าสนใจมากเลยผมออกดูมานานแล้ว” ผมบอก 
                “เรื่องอะไรเหรอ” ปุ๊ถาม  
                “เรื่อง  The day after tomorrow  วันสิ้นโลก  ไม่มีผีมีแต่ความตื่นเต้น  เป็นหนังเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หนะไม่น่ากลัวหรอก  ผมอยากดูมานานแล้วนี่ก็ใกล้เวลาฉายหนังแล้วเราไปดูกันเถอะ...นะครับ” ผมออดอ้อน  
                “ไม่น่ากลัวแน่นะ..อย่างนั้นก็ได้” ปุ๊ไม่ไว้ใจ 
                “เราเข้าไปซื้อตั๋วแล้วเข้าไปดูกันเลย”
                ซื้อตั๋วหนังแล้วพวกเราเดินเข้าไปในโรงหนังนั่งประจำที่เรียบร้อยหนังกำลังจะเริ่มฉายพอดีดูปุ๊ตื่นเต้นมาก  หนังฉายไปแล้วหลายนาทีปุ๊ตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มากจับมือผมไม่ปล่อยเลย  ดูเธอมีความสุขมากๆ  ผมก็ด้วยและจู่ๆ  ผมก็ได้ยินเสียงในหัวสมอง  
                (ไอ้น้อง - ไอ้สติมาได้ไงวะพี่ – กูมีเรื่องจะบอกวันนี้บนรถทัวร์ที่พวกจะนั่งกลับบ้านมันจะระเบิด – เป็นไปได้ไงวะรู้ได้ยังไง – บริวารของกูมาบอก – มีบริวารด้วยเหรอ – ก็เพราะบุญกุศลที่ทำไปให้กูนั่นแหละทำให้ตอนนี้กูได้เลื่อนเป็นเทวดาคอยคุ้มครองกับแม่ปุ๊กูมีชื่อแล้วนะชื่อว่าอมรเทพ – แม่ปุ๊หมายความว่ายังไงกูไม่เข้าใจหวะ – แม่ปุ๊ก็คือแม่ที่กูจะไปจุติเป็นลูกท่านยังไงล่ะ – ถ้าอย่างนั้นกูก็เป็นพ่อของซินะ – ก็อาจจะใช่ถ้าไม่ตายซะก่อน  อันนี้กูพูดเล่นเอาคืนบ้างไงล่ะที่ชอบด่ากู – เอ่อช่างเถอะแล้วรถทัวร์จะระเบิดได้ยังไง – กูรู้แต่ว่ามันต้องการเอาชีวิต – ใครมันจะฆ่ากูวะ...เลวจริงๆ  จะฆ่ากูคนเดียวเล่นจะคนอื่นมาตายด้วยเลยอย่างนั้นเลยหรือวะ  มันเป็นใครที่คิดจะทำแบบนี้ใครเป็นตัวบงการให้กูเดานะใช่ไอ้เจ็คหนวดจิ๋มหรือเปล่า – ใช่...มันนั่นแหละ  มันจะทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุนะซิ – ไอ้เลวมันคงแค้นกูมากซินะเรื่องปุ๊หนะ  ได้อยากเล่นกับกูเหรอเดี๋ยวกูจัดให้เต็มๆเลย - เฮ้ย!..อย่าไปฆ่าใครนะเดี๋ยวบุญกูหมดกูจะไม่ได้ไปเกิด - วางใจเถอะกูไม่ฆ่าใครหรอกแต่กูแค่จะสั่งสอนมันเท่านั้นเอง  มีบริวารกี่ตน – 5 ตน – เป็นแบบไหนเป็นผีหรืออะไร – เป็นผีแต่เป็นผีชั้นดี - เอาอย่างนี้นะพี่ชาย  สั่งบริวารของ 2 ตนไปหาตัวไอ้พวกที่มันกำลังวางระเบิดรถให้เจอแล้วมาบอกกูว่ามันกำลังทำอะไรอยู่แล้วมันดำเนินการไปถึงไหนแล้ว  ระบุตัวตนให้ชัดเจนว่ามันมีกี่คนแต่งกายยังไงหน้าตาเป็นยังไงรูปร่างเป็นยังไง  แล้วมารายงานกู  อีกอย่างเคยบอกกูว่าไอ้เจ็คหนวดจิ๋มมันแอบโกงกินบริษัทฯใช่ไหม – ใช่ – ถ้าอย่างนั้นสั่งบริวารของที่เหลือไปสืบดูว่าการทุจริตครั้งนี้มีใครรู้เห็นบ้างสืบตั้งแต่ท่านประธานลงมาเลยแล้วมารายงานต้องหาข้อมูลมาให้ละเอียดมากที่สุด  หลังจากนั้นกูจะจัดเองพี่ชาย – ได้เดี๋ยวกูจัดให้ – หนังใกล้จะจบแล้วถ้าหนังจบกูออกไปรอข้างนอกนะ – ได้เลยเดี๋ยวกูไปจัดการก่อนถ้ามีอะไรเรียกกูได้เลย - ขอบใจมากพี่ชาย)
                หนังจบแล้วเราออกมาจากโรงหนังปุ๊ตื่นเต้นมากกับหนังเรื่องนี้พูดไม่หยุดปากเลย  
                “เป็นไงล่ะชอบมากล่ะซิ”  ผมทักไป 
                “ชอบมากตื่นเต้นมากๆ..คุณไปรู้จักหนังเรื่องนี้ได้ยัง” ปุ๊ถาม 
                “ผมเห็นในโฆษณาทีวีเห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยอยากดูจึงพาคุณมาดูนี่ไงตื่นเต้นมากล่ะซิ”  ผมตอบไป  
                “เรากลับไปที่สถานีขนส่งกันเถอะตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว  เดี๋ยวผมจะให้คุณดูเรื่องที่น่าตื่นเต้นเมื่อกว่าหนังเรื่องเมื่อกี้อีก”  ผมบอก  
                “เรื่องอะไรคะคุณ”  
                “เอาเถอะเดี๋ยวคุณก็รู้เอง..คุณมีสมุดกับปากกาไหม” ผมถาม 
                “มีคะคุณจะเอาไปเขียนอะไร” ปุ๊สงสัย
                “เดี๋ยวคุณก็รู้เองรอให้ถึงสถานีขนส่งก่อนเถอะ”  เราพากันเดินมาถึงที่สถานีขนส่งแล้วหามุมเงียบๆนั่งคุยกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่