สวัสดีค่ะ
อันนี้เป็นกระทู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและขอคำแนะนำจากคนที่เคยเจอประสบการณ์คล้ายกันค่ะ (เราไม่มีเจตนามาแฉครอบครัวหรือทำใครเสียหาย แต่เราแค่อยากรู้ว่าใครที่เจอแบบนี้บ้าง และเขาเหล่านั้นจัดการกันยังไงค่ะ)
ขอเกริ่นก่อนนะคะ คือเราปีนี้อายุ 25 ปีค่ะ จบจากมหาลัยได้เกือบ 2-3 ปีแล้วค่ะ มีหนี้กยศประมาณ 3แสนกว่าบาท เราเป็นลูกคนเล็กมีพี่สาวและพี่ชายทุกคนอายุห่างจากเรา10ปี + และพี่ทั้งสองมีครอบครัวหมดแล้ว ตอนนี้เราทำงานที่หนึ่งเดือนประมาณ 20,000 - 22,000 ไม่รวมโอที แต่เรายังอยู่ในช่วงทดลองงานยังไม่ผ่านโปรจึงยังไม่มีโอทีเพิ่มค่ะ มีแค่เงินเดือนอย่างเดียว อาศัยเช่าหอพักอยู่กับแฟนที่กรุงเทพเพราะทำงานในกรุงเทพทั้งคู่ค่ะ
เรื่องมันเริ่มจากก่อนเราเรียนจบได้ประมาณ 1ปี แม่พูดกับเรามาประโยคนึงที่เราจำฝังใจมากคือ "จบไปต้องให้แม่ทุกเดือนนะเพราะแม่จดไว้หมดแล้วว่าเสียไปเท่าไรบ้าง" ตอนนั้นเราไม่ได้อะไรค่ะเพราะเครียดเรื่องเรียนปีสุดท้ายกับเรื่องหางานทำ จนเราจบมาและเริ่มทำงานในจังหวัดที่บ้านก่อนเนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงโควิดเลยไม่อยากไปทำงานไกลแต่ก็เช่าหออยู่นะคะเพราะที่ทำงานไกลจากบ้านมากไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ และงานเราก็มีการอยู่เวรช่วงค่ำและดึกด้วยค่ะ ตอนเรียนเราไม่ค่อยได้กลับบ้านเพราะเรียนไกลทำให้ตลอด4ปีกลับบ้านน้อยมากพอมาทำงานก็ยังไม่ค่อยได้กลับบ้านแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ ปัญหามันมาตรงที่เราทำงานได้เงินเดือนเดือนแรกมา แม่โทรมาหาเราเลยและจะให้เราโอนเงินเดือนทั้งหมดให้แม่โดยแม่บอกว่าลูกทุกคนต้องเอาเงินเดือนก้อนแรกโอนให้แม่ก่อนนะแล้วเดี๋ยวแม่จะโอนคืนเหมือนเป็นการถือเคล็ดซึ่งเราไม่ยอมเพราะประโยคที่แม่เคยพูดไว้เรายังจำมันได้อยู่ เราเลยไม่โอนไปให้ทั้งหมดแต่โอนไปให้ 3000 เพราะเรากับแม่ตกลงเดือนละ3000ตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งแม่ก็ดูไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้มากความ เราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ ให้แม่ทุกเดือนเดือนละ 3000 ค่ากยศ หอพัก ค่ากิน ค่าของใช้ น้ำมันรถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งตอนนั้นเงินเดือนเรารวมอยู่เวรประมาณ 28000 ไม่เคยเกิน ทำให้ตอนนั้นเราไม่มีเงินเก็บเลย ใช้เดือนชนเดือนตลอด ไม่พอค่ะ ช่วงนั้นเราช่วยแม่จ่ายค่าบ้านด้วยเดือนละ 5000 เพื่อปิดยอดบ้าน เป็นแบบนี้ไปจนจบปี เราก็ปลดบ้านได้เลยไม่โอนให้แม่5000ค่าบ้านอีกให้แค่3000ค่ะ พอทำงานไปสักพักเรารู้ว่าที่เราทำอยู่มันไม่ขยับขยายเงินเดือนน้อยงานล้นมือ เราเลยตัดสินใจหางานทำในกรุงเทพค่ะ ซึ่งเราพูดเลยว่าเราคิดไม่ผิดเพราะเราอยากออกห่างจากบ้านให้มากที่สุด ไม่อยากอยู่ใกล้แม่ เพราะทุกครั้งที่มีอะไรก็ตามแม่จะถามหาแต่เงินก่อนเสมอซึ่งเราไม่ไหวแล้วค่ะ
พอย้ายที่ทำงานมากรุงเทพก็เช่าหอพักอยู่กับแฟน ซึ่งที่ทำงานใหม่เงินเดือนดีกว่ามากรวมอยู่เวรก็ตกราวๆเดือนละ 32000-35000 พอแม่รู้แกก็บอกไหนๆที่ใหม่ก็ได้เงินเยอะก็ให้แกเยอะจากเดิมสิ เราเลยตกลงที่เดือนละ 5000 บาท ทุกอย่างก็วนไปแบบนี้ค่ะ เราจ่ายให้แม่ทุกเดือนรวมถึงค่าอื่นๆของเราอีก แต่ก็พอจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นบ้างก็เก็บไปเรื่อยๆ แต่พอพี่ๆรู้ว่าเราทำงานกรุงเทพเหมือนทุกคนเข้าใจว่าการทำงานกรุงเทพเงินเดือนต้องมากแน่ๆ ทำนองนี้ค่ะ พี่ๆเลยชอบโทรมาขอเงินเราบ่อยๆแต่เราต่อรองเป็นการยืมแล้วนัดวันคืนมา ตอนแรกพี่เขาก็คืนตรงเวลา หลังๆก็ต้องทวงจนเราไม่อยากให้ยืมแล้วเพราะเงินที่ให่ยืมคือเงินเก็บเราเองและมันก็รู้สึกไม่ดีด้วยส่วนนึงที่พูดไม่เป็นคำพูดซึ่งเรื่องของพี่ก็มีแค่เท่านี้ค่ะ จนเมื่อทำงานไปสักพักแม่ก็มาขอเราเพิ่มบ่อยมากจนเราสงสัยว่าเงิน 5000 ต่อเดือนสำหรับคนที่บ้านไม่ได้เช่าน้ำเหมาจ่าย100ต่อเดือนค่าไฟเดือนละไม่เกิน500 เพราะอยู่คนเดียว มันไม่พอเลยเหรอ เราจึงถามแม่ค่ะว่า5000 ที่ให้ไปเท่ากับค่ากินหนูทั้งเดือนเลยนะ แม่กินเท่าหนูทุกเดือนทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องจ่ายเพิ่มเลยแต่ไม่พอ ทักมาขอเพิ่มเนี้ย แม่เอาไปใช้อะไร แม่เลยบอกว่าเอาไปใช้หนี้บัตรเครดิตที่รูดมาส่งเราเรียนตอนมหาลัยค่ะ เราก็เอ้า งั้นต้องจ่ายเดือนเท่าไร แม่ลองไปจัดสรรมานะ เพราะถ้าแม่ขอเยอะหนูก็ไม่มีเหมือนกัน กลายเป้น 5000 แม่ตกลงกับเราว่าจะแบ่งจ่ายค่าบัตรเครดิตเดือนละ 2500 แล้วส่วนอื่นก็มีพี่ๆช่วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ซึ่งเรามารู้ความจริงจากพี่ชายว่าค่าบัตรแครดิตแม่ผ่อนมาตั้งแต่ก่อนเราเรียนจบ ตั้งแต่เรายังเรียนมัธยมต้น เพราะตอนนั้นแม่ก็ขอเงินพี่ชายเราโดยบอกว่าเอาไปจ่ายค่าบัตรเดือนละ2500 ซึ่งิ ณ ตอนนี้ไม่มีคนรู้ว่าสรุปแล้วแม่เอาบัตรเครดิตไปใช้อะไร
จนผ่านไปเกือบปี เราก็เลยของดูบิลยอดชำระบัตรเครดิตเพราะมันต้องลดบ้างแหละ อย่างน้อย 1000ก็ยังดี ตอนแรกแม่อึกอักไม่ยอมส่งมาสักที จนเรากลับบ้านไปค้นดูเอง เราเลยรู้ว่ายอดแทบไม่ลดเลย ลดมาน่าจะไม่ถึง 3000 ด้วยซ้ำ เราเลยถามอีกว่าสรุปต้องจ่ายขั้นต่ำเท่าไรถึงไม่คิดดอกเบี้ย แม่ก็ตอบไม่ได้ ประจวบกับตอนนั้นที่เรามาอยู่กรุงเทพเราเองก็ติดต่อกับพี่สาวที่อยู่ที่บ้าน (แต่อยู่คนละบ้านกับแม่นะคะ) พี่บอกเราว่ามีครั้งนึงพี่ไปหาแม่ที่บ้านเห็นแม่นั่งเล่นวงไพ่อยู่ พอแม่เห็นพี่มา วงแตกเลย...เราพอได้ยินแบบนั้นก็เลยต้องทำการมาเช็คใบชำระค่าบัตรเครดิตทันทีไงคะและก็สรุปคือเหมือนแม่แทบไม่เคยจ่ายมันเลย ยอดมันยังเหมือนไม่ลดลงเลยด้วยซ้ำทั้งที่เกือบ1ปีเราให้แม่ไป5000ทุกเดือน ตั้งแต่นั้นเราเลยเข้มงวดมากค่ะ เวลาแม่จะมาขอเพิ่มเราก็จะถามตลอดว่าเอาไปทำอะไร จ่ายอะไร จนแม่เริ่มไม่มาขอเราเพราะเราถามมากเกินไป แต่แม่ก็ไปขอพี่ๆคนอื่นอีก แล้วเราก็โดนแม่ตัวเองเอาไปพูดเสียหายให้พี่ฟัง ที่รู้เพราะพี่ชายเราโทรมาจะด่าเราว่าเราไม่ยอมให่เงินแม่เหรอ เราเลยรู้ค่ะว่าแม่แกไปบ่นเรากับพี่ชายว่าเราน่ะ ขอเงินยาก ไม่ยอมให้ ทั้งที่ๆแกแทบจะไม่มีเงินอยู่แล้ว ถ้าแกไม่ตายก็ไม่ไปขอเราหรอก เราใจร้ายเพราะเราเรียนจบสูงสินะ เราเลยอย่างนั้นอย่างนี้ พี่เราเลยโมโหเราค่ะ เกือบทะเลาะกับพี่ไปแล้วแต่ก็อธิบายจนพี่เข้าใจ เรื่องนี้จบไปและแล้วเรื่องก็มาถึงจุดพีคทที่เราทนไม่ได้เลยต้องมาเขียนกระทู้ค่ะ
เมื่อไปนานมานี้เรามีการย้ายงานอีกครั้งจากเอกชนเงินเดือนข้างต้นมารัฐบาลที่เงินเดือนน้อยลงเหลือเดือนละ 20,000 เราเลยบอกแม่ตั้งแต่วันที่จะย้ายเลยว่าเงินเดือนเราลดลงนะ เราขอลดการให้จาก 5000 เป็น 3500 นะ ซึงตอนนั้นแกก็ตกลง ไม่ได้อิดออดอะไรนะคะ ซึ่งเราก็บอกแกไปว่าเดือนแรกเงินจะตกเบิก ซึ่งเราเข้าสิงหาเงินเลยตกเบิกเป็นสิ้นเดือนกันยาแต่สิ้นเดือนสิงหาเราก็ยังโอนให้แก3500 นะเพราะมาจากเงินเดือนที่เดิมที่เรายังเก็บไว้อยู่ พอสิ้นกันยาเราก็โอนให่แก3500เหมือนเดิมแม้เงินตกเบิกมาแล้วซึ่งเราโอนให้แม่ทุกเดือนไม่ขาดตกบ่องพร่อง ไม่เคยช้า เงินออกให้แม่ทันที ไม่เคยอิดออด บ่นหรือไม่โอนเลย เราทำมาตลอด 2-3ปี แต่ล่าสุดแม่ไลน์มาหาเราว่าแม่ขอเงินเพิ่มเพราะไปฉีดเข่ามา2เข็ม และรถยางแตก แม่ไม่มีเงิน ซึ่งมันแปลกตรงที่ก่อนหน้าที่เรากลับบ้านไป แม่บอกเราว่าค่าฉีดเข่าจะฉีดเข็มแรกก่อนแล้วรอดูอาการ 2-3เดือนค่อยฉีดใหม่แล้วรอดูอาการเรื่อยๆ แต่แม่กลับบอกเราว่าฉีดไปสองเข็มแล้ว บวกกับเราคุยกับพี่ชายก่อนหน้านี้ พี่ชายบอกแม่ว่าค่าฉีดเข่าพี่ชายจะรับผิดชอบเองทั้งหมดให้เราจ่ายให้แม่แค่ค่ากินต่อเดือนทุกเดือนพอ จะได้ไม่ซ้ำซ้อน เพราะทุกคนมีภาระจะให้จ่ายทั้งหมดทุกคนคงไม่ได้ เราก็เข้าใจ แต่กลายเป็นแม่มาขอจากเราซ้ำกับที่พี่ให้ เราเลยไลน์ไปถามว่า ค่าฉีดเข่าพี่จ่ายให้ไม่ใช่เหรอ หนูคุยกับพี่แล้ว แต่เเดี๋ยวค่าซ่อมรถหนูจ่ายให้แล้วหนูก็ถามเพิ่มหน่อยว่าสรุปค่าฉีดเข่าต้องฉีดทุกเดือนเหรอไหนตอนแรกบอกฉีดแล้วรอดูอาการ สรุปแม่ไลน์กลับมาว่า ถ้าแม่ไม่ร้องไห้ตายไม่มีตัง แม่ไม่ขอตังเราหรอก ซึ่งผิดประเด็นมาก เราเลยบอกว่าเราแค่ถามนะไม่ได้อะไรเลย เพราะเวลามีอะไรแม่ไม่เคยบอกเราเหมือนกัน ได้เงินมาจากไหน จากใครไม่บอก ถามเฉยๆก็หาว่าไปยุ่งทั้งๆที่เราก็แค่ถาม แล้วเราก็พูดไปอีกว่าเท่าที่เรารู้มาคือพี่สาวเราเอาโฉนดบ้านแม่เก็บไว้และบอกพี่ชายเราว่าจะดูแลแม่เองทั้งหมดเพราะพี่สาวให้แม่มาทำงานให้ พี่ชายเราไม่ต้องไปยุ่งนะ เราก็เลยเอาประโยคที่พี่สาวบอกไปบอกกับแม่ว่าสรุปแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่พี่สาวบอกรับผิดชอบหมดน่ะ มันสรุปยังไง แทนที่แม่จะตอบคำถาม แต่แม่กลับบอกมาว่าตอนนี้พี่สาวเราไม่คล่อง เราเลยบอกว่าแล้วถ้าไม่คล่องจะไปรับปากพี่ชายเราแบบนั้นทำไม ถ้าดูแลไม่ได้ก็บอก เพราะตอนแรกเราแบ่งๆกันมันโอเค ไม่มีปัญหาอะไรเลย จนเราสรุปสุดท้ายว่าเราจ่ายสิ้นเดือน 3500 เท่าเดิม ค่ารถพังค่อยจ่ายให้กลางเดือนธันวา ซึ่งเราคิดว่าเรื่องนี้มันจบไปแล้วจนเมื่อวานพี่ชายโทรหาเราว่าแม่โทรไปด่าพี่ว่าพี่ชายเราให้ท้ายเรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ก็คือแม่ไม่อยากให้เรารู้อะไรเลยว่าพี่คนไหนให้เงินแม่ค่านี้แล้วบ้าง เพราะแม่จะได้มาขอเราได้อีกจากค่าเดิมนั้น เพราะถ้าเรารู้เราก็จะไม่ให้ซ้ำ
บอกเราทุกเรื่องทำไม แม่จะดัดนิสัยเรา เราน่ะเวลาแม่ขออะไรได้ยากเย็นถามมากไม่เหมือนพี่สาว ขอแล้วได้เลยทันที เราเปลี่ยนไป พอโตขึ้นเรียนจบสูงเลยเป้นคนเยอะแบบนี้แม้แต่กับแม่ (แต่พ่อเรากลับชมเราว่าเราโตขึ้นมา เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย) พี่ชายเราไม่ต้องไปยุ่งเลย ทำนองนี้ และพูดอีกว่าเราได้เงินตกเบิกมาตั้ง4-5หมื่นเอาไปเที่ยวเชียงใหม่หมดแล้วนู้นแทนที่จะเอามาขึ้นเงินให้แม่ อันนี้คือยิ่งผิดไปหมด เงินตกเบิกเราแค่หมื่นเดียวเพราะเราเข้าทำงานกลางสิงหา?? เราเลยงงว่าการที่เราไปเที่ยวคือไม่ได้เหรอเพราะแกไม่ได้เงินเพิ่มเพราะเราเอาเงินไปเที่ยว ทั้งๆที่เวลาแม่เที่ยว แม่เราไม่เคยโทรหาเราเลย ทั้งที่ๆปกติจะทักมาหาทุก2-3วัน แต่ถ้าแม่ไปเที่ยวเราจะกลายเป้นคนไม่มีตัวตนทันที ประเด็นที่เราไม่โอเคกว่านั้นคือค่าฉีดเข่าที่พีชายเราเคยให้ไปก่อนหน้านั้น แม่ก็ไปขอมาจากพี่สาวด้วยเหมือนกัน ซึ่งพี่สาวก็โอนให้แม่เหมือนกันและแม่ก็มาขอเราอีก แต่เราดันไม่ให้เพิ่มเหมือนคนอื่น และมันไม่ใช่ครั้งแรก แม่ทำแบบนี้เสมอ ขอค่าเดิมจากลูกทั้งสามคน อ้างว่าไม่มีเงิน ซึ่งเราจะไม่อะไรเลยแต่พวกเราเองก็ไม่มีเงินเหมือนกัน เพราะทุกคนมีภาระ เรามีภาระหนี้กยศ พี่สาวและพี่ชายมีภาระครอบครัว แต่พวกเราฏ้ไม่เคยทอดทิ้งแม่ ไปหา ให้เงินตลอด แบ่งกันจ้ายค่านั่นนี้ตลอดแต่แม่ก็ยังจะบอกว่าไม่มีเงินอยู่อีก ทั้งที่ตัวเองมีเงินจากเรา 3500 อสม เบี้ยคนชรา พี่สาวเรา พี่ชายเรา และค่าที่เวลาไปรับจ้างขายของ เราเลยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แม่จะพอใจที่ตัวเองมีสักที เพราะเคยมีครั้งที่แม่พูดกับเราว่า ดูลูกบ้านนู้นเขาให้แม่เดือนละหมื่น แล้วเพิ่งพาแม่เขาไปญี่ปุ่นมา งั้นงี้ ซี่งการพูดแบบนี้เหมือนแม่เอาตัวเองไปเทียบกับครอบครัวอื่นที่เขาพร้อมกว่าเราอะ ที่เขาทำได้เพราะลูกเขาจบมาไม่มีหนี้ มีบ้าน มีรถพร้อมเพราะพ่อแม่ดาวน์ให้ มีเงินขวัญถุงจบการศึกษาเป็นแสน เราเทียบไม่ได้เลย แต่แม่คือคิดอยากให้เรากับพี่ๆทำแบบนั้นบ้าง อยากเป็นเหมือนคนอื่นบ้าง แต่ไม่ได้ห่วงเลยว่าถ้าทำแบบนั้นลูกแม่จะมีแบบเขาไหม จะมีสักวันไหมที่มีบ้าน รถของตัวเองอะ
นี่คือเรื่องเราคร่าวๆทั้งหมดค่ะ จริงๆมีรายละเอียดยิบย่อยกว่านี้เยอะมาก จนเราปวดหัว จนเราไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปเจอหน้าแม่ เพราะพอเจอ แม่จะชอบบ่นเรื่องเงินตลอด เช่น เมื่อวานแม่ไปทำบุญมานะ เสียเงินไปตั้งเท่านี้ นี่แม่เพิ่งสั่งของไปนะราคาเท่านี้น่ะแม่ไม่มีเงินละ เป็นต้นค่ะ เราเลยตัดสินใจจะอยู่กรุงเทพยาวๆค่ะ เพื่อหนีปัญหาก็ว่าได้
เราเลยอยากสอบถามคนที่ประสบพบเจอแบบเรา คุณจัดการกับแม่แบบนี้ยังไงคะ คุณทำยังไงให้คุณมีชีวิตของตัวเอง มีเงินของตัวเองเพื่ออนาคตของตัวเองบ้างคะ โดยที่มีความสุขและไม่มีเรื่องแม่มาทำให้คุณท้อแท้คะ
ปล. ขอบคุณทุกคนล่วงหน้าหากเข้ามาแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน และให้คำแนะนำเรานะคะ
ปล2. พ่อกับแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เรามอต้นค่ะ แต่พ่อไม่เคยมาวุ่นวายเงินเราเลย และพ่อเข้าใจเรามาก เพราะเราปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อเสมอ
ปล3. แสดงความคิดเห็นให้เกียรติทุกคนด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
แม่ไม่ใช่ Safe Zone ของทุกคนรวมถึงเราด้วยสินะ
อันนี้เป็นกระทู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและขอคำแนะนำจากคนที่เคยเจอประสบการณ์คล้ายกันค่ะ (เราไม่มีเจตนามาแฉครอบครัวหรือทำใครเสียหาย แต่เราแค่อยากรู้ว่าใครที่เจอแบบนี้บ้าง และเขาเหล่านั้นจัดการกันยังไงค่ะ)
ขอเกริ่นก่อนนะคะ คือเราปีนี้อายุ 25 ปีค่ะ จบจากมหาลัยได้เกือบ 2-3 ปีแล้วค่ะ มีหนี้กยศประมาณ 3แสนกว่าบาท เราเป็นลูกคนเล็กมีพี่สาวและพี่ชายทุกคนอายุห่างจากเรา10ปี + และพี่ทั้งสองมีครอบครัวหมดแล้ว ตอนนี้เราทำงานที่หนึ่งเดือนประมาณ 20,000 - 22,000 ไม่รวมโอที แต่เรายังอยู่ในช่วงทดลองงานยังไม่ผ่านโปรจึงยังไม่มีโอทีเพิ่มค่ะ มีแค่เงินเดือนอย่างเดียว อาศัยเช่าหอพักอยู่กับแฟนที่กรุงเทพเพราะทำงานในกรุงเทพทั้งคู่ค่ะ
เรื่องมันเริ่มจากก่อนเราเรียนจบได้ประมาณ 1ปี แม่พูดกับเรามาประโยคนึงที่เราจำฝังใจมากคือ "จบไปต้องให้แม่ทุกเดือนนะเพราะแม่จดไว้หมดแล้วว่าเสียไปเท่าไรบ้าง" ตอนนั้นเราไม่ได้อะไรค่ะเพราะเครียดเรื่องเรียนปีสุดท้ายกับเรื่องหางานทำ จนเราจบมาและเริ่มทำงานในจังหวัดที่บ้านก่อนเนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงโควิดเลยไม่อยากไปทำงานไกลแต่ก็เช่าหออยู่นะคะเพราะที่ทำงานไกลจากบ้านมากไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ และงานเราก็มีการอยู่เวรช่วงค่ำและดึกด้วยค่ะ ตอนเรียนเราไม่ค่อยได้กลับบ้านเพราะเรียนไกลทำให้ตลอด4ปีกลับบ้านน้อยมากพอมาทำงานก็ยังไม่ค่อยได้กลับบ้านแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ ปัญหามันมาตรงที่เราทำงานได้เงินเดือนเดือนแรกมา แม่โทรมาหาเราเลยและจะให้เราโอนเงินเดือนทั้งหมดให้แม่โดยแม่บอกว่าลูกทุกคนต้องเอาเงินเดือนก้อนแรกโอนให้แม่ก่อนนะแล้วเดี๋ยวแม่จะโอนคืนเหมือนเป็นการถือเคล็ดซึ่งเราไม่ยอมเพราะประโยคที่แม่เคยพูดไว้เรายังจำมันได้อยู่ เราเลยไม่โอนไปให้ทั้งหมดแต่โอนไปให้ 3000 เพราะเรากับแม่ตกลงเดือนละ3000ตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งแม่ก็ดูไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้มากความ เราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ ให้แม่ทุกเดือนเดือนละ 3000 ค่ากยศ หอพัก ค่ากิน ค่าของใช้ น้ำมันรถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งตอนนั้นเงินเดือนเรารวมอยู่เวรประมาณ 28000 ไม่เคยเกิน ทำให้ตอนนั้นเราไม่มีเงินเก็บเลย ใช้เดือนชนเดือนตลอด ไม่พอค่ะ ช่วงนั้นเราช่วยแม่จ่ายค่าบ้านด้วยเดือนละ 5000 เพื่อปิดยอดบ้าน เป็นแบบนี้ไปจนจบปี เราก็ปลดบ้านได้เลยไม่โอนให้แม่5000ค่าบ้านอีกให้แค่3000ค่ะ พอทำงานไปสักพักเรารู้ว่าที่เราทำอยู่มันไม่ขยับขยายเงินเดือนน้อยงานล้นมือ เราเลยตัดสินใจหางานทำในกรุงเทพค่ะ ซึ่งเราพูดเลยว่าเราคิดไม่ผิดเพราะเราอยากออกห่างจากบ้านให้มากที่สุด ไม่อยากอยู่ใกล้แม่ เพราะทุกครั้งที่มีอะไรก็ตามแม่จะถามหาแต่เงินก่อนเสมอซึ่งเราไม่ไหวแล้วค่ะ
พอย้ายที่ทำงานมากรุงเทพก็เช่าหอพักอยู่กับแฟน ซึ่งที่ทำงานใหม่เงินเดือนดีกว่ามากรวมอยู่เวรก็ตกราวๆเดือนละ 32000-35000 พอแม่รู้แกก็บอกไหนๆที่ใหม่ก็ได้เงินเยอะก็ให้แกเยอะจากเดิมสิ เราเลยตกลงที่เดือนละ 5000 บาท ทุกอย่างก็วนไปแบบนี้ค่ะ เราจ่ายให้แม่ทุกเดือนรวมถึงค่าอื่นๆของเราอีก แต่ก็พอจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นบ้างก็เก็บไปเรื่อยๆ แต่พอพี่ๆรู้ว่าเราทำงานกรุงเทพเหมือนทุกคนเข้าใจว่าการทำงานกรุงเทพเงินเดือนต้องมากแน่ๆ ทำนองนี้ค่ะ พี่ๆเลยชอบโทรมาขอเงินเราบ่อยๆแต่เราต่อรองเป็นการยืมแล้วนัดวันคืนมา ตอนแรกพี่เขาก็คืนตรงเวลา หลังๆก็ต้องทวงจนเราไม่อยากให้ยืมแล้วเพราะเงินที่ให่ยืมคือเงินเก็บเราเองและมันก็รู้สึกไม่ดีด้วยส่วนนึงที่พูดไม่เป็นคำพูดซึ่งเรื่องของพี่ก็มีแค่เท่านี้ค่ะ จนเมื่อทำงานไปสักพักแม่ก็มาขอเราเพิ่มบ่อยมากจนเราสงสัยว่าเงิน 5000 ต่อเดือนสำหรับคนที่บ้านไม่ได้เช่าน้ำเหมาจ่าย100ต่อเดือนค่าไฟเดือนละไม่เกิน500 เพราะอยู่คนเดียว มันไม่พอเลยเหรอ เราจึงถามแม่ค่ะว่า5000 ที่ให้ไปเท่ากับค่ากินหนูทั้งเดือนเลยนะ แม่กินเท่าหนูทุกเดือนทั้งๆที่ไม่มีอะไรต้องจ่ายเพิ่มเลยแต่ไม่พอ ทักมาขอเพิ่มเนี้ย แม่เอาไปใช้อะไร แม่เลยบอกว่าเอาไปใช้หนี้บัตรเครดิตที่รูดมาส่งเราเรียนตอนมหาลัยค่ะ เราก็เอ้า งั้นต้องจ่ายเดือนเท่าไร แม่ลองไปจัดสรรมานะ เพราะถ้าแม่ขอเยอะหนูก็ไม่มีเหมือนกัน กลายเป้น 5000 แม่ตกลงกับเราว่าจะแบ่งจ่ายค่าบัตรเครดิตเดือนละ 2500 แล้วส่วนอื่นก็มีพี่ๆช่วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จนผ่านไปเกือบปี เราก็เลยของดูบิลยอดชำระบัตรเครดิตเพราะมันต้องลดบ้างแหละ อย่างน้อย 1000ก็ยังดี ตอนแรกแม่อึกอักไม่ยอมส่งมาสักที จนเรากลับบ้านไปค้นดูเอง เราเลยรู้ว่ายอดแทบไม่ลดเลย ลดมาน่าจะไม่ถึง 3000 ด้วยซ้ำ เราเลยถามอีกว่าสรุปต้องจ่ายขั้นต่ำเท่าไรถึงไม่คิดดอกเบี้ย แม่ก็ตอบไม่ได้ ประจวบกับตอนนั้นที่เรามาอยู่กรุงเทพเราเองก็ติดต่อกับพี่สาวที่อยู่ที่บ้าน (แต่อยู่คนละบ้านกับแม่นะคะ) พี่บอกเราว่ามีครั้งนึงพี่ไปหาแม่ที่บ้านเห็นแม่นั่งเล่นวงไพ่อยู่ พอแม่เห็นพี่มา วงแตกเลย...เราพอได้ยินแบบนั้นก็เลยต้องทำการมาเช็คใบชำระค่าบัตรเครดิตทันทีไงคะและก็สรุปคือเหมือนแม่แทบไม่เคยจ่ายมันเลย ยอดมันยังเหมือนไม่ลดลงเลยด้วยซ้ำทั้งที่เกือบ1ปีเราให้แม่ไป5000ทุกเดือน ตั้งแต่นั้นเราเลยเข้มงวดมากค่ะ เวลาแม่จะมาขอเพิ่มเราก็จะถามตลอดว่าเอาไปทำอะไร จ่ายอะไร จนแม่เริ่มไม่มาขอเราเพราะเราถามมากเกินไป แต่แม่ก็ไปขอพี่ๆคนอื่นอีก แล้วเราก็โดนแม่ตัวเองเอาไปพูดเสียหายให้พี่ฟัง ที่รู้เพราะพี่ชายเราโทรมาจะด่าเราว่าเราไม่ยอมให่เงินแม่เหรอ เราเลยรู้ค่ะว่าแม่แกไปบ่นเรากับพี่ชายว่าเราน่ะ ขอเงินยาก ไม่ยอมให้ ทั้งที่ๆแกแทบจะไม่มีเงินอยู่แล้ว ถ้าแกไม่ตายก็ไม่ไปขอเราหรอก เราใจร้ายเพราะเราเรียนจบสูงสินะ เราเลยอย่างนั้นอย่างนี้ พี่เราเลยโมโหเราค่ะ เกือบทะเลาะกับพี่ไปแล้วแต่ก็อธิบายจนพี่เข้าใจ เรื่องนี้จบไปและแล้วเรื่องก็มาถึงจุดพีคทที่เราทนไม่ได้เลยต้องมาเขียนกระทู้ค่ะ
เมื่อไปนานมานี้เรามีการย้ายงานอีกครั้งจากเอกชนเงินเดือนข้างต้นมารัฐบาลที่เงินเดือนน้อยลงเหลือเดือนละ 20,000 เราเลยบอกแม่ตั้งแต่วันที่จะย้ายเลยว่าเงินเดือนเราลดลงนะ เราขอลดการให้จาก 5000 เป็น 3500 นะ ซึงตอนนั้นแกก็ตกลง ไม่ได้อิดออดอะไรนะคะ ซึ่งเราก็บอกแกไปว่าเดือนแรกเงินจะตกเบิก ซึ่งเราเข้าสิงหาเงินเลยตกเบิกเป็นสิ้นเดือนกันยาแต่สิ้นเดือนสิงหาเราก็ยังโอนให้แก3500 นะเพราะมาจากเงินเดือนที่เดิมที่เรายังเก็บไว้อยู่ พอสิ้นกันยาเราก็โอนให่แก3500เหมือนเดิมแม้เงินตกเบิกมาแล้วซึ่งเราโอนให้แม่ทุกเดือนไม่ขาดตกบ่องพร่อง ไม่เคยช้า เงินออกให้แม่ทันที ไม่เคยอิดออด บ่นหรือไม่โอนเลย เราทำมาตลอด 2-3ปี แต่ล่าสุดแม่ไลน์มาหาเราว่าแม่ขอเงินเพิ่มเพราะไปฉีดเข่ามา2เข็ม และรถยางแตก แม่ไม่มีเงิน ซึ่งมันแปลกตรงที่ก่อนหน้าที่เรากลับบ้านไป แม่บอกเราว่าค่าฉีดเข่าจะฉีดเข็มแรกก่อนแล้วรอดูอาการ 2-3เดือนค่อยฉีดใหม่แล้วรอดูอาการเรื่อยๆ แต่แม่กลับบอกเราว่าฉีดไปสองเข็มแล้ว บวกกับเราคุยกับพี่ชายก่อนหน้านี้ พี่ชายบอกแม่ว่าค่าฉีดเข่าพี่ชายจะรับผิดชอบเองทั้งหมดให้เราจ่ายให้แม่แค่ค่ากินต่อเดือนทุกเดือนพอ จะได้ไม่ซ้ำซ้อน เพราะทุกคนมีภาระจะให้จ่ายทั้งหมดทุกคนคงไม่ได้ เราก็เข้าใจ แต่กลายเป็นแม่มาขอจากเราซ้ำกับที่พี่ให้ เราเลยไลน์ไปถามว่า ค่าฉีดเข่าพี่จ่ายให้ไม่ใช่เหรอ หนูคุยกับพี่แล้ว แต่เเดี๋ยวค่าซ่อมรถหนูจ่ายให้แล้วหนูก็ถามเพิ่มหน่อยว่าสรุปค่าฉีดเข่าต้องฉีดทุกเดือนเหรอไหนตอนแรกบอกฉีดแล้วรอดูอาการ สรุปแม่ไลน์กลับมาว่า ถ้าแม่ไม่ร้องไห้ตายไม่มีตัง แม่ไม่ขอตังเราหรอก ซึ่งผิดประเด็นมาก เราเลยบอกว่าเราแค่ถามนะไม่ได้อะไรเลย เพราะเวลามีอะไรแม่ไม่เคยบอกเราเหมือนกัน ได้เงินมาจากไหน จากใครไม่บอก ถามเฉยๆก็หาว่าไปยุ่งทั้งๆที่เราก็แค่ถาม แล้วเราก็พูดไปอีกว่าเท่าที่เรารู้มาคือพี่สาวเราเอาโฉนดบ้านแม่เก็บไว้และบอกพี่ชายเราว่าจะดูแลแม่เองทั้งหมดเพราะพี่สาวให้แม่มาทำงานให้ พี่ชายเราไม่ต้องไปยุ่งนะ เราก็เลยเอาประโยคที่พี่สาวบอกไปบอกกับแม่ว่าสรุปแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่พี่สาวบอกรับผิดชอบหมดน่ะ มันสรุปยังไง แทนที่แม่จะตอบคำถาม แต่แม่กลับบอกมาว่าตอนนี้พี่สาวเราไม่คล่อง เราเลยบอกว่าแล้วถ้าไม่คล่องจะไปรับปากพี่ชายเราแบบนั้นทำไม ถ้าดูแลไม่ได้ก็บอก เพราะตอนแรกเราแบ่งๆกันมันโอเค ไม่มีปัญหาอะไรเลย จนเราสรุปสุดท้ายว่าเราจ่ายสิ้นเดือน 3500 เท่าเดิม ค่ารถพังค่อยจ่ายให้กลางเดือนธันวา ซึ่งเราคิดว่าเรื่องนี้มันจบไปแล้วจนเมื่อวานพี่ชายโทรหาเราว่าแม่โทรไปด่าพี่ว่าพี่ชายเราให้ท้ายเรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บอกเราทุกเรื่องทำไม แม่จะดัดนิสัยเรา เราน่ะเวลาแม่ขออะไรได้ยากเย็นถามมากไม่เหมือนพี่สาว ขอแล้วได้เลยทันที เราเปลี่ยนไป พอโตขึ้นเรียนจบสูงเลยเป้นคนเยอะแบบนี้แม้แต่กับแม่ (แต่พ่อเรากลับชมเราว่าเราโตขึ้นมา เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย) พี่ชายเราไม่ต้องไปยุ่งเลย ทำนองนี้ และพูดอีกว่าเราได้เงินตกเบิกมาตั้ง4-5หมื่นเอาไปเที่ยวเชียงใหม่หมดแล้วนู้นแทนที่จะเอามาขึ้นเงินให้แม่ อันนี้คือยิ่งผิดไปหมด เงินตกเบิกเราแค่หมื่นเดียวเพราะเราเข้าทำงานกลางสิงหา?? เราเลยงงว่าการที่เราไปเที่ยวคือไม่ได้เหรอเพราะแกไม่ได้เงินเพิ่มเพราะเราเอาเงินไปเที่ยว ทั้งๆที่เวลาแม่เที่ยว แม่เราไม่เคยโทรหาเราเลย ทั้งที่ๆปกติจะทักมาหาทุก2-3วัน แต่ถ้าแม่ไปเที่ยวเราจะกลายเป้นคนไม่มีตัวตนทันที ประเด็นที่เราไม่โอเคกว่านั้นคือค่าฉีดเข่าที่พีชายเราเคยให้ไปก่อนหน้านั้น แม่ก็ไปขอมาจากพี่สาวด้วยเหมือนกัน ซึ่งพี่สาวก็โอนให้แม่เหมือนกันและแม่ก็มาขอเราอีก แต่เราดันไม่ให้เพิ่มเหมือนคนอื่น และมันไม่ใช่ครั้งแรก แม่ทำแบบนี้เสมอ ขอค่าเดิมจากลูกทั้งสามคน อ้างว่าไม่มีเงิน ซึ่งเราจะไม่อะไรเลยแต่พวกเราเองก็ไม่มีเงินเหมือนกัน เพราะทุกคนมีภาระ เรามีภาระหนี้กยศ พี่สาวและพี่ชายมีภาระครอบครัว แต่พวกเราฏ้ไม่เคยทอดทิ้งแม่ ไปหา ให้เงินตลอด แบ่งกันจ้ายค่านั่นนี้ตลอดแต่แม่ก็ยังจะบอกว่าไม่มีเงินอยู่อีก ทั้งที่ตัวเองมีเงินจากเรา 3500 อสม เบี้ยคนชรา พี่สาวเรา พี่ชายเรา และค่าที่เวลาไปรับจ้างขายของ เราเลยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แม่จะพอใจที่ตัวเองมีสักที เพราะเคยมีครั้งที่แม่พูดกับเราว่า ดูลูกบ้านนู้นเขาให้แม่เดือนละหมื่น แล้วเพิ่งพาแม่เขาไปญี่ปุ่นมา งั้นงี้ ซี่งการพูดแบบนี้เหมือนแม่เอาตัวเองไปเทียบกับครอบครัวอื่นที่เขาพร้อมกว่าเราอะ ที่เขาทำได้เพราะลูกเขาจบมาไม่มีหนี้ มีบ้าน มีรถพร้อมเพราะพ่อแม่ดาวน์ให้ มีเงินขวัญถุงจบการศึกษาเป็นแสน เราเทียบไม่ได้เลย แต่แม่คือคิดอยากให้เรากับพี่ๆทำแบบนั้นบ้าง อยากเป็นเหมือนคนอื่นบ้าง แต่ไม่ได้ห่วงเลยว่าถ้าทำแบบนั้นลูกแม่จะมีแบบเขาไหม จะมีสักวันไหมที่มีบ้าน รถของตัวเองอะ
นี่คือเรื่องเราคร่าวๆทั้งหมดค่ะ จริงๆมีรายละเอียดยิบย่อยกว่านี้เยอะมาก จนเราปวดหัว จนเราไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปเจอหน้าแม่ เพราะพอเจอ แม่จะชอบบ่นเรื่องเงินตลอด เช่น เมื่อวานแม่ไปทำบุญมานะ เสียเงินไปตั้งเท่านี้ นี่แม่เพิ่งสั่งของไปนะราคาเท่านี้น่ะแม่ไม่มีเงินละ เป็นต้นค่ะ เราเลยตัดสินใจจะอยู่กรุงเทพยาวๆค่ะ เพื่อหนีปัญหาก็ว่าได้
เราเลยอยากสอบถามคนที่ประสบพบเจอแบบเรา คุณจัดการกับแม่แบบนี้ยังไงคะ คุณทำยังไงให้คุณมีชีวิตของตัวเอง มีเงินของตัวเองเพื่ออนาคตของตัวเองบ้างคะ โดยที่มีความสุขและไม่มีเรื่องแม่มาทำให้คุณท้อแท้คะ
ปล. ขอบคุณทุกคนล่วงหน้าหากเข้ามาแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน และให้คำแนะนำเรานะคะ
ปล2. พ่อกับแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เรามอต้นค่ะ แต่พ่อไม่เคยมาวุ่นวายเงินเราเลย และพ่อเข้าใจเรามาก เพราะเราปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อเสมอ
ปล3. แสดงความคิดเห็นให้เกียรติทุกคนด้วยนะคะ