จอห์น (เจมส์ นอร์ตัน) คนทำความสะอาดหน้าต่างวัย 34 ปี พ่อเลี้ยงเดี่ยว
ที่อุทิศชีวิตเพื่อเลี้ยงดูลูกชายตัวน้อยของเขาไมเคิล (ดาเนียล ลามอนต์)
หากแต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง... นอร์ตันมีอาการป่วยและแน่นอนอย่างที่สุดว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
นอร์ตัน จึงเพียรพยายาม หาครอบครัวใหม่ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกชาย เพื่อให้อนาคตที่ดีที่สุดกับไมเคิล
อนาคตที่ตัวเขาเองไม่เคยมี ..ก่อนที่เขาจะต้องลาจากโลกนี้ไป
ในเรื่องจะเห็นว่า จอห์น ถกปัญหากับนักสังคมสงเคราะห์เรื่องที่เขาปฎิเสธจะให้ไมเคิล รับรู้การมีอยู่ของตัวเขาในฐานะพ่อผู้ให้กำเนิด
เพราะไม่อยากให้ลูกมีความทรงจำในอดีตที่เลวร้าย แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่า หากเวลาผ่านไป เมื่อไมเคิลโตขึ้น
เขามีสิทธิที่จะรับรู้ถึงความจริงในเรื่องนี้ก็ตาม
จอห์น และนักสังคมสงเคราะห์สาว โชน่า เดินทางไปเยี่ยมเยี่ยนในทุกๆ ครอบครัวที่สนใจรับไมเคิลไปอุปการะ..
พร้อมๆกันนั้นอาการของจอห์น ก็ค่อยๆ ทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ .. เวลาของเขาที่จะทำเพื่อลูกชายเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ...
Nowhere Special ของ Uberto Pasolini ผู้กำกับชาวอิตาเลี่ยน เล่าเรื่องของความรักความผูกพันของพ่อกับลูกได้อย่างดีเยี่ยมครับ
เจมส์ นอร์ตัน นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษที่มีผลงานมากมาย อาทิ Rush (2013) ..Little Women (2019)
ถ่ายทอดความรู้สึกของพ่อที่ต้องเจ็บปวดกับการที่กำลังจะต้องจากไป ในขณะที่ยังเป็นห่วงอนาคตที่ไม่รู้จะเป็นอย่างไรของลูกชาย ...
ส่วน ดาเนี่ยล ลามอนต์ ในบทของไมเคิล ลูกชายวัย 4 ขวบ ก็น่าเอ็นดูเสียจนอยากจะอุปการะขึ้นมาเองจริงๆ
ความรักของผู้เป็นพ่อยิ่งใหญ่เหลือเกินครับ กับตัวของจอห์นเอง ซึ่งไม่เคยได้รับความอบอุ่นนี้
ในหนังเอ่ยถึงเพียงสั้นๆ ว่า เขาเป็นลูกคนขับรถบรรทุก และถูกทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่ออายุได้เพียง 4 ขวบ..
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ ไมเคิล มีชีวิตเหมือนที่เขาเคยเป็น
Nowhere Special เป็นหนังเศร้าแน่นอนครับ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านย่อมเคยดูหนังที่มีเรื่องราวความผูกพันระหว่างพ่อลูกมาไม่มากก็น้อย
หากแต่เรื่องนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงความพยายามอย่างเหลือล้นจากชีวิตของพ่อผู้แทบจะเรียกได้ว่าคนที่ไม่เคยสมหวังอะไรสักอย่างเลยในชีวิต
ดังนั้น สิ่งที่ตัวของจอห์นทำนอกจากเพื่อลูกชายคนเดียวแล้ว ก็เปรียบได้กับการต้องการเอาชนะตัวเอง
ว่าอย่างน้อยที่เขาได้เกิดมา เขาได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดและประสบความสำเร็จแล้วนั่นเอง
แล้วจอห์นจะทำได้หรือไม่... เด็กชายสุดท้ายแล้วจะได้อยู่กับใคร....
“วันนึงในไม่ช้า พ่อจะทิ้งร่างไป แต่จะอยู่ข้างๆลูกเสมอในอากาศ เหมือนลูกโป่งที่ลอยไปบนฟ้า
ลูกจะไม่เห็นพ่ออีก แต่ลูกยังคุยกับพ่อได้และพ่อจะฟัง
ลูกจะไม่ได้ยินเสียงพ่อเหมือนอย่างตอนนี้ แต่เสียงของพ่อจะดังก้องอยู่ในตัวลูก
ในแสงแดดที่ทำให้ลูกอบอุ่น .. ในสายฝนที่ทำให้ลูกตัวเปียก
และในอากาศที่ลูกหายใจ.... เพราะพ่อจะอยู่กับลูกตลอดไป....”
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Nowhere Special (2020) ก่อนที่พ่อ..จะจากไป ...==
จอห์น (เจมส์ นอร์ตัน) คนทำความสะอาดหน้าต่างวัย 34 ปี พ่อเลี้ยงเดี่ยว
ที่อุทิศชีวิตเพื่อเลี้ยงดูลูกชายตัวน้อยของเขาไมเคิล (ดาเนียล ลามอนต์)
หากแต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง... นอร์ตันมีอาการป่วยและแน่นอนอย่างที่สุดว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
นอร์ตัน จึงเพียรพยายาม หาครอบครัวใหม่ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกชาย เพื่อให้อนาคตที่ดีที่สุดกับไมเคิล
อนาคตที่ตัวเขาเองไม่เคยมี ..ก่อนที่เขาจะต้องลาจากโลกนี้ไป
ในเรื่องจะเห็นว่า จอห์น ถกปัญหากับนักสังคมสงเคราะห์เรื่องที่เขาปฎิเสธจะให้ไมเคิล รับรู้การมีอยู่ของตัวเขาในฐานะพ่อผู้ให้กำเนิด
เพราะไม่อยากให้ลูกมีความทรงจำในอดีตที่เลวร้าย แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่า หากเวลาผ่านไป เมื่อไมเคิลโตขึ้น
เขามีสิทธิที่จะรับรู้ถึงความจริงในเรื่องนี้ก็ตาม
จอห์น และนักสังคมสงเคราะห์สาว โชน่า เดินทางไปเยี่ยมเยี่ยนในทุกๆ ครอบครัวที่สนใจรับไมเคิลไปอุปการะ..
พร้อมๆกันนั้นอาการของจอห์น ก็ค่อยๆ ทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ .. เวลาของเขาที่จะทำเพื่อลูกชายเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ...
Nowhere Special ของ Uberto Pasolini ผู้กำกับชาวอิตาเลี่ยน เล่าเรื่องของความรักความผูกพันของพ่อกับลูกได้อย่างดีเยี่ยมครับ
เจมส์ นอร์ตัน นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษที่มีผลงานมากมาย อาทิ Rush (2013) ..Little Women (2019)
ถ่ายทอดความรู้สึกของพ่อที่ต้องเจ็บปวดกับการที่กำลังจะต้องจากไป ในขณะที่ยังเป็นห่วงอนาคตที่ไม่รู้จะเป็นอย่างไรของลูกชาย ...
ส่วน ดาเนี่ยล ลามอนต์ ในบทของไมเคิล ลูกชายวัย 4 ขวบ ก็น่าเอ็นดูเสียจนอยากจะอุปการะขึ้นมาเองจริงๆ
ความรักของผู้เป็นพ่อยิ่งใหญ่เหลือเกินครับ กับตัวของจอห์นเอง ซึ่งไม่เคยได้รับความอบอุ่นนี้
ในหนังเอ่ยถึงเพียงสั้นๆ ว่า เขาเป็นลูกคนขับรถบรรทุก และถูกทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่ออายุได้เพียง 4 ขวบ..
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ ไมเคิล มีชีวิตเหมือนที่เขาเคยเป็น
Nowhere Special เป็นหนังเศร้าแน่นอนครับ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านย่อมเคยดูหนังที่มีเรื่องราวความผูกพันระหว่างพ่อลูกมาไม่มากก็น้อย
หากแต่เรื่องนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงความพยายามอย่างเหลือล้นจากชีวิตของพ่อผู้แทบจะเรียกได้ว่าคนที่ไม่เคยสมหวังอะไรสักอย่างเลยในชีวิต
ดังนั้น สิ่งที่ตัวของจอห์นทำนอกจากเพื่อลูกชายคนเดียวแล้ว ก็เปรียบได้กับการต้องการเอาชนะตัวเอง
ว่าอย่างน้อยที่เขาได้เกิดมา เขาได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดและประสบความสำเร็จแล้วนั่นเอง
แล้วจอห์นจะทำได้หรือไม่... เด็กชายสุดท้ายแล้วจะได้อยู่กับใคร....
“วันนึงในไม่ช้า พ่อจะทิ้งร่างไป แต่จะอยู่ข้างๆลูกเสมอในอากาศ เหมือนลูกโป่งที่ลอยไปบนฟ้า
ลูกจะไม่เห็นพ่ออีก แต่ลูกยังคุยกับพ่อได้และพ่อจะฟัง
ลูกจะไม่ได้ยินเสียงพ่อเหมือนอย่างตอนนี้ แต่เสียงของพ่อจะดังก้องอยู่ในตัวลูก
ในแสงแดดที่ทำให้ลูกอบอุ่น .. ในสายฝนที่ทำให้ลูกตัวเปียก
และในอากาศที่ลูกหายใจ.... เพราะพ่อจะอยู่กับลูกตลอดไป....”
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===