เรื่องครอบครัว บางทีสิ่งที่สังคมไทย พร่ำสอน คือการต้องรักพ่อแม่ตัวเองให้มากๆ
พ่อแม่มีบุญคุณกับเราท่วมหัว เจ็บปวดตอนคลอดเรา นั่งอุ้มท้อง ป้อนนม ป้อนยา ป้อนอาหาร
นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนหนึ่ง ใช้ได้สำหรับครอบครัว (ส่วนใหญ่) ในสังคมไทย
การสอนแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดี ทำให้รู้จักสำนึก นึกถึง เข้าใจ หรือเห็นใจ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนมีสองด้านเสมอ ด้านสว่าง กับฝั่งด้านมืด
ด้านสว่าง คือ ได้สร้างสามัญสำนึกที่ดี กับหลายๆคน
ส่วนด้านมืดนั้น ...
กับครอบครัวบางครอบครัว สร้างรอยแผลเป็นฝังลึก กับใครหลายๆท่าน
เอาหละ เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ..
ผมเป็นเด็กที่ลืมตาดูโลก เพราะความไม่ตั้งใจ เพราะความสนุกชั่วคราวของคนสองคน และไม่มีสถานะภาพทางด้านอารมณ์ ด้านการเงิน ที่จะเลี้ยงดูสั่งสอน ใครได้
สิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา ถ้าสิ่งๆนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ..
เกิดมาได้ไม่นาน ไม่เกิน3เดือน ต้องระหกระเหินไปอยู่กับย่าและปู่ ซึ่งตอนนั้นปู่กับย่ามีอาชีพเผาถ่านขาย กิจการกำลังรุ่งเรื่องพอจะลืมตาอ้าปากได้ ต้องหยุดกิจการ เพื่อมาเลี้ยงหลานคนแรกของตระกูล (ครอบครัวคนจีน หลานผู้ชายคนแรกจะสำคัญมาก)
ซึ่งแน่นอน พอปู่กับย่าเลิกทำงาน ครอบครัวขาดรายได้ ไม่มีรายได้จุนเจือชีวิตของสองตายายในบั้นปลาย
พ่อแม่ผมรับปากว่าจะดูแลค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งแน่นอนจะให้เค้าเลี้ยงให้ ก็ต้องรับปากอยู่แล้ว (เพราะตัวเองไม่พร้อมที่จะมีลูกอยู่แล้ว และไม่พร้อมที่จะดูแล)
หลายๆท่านคิดว่า จุดเริ่มต้นความตำบอนจะเริ่มจากตรงนี้ ...
ไม่ครับ ปู่กับย่ารักผมดีมาก ดูแลผมอย่างดี ภาพจำที่จำได้ คือใส่ใจดูแล เรื่องการเรียน การกิน ได้ดีมากๆ ไม่เคยดุด่า ว่าร้าย มีแต่คำชม ความรักที่ผมไม่เคยได้รับ (แม้ผมจะเด็กมากก็ตาม และมองย้อนกลับไป)
ตั้งแต่จำความได้ชัดเจนขึ้น พ่อแม่ผมจะมาหาที่ต่างจังหวัด นานๆที ปีละครั้งหรือสองครั้ง ..
ทุกครั้งที่มาผมจะดีใจมากๆ แน่นอน มาพร้อมของกิน ของอร่อย และของเล่น
ซึ่งแน่นอนช่วงนี้อะไรก็ดี ก็สวยงามไปหมด แต่ความเป็นจริงกำลังจะปรากฏ
ปู่กับย่าเริ่มมีปัญหากับแม่ของผม เรื่องเงินๆทองๆ ทำให้แม่สาบานตนว่าจะไม่ไปเหยียบบ้านปู่กับย่าอีก
คนที่ได้รับผลเสีย คือ เด็กที่ไร้เดียงสา ..
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยความตึงเครียด ลำบากใจกันทุกฝ่าย
จุดเปลี่ยนคือ วันเกิดผม ตอน ป.1 ในช่วงกลางคืนมีจัดงานวันเกิดให้ผมเล็กๆ ย่าไปทำป้ายโฟม (สุขสันต์วันเกิดหลานรัก) หาสายรุ้งมาติด มีหมวก มีอาหาร จำได้ว่าทุกคนที่มาถึงจะอายุห่างกับผม (เพื่อนๆลูกของย่า) แบบคนละวัย แต่จำได้ว่าวันนั้นสนุกมาก แต่พ่อกับแม่ผมไม่ได้มา (แม่เข้าขั้นเกลียดปู่แบบไม่เผาผี) งานดำเนินไปถึงช่วงกลางดึก 2-3ทุ่ม สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พ่อผมเดินทางมาคนเดียวกลางดึก ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ พ่อเรามา ผมเอนจอยมากๆ ทุกคนก็มีความสุขกัน ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่มีปัญหา เพราะย่าบอกว่า เราทะเลาะกับแม่หลาน ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องเกลียดลูกชายตัวเอง
งานดำเนินไปจนจบงาน กลางดึก ทุกคนเมาและกลับกันหมดแล้ว พ่อผมจับผมขึ้นรถ และบอกว่าจะพาไปหาแม่ที่กรุงเทพ เราเด็กเราก็ดีใจ จะได้นั่งรถเที่ยว ได้ไปหาแม่ พอรถจะออก ย่าวิ่งมาที่รถ ว่าจะเอาหลานไปไหน
ใช่ครับ พ่อผมจะขโมยตัวผมเอง ไปโดยที่ไม่บอกย่าหรือปู่ (มาทราบตอนโตว่า ทะเลาะกับกูก็อย่ามาใช้เงินกู อย่ามาเลี้ยงลูกกู)
แต่ย่าผมคืนนั้นยอมแต่โดยดี เค้ารู้อยู่แล้วว่าพ่อกับแม่ผมคิดอะไร ที่จะวิ่งมาเพราะกลัวหลานไม่มีนม ไม่มีผ้าเน่า (ตอนเด็กผมติดผ้าเน่า) แต่ที่ย่ายอมปล่อย เพราะพ่อผมสัญญาว่า จะกลับมาส่งไปไม่กี่วัน
ออกรถมาครึ่งทาง ผมก็เริ่มกลัว เหงา คิดถึงย่า ยังจำภาพได้ว่าเรานั่งมองกระจกออกไปข้างนอก แล้วน้ำตาไหล (จากกับย่าครั้งแรกหลังอยู่กับเค้ามาตลอดไม่เคยห่าง) ความที่เราเด็ก เราร้องไห้แต่เราไม่อยากร้องให้พ่อได้ยิน กลัวเค้าดุ
ร้องจนหลับไปที่เบาะหลัง ...
รู้สึกตัวอีกที ผมตื่นขึ้น เพราะรถหยุดอยู่ ณ สถานที่สถานที่หนึ่ง ที่ผมไม่คุ้นตามืดๆ มีไฟสีๆ (มาทราบตอนโตว่าคือร้านคาราโอเกะ) ใช่ครับ พ่อทิ้งผมให้นอนในรถไม่ได้เปิดกระจก จำได้ว่าตื่นกลัว ทั้งเคาะ ทั้งร้องไห้ จนหลับไป
เอาหละ คงต้องมาถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงสักที ..
แน่นอนการกลับไปส่ง ไม่มีทั้งนั้น ผมร้องไห้หาย่าทุกวัน แต่ไม่สามารถติดต่อกลับไปได้ (แม่ไม่ยอมให้ติดต่อ)
เป็นเวลาหลายปีกว่าแม่จะยอมให้ติดต่อกับย่า ย่าต้องแอบมาหาผมที่โรงเรียนที่ผมเรียน
นั่งรถไฟจาก นครสวรรค์ ไปกลับกรุงเทพแบบนี้ติดกันหลายอาทิตย์ เพื่อมาเจอผมที่โรงเรียน เพียงไม่ถึง ชม (พิมพ์ถึงตรงนี้แล้วจะร้องไห้) ใช่ครับ นั่งรถไฟ 5ชม เพื่อที่จะมาหาหลาน ไม่ถึง ชม ออกแต่เช้ามืด กลับตอนบ่าย 3
นี่เป็นครั้งเดียวที่ผมรู้จักว่าความรักเป็นยังไง
พูดถึงการเป็นอยู่ที่กรุงเทพ กับครอบครัวบ้าง
ด้วยความที่พ่อแม่ทำงานเช้า และโรงเรียนอยู่ใกล้ที่ทำงาน ผมต้องตื่นตั้งแต่ ตี5 นอนไปบนรถมอเตอร์ไซค์ ตั้งแต่ ป.2
ซึ่งตอนอยู่กับย่า ตื่น7โมง-7โมงครึ่งก็ทันไป รร รวมถึงย่าจะทำกับข้าวให้เสมอ กับข้าวพร้อม
อยู่นี่ ผมไปถึง รร เป็นคนแรกเสมอ นั่ง
แบบนั้นอะ มืดก็มืดกลัวก็กลัว แต่ก็ต้องทน นั่งร้องไห้คนเดียวประจำ (ความเด็กอะ)
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุด ไม่ใช่ การคิดถึงย่า การไป รร แต่เช้า หรือความเป็นอยู่ หรือการใช้ชีวิต
ปัญหาที่หนักที่สุด คือแม่ ..
ช่วงแรกที่มาอยู่กรุงเทพ ผมร้องไห้ คิดถึงย่ามาก ช่วงแรกแม่ก็จะปลอบจะโอ๋ แต่แค่ช่วงอาทิตย์แรก
แต่หลังจากที่แม่ค้นพบว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ที่ทำให้ผมหยุดร้อง หยุดสะอื้น หยุดคิดถึงย่า ณ ตอนนั้นเลย
คือการทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจ
มีเหตุการณ์นึง ผมเก็บเงินที่ได้จากการไปเต้นในงานรื่นเริงต่างๆ ได้หลายพัน ผมจะเก็บไว้เองแม่ก็บอกว่าเดี๋ยวเก็บให้ พอถึงเวลาผมจะใช้ไปซื้อของ ปรากฏว่าเงินนั้นไม่มีแล้ว ใช่ครับ แม่ผมขโมยไป
พอทวงถาม บอกว่ากูเลี้ยงมาตั้งเท่าไหร่ กูเอาไปแค่นี้มีปัญหา TT (คุณเป็นแม่อะใช่ แต่ทำแบบนี้เค้าเรียก
)
ทุกครั้งที่ผมร้อง ทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจเค้า ทุกครั้งที่เค้าทะเลาะกับผัวเค้า เค้าจะทั้งตีทั้งด่าผม โมโหร้าย ไม่สนว่าลูกจะถูกหรือผิด เค้าจะหาทางมาควบคุม ใช้คำพูดหลอกเราว่าสิ่งที่ทำมันผิด ถึงมันจะถูกก็เหอะ โกหกทุกเรื่องเพื่อให้ตัวเองถูก ชอบควบคุมคนอื่น (ทั้งที่ตรรกะ
วิบัติจัดๆ)
ซึ่งแน่นอน ผมเป็นเด็ก ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าผมโดนเพราะอะไร เราทำผิดขนาดนั้นเลยเหรอ ..
เป็นแบบนี้มาตลอด 20 ปี
ผมร้องไห้คนเดียวบ่อยมากๆ ทุกครั้ง ตั้งแต่มาอยู่กับเค้า มันทำให้สุขภาพจิตเด็กวัยไร้เดียงสาป่นปี้
ถ้าผมทำผิด หรือไม่ได้ดั่งใจเค้า ผมจะโดนไม่คุยด้วย ไม่คุยไม่พอ ทำหน้าทำตาเบะปากทำท่าเหมือนรังเกียจ
แน่นอนเราเป็นเด็กน้อย เราจะพยายามเข้าไปคุย ไปทำดีด้วย เค้าทั้งไล่ทั้งพูดหยาบคายใส่เราออกมา
พอถึงเวลานอนด้วยกันสามคน บนเตียงเดียวกันถ้าผมไปกอดเค้า เค้าจะทำท่ารังเกียจ โดยการดึงผ้าห่มที่ห่มกันสามคน ไปห่มกับผัวแค่สองคน นอนหันหลังให้ เขยิบหนี ทิ้งผมนอนอ้างว้างร้องไห้อยู่คนเดียวบนเตียงอยู่บ่อยๆ
มีอยู่อันนึงที่ผมฝังใจมากๆ และทำให้จุดเปลี่ยนมันเปลี่ยนไป คือ ช่วงวัยรุ่นความที่ผมเครียดและคิดมาก (ปัญหาต่างๆครอบครัว) ผมเลือกที่จะกรีดมือตัวเอง เย็บไป 100กว่าเข็ม แฟนพาผมไปส่ง รพ และพ่อแม่แฟนผมก็ตามมาทีหลัง เค้าพยายามติดต่อครอบครัวผม โทรหาหลายสิบสาย เพราะกลัวบ้านผมห่วงตัวผม เค้ามาครับ แต่สิ่งที่เค้าพูดกับพ่อแม่แฟนผม คือ วันหลังอย่าโทรอีกนะ เสียเวลา ดูคอนเสิร์ต
เลย TT
และตอนผมออกจาก รพ พ่อแม่แฟนผมโทรหาเค้าอีก แต่รอบนี้ไม่รับแล้วครับ (ไม่ว่าจะกี่สายก็ตาม) มาทราบตอนหลังว่ากลัวจะต้องมาจ่ายเงินให้ผม TT
เราเป็นเด็กเราไม่รู้หรอกครับ ทำไมเราต้องโดนแบบนี้ ..
เราผิดมากเลยเหรอ ..
แล้วทำไมไม่บอกไม่สอนเรา เหมือนที่แม่หรือพ่อควรจะกระทำ ..
ปล่อยให้เด็กคิดเอง ทุกวันนี้ผมเป็นคนคิดมากกับทุกเรื่องไม่หาย
มีวันนึง ทองเค้าหายไปจากที่ที่มันควรจะอยู่ ข้อมือ 1 สลึง เค้าถามผมว่าได้เอาไปหรือเปล่า ผมบอกไม่ได้เอาไปแม่ จะเอาไปทำไม เราเด็ก ป.3เอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เค้าทั้งดุผม ด่าตะโกนใส่หน้า เราก็ได้แต่นั่งร้องไห้ และบอกว่าเราไม่ได้เอาไป
เค้าไม่เชื่อ จะให้ผมยอมรับให้ได้ จนพ่อต้องบอกว่า เค้าเอาไปเอง (พ่อผมติดขโมยเงิน)
และใช่ครับ เค้าบอก กูจะไปรู้เหรอไม่ได้เอาไป และสบัดตูดหนีไปเลย และอีกเรื่องนึงที่ผมรู้ (มารู้ตอนโตแล้วมองย้อนกลับไป) แม่ผมขอโทษไม่เป็น ไม่ใช่กับผัวเค้านะครับ หมายถึงกับลูก ..
และมีอีกหลายๆเรื่องที่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้
ผิดไหมครับที่ผมไม่ไว้ใจแม่ พอปรึกษาปัญหาชีวิตก็ให้คำตอบไม่ได้ แถมวันข้างหน้า ใครจะไปคิดครับ ว่าสิ่งๆนั้นจะวนกลับมาทำร้ายตัวเราเองยามเค้าไม่พอใจ ดูถูกนั่นนู่นนี่อีก
และสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ และจะไม่มีวันเข้าใจเลย คือ เค้าจะไปพูดกับคนอื่น ว่าตัวเองดีใส่ใจลูกใส่ใจครอบครัวตลอด ใช่ครับ โกหกทุกเรื่อง แม้กระทั่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน ถ้าเมื่อไหร่ที่คุยกับเค้า และเค้าทำท่าครุ่นคิด และเวลาตอบคำถามเราแล้วไม่มองหน้าเรา มองบน คือเค้า กำลังโกหก ..
ทุกครั้งที่ลับหลังผม เค้าจะพูดแต่สิ่งไม่ดีของผมให้คนอื่นฟัง สิ่งที่ทำให้คนอื่นคิดว่าเค้าน่าสงสาร และใช่ครับ โกหกทั้งดุ้น
ผมรับไม่ได้ครับ พูดความจริงไม่ว่า แต่โกหก ทุกๆเรื่องเค้าจะเป็นนางเอกพระเอกในบทความนั้นเสมอ
อยากให้ลูกได้ดี กับ
อยากให้ลูกได้ ความหมายมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
ทุกวันนี้ผมไม่ติดต่อญาติพี่น้อง ที่ยังติดต่อคนเดียว คือย่า ย่าคือสุดที่รักของผมเพียงคนเดียว
ด้วยการใช้เงินเกินตัว ซื้อของพร่ำเพื่อ สร้างแต่หนี้ ไม่มีเงินเก็บ ตอนนี้กำลังจะโดนยึดบ้าน ..
และใช่ครับ มาบังคับผมให้ผมกับแฟน ซื้อบ้านให้เค้า แต่รับปากว่าเค้าจะผ่อนเอง 5ปีก็หมดแล้ว(จะเอาตังค์จากไหนมาผ่อนไม่พ้นผม) โกหกผมว่าเดี๋ยวจะซื้อบ้านใหม่ เพราะบ้านเดิมมันเก่า (ความจริงคือไม่ผ่อนส่งเค้ามาเป็นปีๆ)
โกหกแม้กระทั่งญาติน้องสาวพ่อ ให้มาคุยกับผม พอผมปฎิเสธ โดนเค้าด่าว่า แม้แต่หมาสักตัวก็ไม่มีใครช่วย พอผมไม่ยอม บอกยังไม่พร้อม (เพราะไปโกหกใส่ไข่ลับหลังยังไงไม่รู้เพราะหลังๆผมไม่สนใจแล้วใครจะมองยังไง) ผมตัดใจมีปัญหาภายในวันนี้ ดีกว่าไปมีปัญหาในภายภาคหน้าพร้อมกับ
หนี้ก้อนโต
ทุกวันนี้ออกมาอยู่คนเดียว สบายใจ โล่งใจ เหมือนหลุดพ้นจากขุมนรก แต่ก็ไม่วายโดนดูถูกมาสารพัดกว่าจะตัดสินใจเดินออกมา
ยังมีอีกหลายเรื่องมากๆ ที่ผมยอมทนเพราะเห็นว่าเป็นพ่อเป็นแม่ พูดกรอกหูแต่สิ่งโกหกให้ตัวเองดูถูกเสมอตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องนั้นเราจะใช้เหตุผลแค่ไหนก็ตาม
“ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ จงเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา “
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ ไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายใคร แค่ต้องการระบายในรูปแบบนึง
เพราะเรื่องบางเรื่อง
“จะไม่มีใครเข้าใจได้ นอกจากตัวคุณเอง”
ขอบคุณครับ ..
ตอนเค้ามีเค้าไม่เคยนึกถึงผม ผมหากินดิ้นรนทำงานเองตั้งแต่เด็กๆมาตลอด ..
ตอนผมมีทำไมต้องนึกถึงเค้าด้วย ..
อาจจะดูเห็นแก่ตัว และดูอกตัญญูมากๆ สำหรับบางครอบครัว ..
แต่เป็นโชคดีของคุณแล้วครับ ที่มีครอบครัวดีๆ ..
ซึ่งยังมีอีกหลายๆท่าน ที่ไม่โชคดีแบบคุณ ..
ไม่อยากมีลูกแต่เสล่อไม่รู้จักป้องกัน สนุกชั่วคราวปัญหาชั่วโคตร ..
พ่อแม่มีบุญคุณกับเราท่วมหัว เจ็บปวดตอนคลอดเรา นั่งอุ้มท้อง ป้อนนม ป้อนยา ป้อนอาหาร
นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนหนึ่ง ใช้ได้สำหรับครอบครัว (ส่วนใหญ่) ในสังคมไทย
การสอนแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดี ทำให้รู้จักสำนึก นึกถึง เข้าใจ หรือเห็นใจ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนมีสองด้านเสมอ ด้านสว่าง กับฝั่งด้านมืด
ด้านสว่าง คือ ได้สร้างสามัญสำนึกที่ดี กับหลายๆคน
ส่วนด้านมืดนั้น ...
กับครอบครัวบางครอบครัว สร้างรอยแผลเป็นฝังลึก กับใครหลายๆท่าน
เอาหละ เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ..
ผมเป็นเด็กที่ลืมตาดูโลก เพราะความไม่ตั้งใจ เพราะความสนุกชั่วคราวของคนสองคน และไม่มีสถานะภาพทางด้านอารมณ์ ด้านการเงิน ที่จะเลี้ยงดูสั่งสอน ใครได้
สิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา ถ้าสิ่งๆนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ..
เกิดมาได้ไม่นาน ไม่เกิน3เดือน ต้องระหกระเหินไปอยู่กับย่าและปู่ ซึ่งตอนนั้นปู่กับย่ามีอาชีพเผาถ่านขาย กิจการกำลังรุ่งเรื่องพอจะลืมตาอ้าปากได้ ต้องหยุดกิจการ เพื่อมาเลี้ยงหลานคนแรกของตระกูล (ครอบครัวคนจีน หลานผู้ชายคนแรกจะสำคัญมาก)
ซึ่งแน่นอน พอปู่กับย่าเลิกทำงาน ครอบครัวขาดรายได้ ไม่มีรายได้จุนเจือชีวิตของสองตายายในบั้นปลาย
พ่อแม่ผมรับปากว่าจะดูแลค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งแน่นอนจะให้เค้าเลี้ยงให้ ก็ต้องรับปากอยู่แล้ว (เพราะตัวเองไม่พร้อมที่จะมีลูกอยู่แล้ว และไม่พร้อมที่จะดูแล)
หลายๆท่านคิดว่า จุดเริ่มต้นความตำบอนจะเริ่มจากตรงนี้ ...
ไม่ครับ ปู่กับย่ารักผมดีมาก ดูแลผมอย่างดี ภาพจำที่จำได้ คือใส่ใจดูแล เรื่องการเรียน การกิน ได้ดีมากๆ ไม่เคยดุด่า ว่าร้าย มีแต่คำชม ความรักที่ผมไม่เคยได้รับ (แม้ผมจะเด็กมากก็ตาม และมองย้อนกลับไป)
ตั้งแต่จำความได้ชัดเจนขึ้น พ่อแม่ผมจะมาหาที่ต่างจังหวัด นานๆที ปีละครั้งหรือสองครั้ง ..
ทุกครั้งที่มาผมจะดีใจมากๆ แน่นอน มาพร้อมของกิน ของอร่อย และของเล่น
ซึ่งแน่นอนช่วงนี้อะไรก็ดี ก็สวยงามไปหมด แต่ความเป็นจริงกำลังจะปรากฏ
ปู่กับย่าเริ่มมีปัญหากับแม่ของผม เรื่องเงินๆทองๆ ทำให้แม่สาบานตนว่าจะไม่ไปเหยียบบ้านปู่กับย่าอีก
คนที่ได้รับผลเสีย คือ เด็กที่ไร้เดียงสา ..
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยความตึงเครียด ลำบากใจกันทุกฝ่าย
จุดเปลี่ยนคือ วันเกิดผม ตอน ป.1 ในช่วงกลางคืนมีจัดงานวันเกิดให้ผมเล็กๆ ย่าไปทำป้ายโฟม (สุขสันต์วันเกิดหลานรัก) หาสายรุ้งมาติด มีหมวก มีอาหาร จำได้ว่าทุกคนที่มาถึงจะอายุห่างกับผม (เพื่อนๆลูกของย่า) แบบคนละวัย แต่จำได้ว่าวันนั้นสนุกมาก แต่พ่อกับแม่ผมไม่ได้มา (แม่เข้าขั้นเกลียดปู่แบบไม่เผาผี) งานดำเนินไปถึงช่วงกลางดึก 2-3ทุ่ม สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พ่อผมเดินทางมาคนเดียวกลางดึก ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ พ่อเรามา ผมเอนจอยมากๆ ทุกคนก็มีความสุขกัน ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่มีปัญหา เพราะย่าบอกว่า เราทะเลาะกับแม่หลาน ไม่ได้หมายความว่าเค้าต้องเกลียดลูกชายตัวเอง
งานดำเนินไปจนจบงาน กลางดึก ทุกคนเมาและกลับกันหมดแล้ว พ่อผมจับผมขึ้นรถ และบอกว่าจะพาไปหาแม่ที่กรุงเทพ เราเด็กเราก็ดีใจ จะได้นั่งรถเที่ยว ได้ไปหาแม่ พอรถจะออก ย่าวิ่งมาที่รถ ว่าจะเอาหลานไปไหน
ใช่ครับ พ่อผมจะขโมยตัวผมเอง ไปโดยที่ไม่บอกย่าหรือปู่ (มาทราบตอนโตว่า ทะเลาะกับกูก็อย่ามาใช้เงินกู อย่ามาเลี้ยงลูกกู)
แต่ย่าผมคืนนั้นยอมแต่โดยดี เค้ารู้อยู่แล้วว่าพ่อกับแม่ผมคิดอะไร ที่จะวิ่งมาเพราะกลัวหลานไม่มีนม ไม่มีผ้าเน่า (ตอนเด็กผมติดผ้าเน่า) แต่ที่ย่ายอมปล่อย เพราะพ่อผมสัญญาว่า จะกลับมาส่งไปไม่กี่วัน
ออกรถมาครึ่งทาง ผมก็เริ่มกลัว เหงา คิดถึงย่า ยังจำภาพได้ว่าเรานั่งมองกระจกออกไปข้างนอก แล้วน้ำตาไหล (จากกับย่าครั้งแรกหลังอยู่กับเค้ามาตลอดไม่เคยห่าง) ความที่เราเด็ก เราร้องไห้แต่เราไม่อยากร้องให้พ่อได้ยิน กลัวเค้าดุ
ร้องจนหลับไปที่เบาะหลัง ...
รู้สึกตัวอีกที ผมตื่นขึ้น เพราะรถหยุดอยู่ ณ สถานที่สถานที่หนึ่ง ที่ผมไม่คุ้นตามืดๆ มีไฟสีๆ (มาทราบตอนโตว่าคือร้านคาราโอเกะ) ใช่ครับ พ่อทิ้งผมให้นอนในรถไม่ได้เปิดกระจก จำได้ว่าตื่นกลัว ทั้งเคาะ ทั้งร้องไห้ จนหลับไป
เอาหละ คงต้องมาถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงสักที ..
แน่นอนการกลับไปส่ง ไม่มีทั้งนั้น ผมร้องไห้หาย่าทุกวัน แต่ไม่สามารถติดต่อกลับไปได้ (แม่ไม่ยอมให้ติดต่อ)
เป็นเวลาหลายปีกว่าแม่จะยอมให้ติดต่อกับย่า ย่าต้องแอบมาหาผมที่โรงเรียนที่ผมเรียน
นั่งรถไฟจาก นครสวรรค์ ไปกลับกรุงเทพแบบนี้ติดกันหลายอาทิตย์ เพื่อมาเจอผมที่โรงเรียน เพียงไม่ถึง ชม (พิมพ์ถึงตรงนี้แล้วจะร้องไห้) ใช่ครับ นั่งรถไฟ 5ชม เพื่อที่จะมาหาหลาน ไม่ถึง ชม ออกแต่เช้ามืด กลับตอนบ่าย 3
นี่เป็นครั้งเดียวที่ผมรู้จักว่าความรักเป็นยังไง
พูดถึงการเป็นอยู่ที่กรุงเทพ กับครอบครัวบ้าง
ด้วยความที่พ่อแม่ทำงานเช้า และโรงเรียนอยู่ใกล้ที่ทำงาน ผมต้องตื่นตั้งแต่ ตี5 นอนไปบนรถมอเตอร์ไซค์ ตั้งแต่ ป.2
ซึ่งตอนอยู่กับย่า ตื่น7โมง-7โมงครึ่งก็ทันไป รร รวมถึงย่าจะทำกับข้าวให้เสมอ กับข้าวพร้อม
อยู่นี่ ผมไปถึง รร เป็นคนแรกเสมอ นั่งแบบนั้นอะ มืดก็มืดกลัวก็กลัว แต่ก็ต้องทน นั่งร้องไห้คนเดียวประจำ (ความเด็กอะ)
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุด ไม่ใช่ การคิดถึงย่า การไป รร แต่เช้า หรือความเป็นอยู่ หรือการใช้ชีวิต
ปัญหาที่หนักที่สุด คือแม่ ..
ช่วงแรกที่มาอยู่กรุงเทพ ผมร้องไห้ คิดถึงย่ามาก ช่วงแรกแม่ก็จะปลอบจะโอ๋ แต่แค่ช่วงอาทิตย์แรก
แต่หลังจากที่แม่ค้นพบว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ที่ทำให้ผมหยุดร้อง หยุดสะอื้น หยุดคิดถึงย่า ณ ตอนนั้นเลย
คือการทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจ
มีเหตุการณ์นึง ผมเก็บเงินที่ได้จากการไปเต้นในงานรื่นเริงต่างๆ ได้หลายพัน ผมจะเก็บไว้เองแม่ก็บอกว่าเดี๋ยวเก็บให้ พอถึงเวลาผมจะใช้ไปซื้อของ ปรากฏว่าเงินนั้นไม่มีแล้ว ใช่ครับ แม่ผมขโมยไป
พอทวงถาม บอกว่ากูเลี้ยงมาตั้งเท่าไหร่ กูเอาไปแค่นี้มีปัญหา TT (คุณเป็นแม่อะใช่ แต่ทำแบบนี้เค้าเรียก)
ทุกครั้งที่ผมร้อง ทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจเค้า ทุกครั้งที่เค้าทะเลาะกับผัวเค้า เค้าจะทั้งตีทั้งด่าผม โมโหร้าย ไม่สนว่าลูกจะถูกหรือผิด เค้าจะหาทางมาควบคุม ใช้คำพูดหลอกเราว่าสิ่งที่ทำมันผิด ถึงมันจะถูกก็เหอะ โกหกทุกเรื่องเพื่อให้ตัวเองถูก ชอบควบคุมคนอื่น (ทั้งที่ตรรกะวิบัติจัดๆ)
ซึ่งแน่นอน ผมเป็นเด็ก ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าผมโดนเพราะอะไร เราทำผิดขนาดนั้นเลยเหรอ ..
เป็นแบบนี้มาตลอด 20 ปี
ผมร้องไห้คนเดียวบ่อยมากๆ ทุกครั้ง ตั้งแต่มาอยู่กับเค้า มันทำให้สุขภาพจิตเด็กวัยไร้เดียงสาป่นปี้
ถ้าผมทำผิด หรือไม่ได้ดั่งใจเค้า ผมจะโดนไม่คุยด้วย ไม่คุยไม่พอ ทำหน้าทำตาเบะปากทำท่าเหมือนรังเกียจ
แน่นอนเราเป็นเด็กน้อย เราจะพยายามเข้าไปคุย ไปทำดีด้วย เค้าทั้งไล่ทั้งพูดหยาบคายใส่เราออกมา
พอถึงเวลานอนด้วยกันสามคน บนเตียงเดียวกันถ้าผมไปกอดเค้า เค้าจะทำท่ารังเกียจ โดยการดึงผ้าห่มที่ห่มกันสามคน ไปห่มกับผัวแค่สองคน นอนหันหลังให้ เขยิบหนี ทิ้งผมนอนอ้างว้างร้องไห้อยู่คนเดียวบนเตียงอยู่บ่อยๆ
มีอยู่อันนึงที่ผมฝังใจมากๆ และทำให้จุดเปลี่ยนมันเปลี่ยนไป คือ ช่วงวัยรุ่นความที่ผมเครียดและคิดมาก (ปัญหาต่างๆครอบครัว) ผมเลือกที่จะกรีดมือตัวเอง เย็บไป 100กว่าเข็ม แฟนพาผมไปส่ง รพ และพ่อแม่แฟนผมก็ตามมาทีหลัง เค้าพยายามติดต่อครอบครัวผม โทรหาหลายสิบสาย เพราะกลัวบ้านผมห่วงตัวผม เค้ามาครับ แต่สิ่งที่เค้าพูดกับพ่อแม่แฟนผม คือ วันหลังอย่าโทรอีกนะ เสียเวลา ดูคอนเสิร์ตเลย TT
และตอนผมออกจาก รพ พ่อแม่แฟนผมโทรหาเค้าอีก แต่รอบนี้ไม่รับแล้วครับ (ไม่ว่าจะกี่สายก็ตาม) มาทราบตอนหลังว่ากลัวจะต้องมาจ่ายเงินให้ผม TT
เราเป็นเด็กเราไม่รู้หรอกครับ ทำไมเราต้องโดนแบบนี้ ..
เราผิดมากเลยเหรอ ..
แล้วทำไมไม่บอกไม่สอนเรา เหมือนที่แม่หรือพ่อควรจะกระทำ ..
ปล่อยให้เด็กคิดเอง ทุกวันนี้ผมเป็นคนคิดมากกับทุกเรื่องไม่หาย
มีวันนึง ทองเค้าหายไปจากที่ที่มันควรจะอยู่ ข้อมือ 1 สลึง เค้าถามผมว่าได้เอาไปหรือเปล่า ผมบอกไม่ได้เอาไปแม่ จะเอาไปทำไม เราเด็ก ป.3เอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เค้าทั้งดุผม ด่าตะโกนใส่หน้า เราก็ได้แต่นั่งร้องไห้ และบอกว่าเราไม่ได้เอาไป
เค้าไม่เชื่อ จะให้ผมยอมรับให้ได้ จนพ่อต้องบอกว่า เค้าเอาไปเอง (พ่อผมติดขโมยเงิน)
และใช่ครับ เค้าบอก กูจะไปรู้เหรอไม่ได้เอาไป และสบัดตูดหนีไปเลย และอีกเรื่องนึงที่ผมรู้ (มารู้ตอนโตแล้วมองย้อนกลับไป) แม่ผมขอโทษไม่เป็น ไม่ใช่กับผัวเค้านะครับ หมายถึงกับลูก ..
และมีอีกหลายๆเรื่องที่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้
ผิดไหมครับที่ผมไม่ไว้ใจแม่ พอปรึกษาปัญหาชีวิตก็ให้คำตอบไม่ได้ แถมวันข้างหน้า ใครจะไปคิดครับ ว่าสิ่งๆนั้นจะวนกลับมาทำร้ายตัวเราเองยามเค้าไม่พอใจ ดูถูกนั่นนู่นนี่อีก
และสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ และจะไม่มีวันเข้าใจเลย คือ เค้าจะไปพูดกับคนอื่น ว่าตัวเองดีใส่ใจลูกใส่ใจครอบครัวตลอด ใช่ครับ โกหกทุกเรื่อง แม้กระทั่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน ถ้าเมื่อไหร่ที่คุยกับเค้า และเค้าทำท่าครุ่นคิด และเวลาตอบคำถามเราแล้วไม่มองหน้าเรา มองบน คือเค้า กำลังโกหก ..
ทุกครั้งที่ลับหลังผม เค้าจะพูดแต่สิ่งไม่ดีของผมให้คนอื่นฟัง สิ่งที่ทำให้คนอื่นคิดว่าเค้าน่าสงสาร และใช่ครับ โกหกทั้งดุ้น
ผมรับไม่ได้ครับ พูดความจริงไม่ว่า แต่โกหก ทุกๆเรื่องเค้าจะเป็นนางเอกพระเอกในบทความนั้นเสมอ
อยากให้ลูกได้ดี กับ อยากให้ลูกได้ ความหมายมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
ทุกวันนี้ผมไม่ติดต่อญาติพี่น้อง ที่ยังติดต่อคนเดียว คือย่า ย่าคือสุดที่รักของผมเพียงคนเดียว
ด้วยการใช้เงินเกินตัว ซื้อของพร่ำเพื่อ สร้างแต่หนี้ ไม่มีเงินเก็บ ตอนนี้กำลังจะโดนยึดบ้าน ..
และใช่ครับ มาบังคับผมให้ผมกับแฟน ซื้อบ้านให้เค้า แต่รับปากว่าเค้าจะผ่อนเอง 5ปีก็หมดแล้ว(จะเอาตังค์จากไหนมาผ่อนไม่พ้นผม) โกหกผมว่าเดี๋ยวจะซื้อบ้านใหม่ เพราะบ้านเดิมมันเก่า (ความจริงคือไม่ผ่อนส่งเค้ามาเป็นปีๆ)
โกหกแม้กระทั่งญาติน้องสาวพ่อ ให้มาคุยกับผม พอผมปฎิเสธ โดนเค้าด่าว่า แม้แต่หมาสักตัวก็ไม่มีใครช่วย พอผมไม่ยอม บอกยังไม่พร้อม (เพราะไปโกหกใส่ไข่ลับหลังยังไงไม่รู้เพราะหลังๆผมไม่สนใจแล้วใครจะมองยังไง) ผมตัดใจมีปัญหาภายในวันนี้ ดีกว่าไปมีปัญหาในภายภาคหน้าพร้อมกับหนี้ก้อนโต
ทุกวันนี้ออกมาอยู่คนเดียว สบายใจ โล่งใจ เหมือนหลุดพ้นจากขุมนรก แต่ก็ไม่วายโดนดูถูกมาสารพัดกว่าจะตัดสินใจเดินออกมา
ยังมีอีกหลายเรื่องมากๆ ที่ผมยอมทนเพราะเห็นว่าเป็นพ่อเป็นแม่ พูดกรอกหูแต่สิ่งโกหกให้ตัวเองดูถูกเสมอตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องนั้นเราจะใช้เหตุผลแค่ไหนก็ตาม
“ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ จงเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา “
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ ไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายใคร แค่ต้องการระบายในรูปแบบนึง
เพราะเรื่องบางเรื่อง “จะไม่มีใครเข้าใจได้ นอกจากตัวคุณเอง”
ขอบคุณครับ ..
ตอนเค้ามีเค้าไม่เคยนึกถึงผม ผมหากินดิ้นรนทำงานเองตั้งแต่เด็กๆมาตลอด ..
ตอนผมมีทำไมต้องนึกถึงเค้าด้วย ..
อาจจะดูเห็นแก่ตัว และดูอกตัญญูมากๆ สำหรับบางครอบครัว ..
แต่เป็นโชคดีของคุณแล้วครับ ที่มีครอบครัวดีๆ ..
ซึ่งยังมีอีกหลายๆท่าน ที่ไม่โชคดีแบบคุณ ..