ผี เป็นความรู้พื้นฐานของพราหมณ์ เพราะพราหมณ์ในหลายๆประเทศเชิญผีมาเป็นผีหลักเมือง และเลี้ยงผีเหล่านั้นเองกับมือ
เลี้ยงเป็นกิจวัตรและสืบต่อกันมานานหลายพันปี
หมอผี พวกไสยศาสตร์ ก็เลี้ยงผีเหมือนเราเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว และใช้งานผีกันเป็นปกติเหมือนเราใช้คอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ
ในวงการปฏิบัติธรรม ก็พบผีกันเป็นปกติ และต้องป้องกันตัวเองทุกๆวันเป็นปกติเหมือนการป้องกันยุง
แต่ในวงการการศึกษาในระบบ ผู้คนกลับมีความรู้เรื่องผีน้อยมาก และให้คะแนนกับความรู้ที่ชี้ไปในทำนองว่าผีไม่มีจริง
แต่หากวันนึงเรื่องผี กลายเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกๆคนรู้ล่ะ?
ข้อดีคือ จะทำให้ทุกๆคนรู้เท่าทันความรู้ที่ถูกปกปิด
แต่ข้อเสียก็คือ ความรู้ที่ถูกปกปิดนั้น ใช้เป็นอาวุธได้
การเปิดเผยต่อสาธารณะมันเหมือนการแจกปืนพร้อมกระสุนที่ไม่จำกัดให้กับคนทุกคน ซึ่งคนเราปกติก็ต้องป้องกันภยันตรายอยู่แล้ว ยังต้องมาพะวงเรื่องผีอีก
อะไรคือความพอดีระหว่างการปกปิดและการเปิดเผยล่ะครับ?
ข้อดี-ข้อเสียของการทำให้เรื่องผีเป็นวิทยาศาสตร์?
เลี้ยงเป็นกิจวัตรและสืบต่อกันมานานหลายพันปี
หมอผี พวกไสยศาสตร์ ก็เลี้ยงผีเหมือนเราเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว และใช้งานผีกันเป็นปกติเหมือนเราใช้คอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ
ในวงการปฏิบัติธรรม ก็พบผีกันเป็นปกติ และต้องป้องกันตัวเองทุกๆวันเป็นปกติเหมือนการป้องกันยุง
แต่ในวงการการศึกษาในระบบ ผู้คนกลับมีความรู้เรื่องผีน้อยมาก และให้คะแนนกับความรู้ที่ชี้ไปในทำนองว่าผีไม่มีจริง
แต่หากวันนึงเรื่องผี กลายเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกๆคนรู้ล่ะ?
ข้อดีคือ จะทำให้ทุกๆคนรู้เท่าทันความรู้ที่ถูกปกปิด
แต่ข้อเสียก็คือ ความรู้ที่ถูกปกปิดนั้น ใช้เป็นอาวุธได้
การเปิดเผยต่อสาธารณะมันเหมือนการแจกปืนพร้อมกระสุนที่ไม่จำกัดให้กับคนทุกคน ซึ่งคนเราปกติก็ต้องป้องกันภยันตรายอยู่แล้ว ยังต้องมาพะวงเรื่องผีอีก
อะไรคือความพอดีระหว่างการปกปิดและการเปิดเผยล่ะครับ?