นาย สรัสวดี ผู้กำกับพรหมลิขิต ฝีมือต่างจาก ใหม่ภวัต ผู้กำกับบุพเพสันนิวาส ฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

1. คุมโทนภาพรวมของละครไม่ได้ ตอนนี้สะเปะสะปะมาก ธีมละครมันไม่ใช่แค่นวยนาด แต่นี้มันจมอยู่กลางอ่างเลยคุณ หลายEPแล้ว
2. ซีนต่อซีนดูแปลก ดูโดด 
3. ผู้กำกับคือคอนดักเตอร์ กำหนดได้ว่าควรขยายสิ่งใดเพื่อเสริมอรรถรส ควรลดทอนสิ่งใดเพื่อคุมการดำเนินเรื่องให้อยู่ในร่องในรอยได้ แต่ทุกอย่างที่ทำกลับตาลปัตรไปหมด
4. มีต้นทุนที่ดีขนาดนี้แล้ว ทั้งทุนคนดู นักแสดงที่ดี บทประพันธ์ที่ดี แต่กลับทำออกมาได้น่าเบื่อหน่ายแบบไม่ควรให้อภัย
5. แม้แต่งานกำกับการแสดง ก็ยังหลุด หลายซีนปล่อยอิมโพรไวส์เองโดยไม่กำหนดขอบเขตว่าซีนดังกล่าวต้องการสื่อสารสิ่งใดให้คนดู ทำให้มีหลายฉากมากที่ว่างเปล่าบวกกับบทพูดบทละครที่หลุดอย่างเหลือเชื่อของอ.ศัลยา ที่เขียนบทได้ออกทะเลที่สุดตั้งแต่เห็นงานศัลยามา

ถึงตอนนี้ละครจะดัง เป็นกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ติดลมบนไปแล้วก็เถอะ แต่ขอตำหนิ และขอให้ปรับปรุงในงานต่อๆไป ในขณะที่ในส่วนของพรหมลิขิตนี่ ก็ยังคงดูต่อแหละ ชอบนวัตกรรมกับเมนูของพุดตานอึ่งเพิ่มและตอนที่พวกเค้าอยู่ด้วยกันมันสนุกๆดี
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ในที่สุดเหยื่อละครเรื่องนี้ก็มาลงที่ผู้กำกับที่มาแทนจนได้

คุณนายมีหน้าที่และแรงกดดันในงานชิ้นนี้ตั้งแต่ต้น

สิ่งที่เขาเลือกจะทำเรื่องนี้การกำกับที่ไม่รู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบไหนถึงจะดีพอ
เลยทำออกมาให้สุดทุกทาง จนมีอารมณ์มันตีกันแบบที่เห็น

ต้องทำให้มันตลก เพราะกลัวจะไม่ตลก เพราะบุพเพมันเป็นละครตลก
พุดตานเลยต้องตลกไปตามการะเกดกันไป
ต้องทำฉากประวัติศาสตร์ที่เข้มข้น จนบางครั้งก็เกิดความตึงเครียดขั้นสุด
กลิ่นต้องร้ายเพื่อมาทัดเทียมพุดตาน ก็ทำให้กลิ่นต้องดูเลวร้ายที่สุด
ฉากรักต้องมีมากตามความต้องการของคุณหน่อง ทั้งคู่ลูกคู่พ่อต้องมีให้หมด
เอากันให้ฉ่ำหวานหยาดเยิ้ม แบบไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็ต้องฟินได้
อาหารก็ห้ามขาด เดี่ยวเขาจะหาว่าไม่เป็นละครภาคต่อ ก็สรรหาคิดจะเอาอะไรเข้ามาในเรื่อง
มันก็เหนื่อยแทนเขานะที่ต้องมารับผิดชอบแบบที่ตัวเองไม่รู้แบบไหนที่พวกคุณพอใจ
ถ้าทำแบบที่เขารู้สึกพอแล้ว มันอาจจะไม่พอสำหรับคนดูก็ได้

เรียกว่าถ้าเป็นละครที่คุณนายเคยกำกับ ก็คงไม่เห็นอะไรแบบนี้
มันเลยเกินเรื่อง เกินอารมณ์กันไปหมด เพราะไม่รู้ว่าแบบไหนที่จะพอใจ
ก็จัดเต็มจนทุกอารมณ์มันชนเละกันไปหมดในเรื่องตอนนี้

สุดท้าย จะวิจารณ์การทำงานของผู้กำกับที่เขาทำละครไม่ถูกใจก็ทำไป

แต่จะบอกว่าเขาไร้ฝีมือ ไร้ความสามารถ อันนี้มันคือการด้อยค่าคนทำงาน
ความคิดเห็นที่ 12
ทำไมไม่โทษบทล่ะ
ผู้กำกับอาจมีส่วน แต่บทมาอย่างนี้ จะให้เล่ายังไง

ตอนพรหมลิขิต ตอน1-2 ที่ขยายความเป็นบุพเพ
มีแต่คนชอบ คนชม ได้บรรยากาศบุพเพแบบเดิมๆ
หรือเล่าพาร์ทประวัติศาสตร์
ช่วงปลอมตัวนอกวังมาเจอพุดตาน จนถึงจอร์จตาย ก็สนุกมาก
ทั้งๆที่คนกำกับคนละคน
ความคิดเห็นที่ 17
เรามองว่า พรหมลิขิต ด้อยกว่าบุพเพสันนิวาสตั้งแต่นิยายแล้ว วัตถุดิบในนิยายมันน้อยจนเราคิดว่ามันยากที่จะเอามาทำละครแล้วสนุกอะค่ะ พาร์ทประวัติศาสตร์น้อย เรื่องความรักพระนางก็ไม่มีพัฒนาการอะไรมาก
ความคิดเห็นที่ 16
อยากฝากไปถึงเจ๊หน่องผู้จัดว่า 9 ตอนที่เหลือช่วยเฉลยปมทุกอย่างทีค่ะ หยุดขายคู่จิ้นก่อน 17 ตอนแล้ว มันเยอะไปค่ะ
ความคิดเห็นที่ 13
ผมกลับมองว่าบทละครคือหัวใจสำคัญที่สุด มันคือไบเบิลคือwordind คือคัมภีร์ที่ผู้กำกับเอามาเปิดแล้วไล่ไปทีละตัวอักษรตามผู้เขียนบทเลย ผมคิดว่าlogicของศัลยาซังมันค่อนข้างoutไปแล้วสำหรับยุคนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่