บันทึกถึงแมวที่รัก ที่จากไป

กระทู้สนทนา
บันทึกเรื่องราวนี้ไว้เพื่อระลึกถึงทองเหลือง แมวที่รักมากที่สุด

20.11.66 วันนี้เป็นวันที่ทองเหลืองจากไป ด้วยโรคไตวายเรื้อรัง (เสียใจมาก คิดถึงมาก อยู่ด้วยกันมา 13 ปี)

ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2554 ทองเหลืองได้มาอยู่กับแม่ อายุน่าจะไม่เกิน 1 เดือนในเวลานั้น โดยมีแม่แมวทองขอดคาบลูกมาให้ถึงหน้าประตูบ้าน (คาบมาทั้งหมด 3 ตัว)  ทองเหลืองเป็นแมวที่ตัวโตกว่าพี่น้องในครอกเดียวกัน ตอนแรกที่แม่ได้เห็นทองเหลืองก็ยังไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรไปมากกว่าพี่น้องแมวตัวอื่นๆ เพียงคิดว่าแมวตัวนี้หัวโตจัง รูปร่างดูล่ำสันบึกบึน ทองเหลืองเป็นแมวที่ดูซื่อๆ บื้อๆ แม้จะเอามาอุ้มมาฟัดก็จะนิ่งเฉย ไม่ขัดขืน ยอมให้ทำทุกอย่าง ไม่ส่งเสียงร้องเงี้ยวง้าวแบบตัวอื่นๆ ที่พอเอามาอุ้มก็จะดิ้นขัดขืนส่งเสียงร้อง บางครั้งแค่เอาทองเหลืองมาอุ้มและลูบเบาๆ ทองเหลืองก็หลับคามือ  เมื่อทองเหลืองโตขึ้น ทองเหลืองมีนิสัยที่เชื่องและดูเชื่อฟังแม่มากกว่าใคร แม่จำได้ว่าครั้งนึงทองขอดพาลูกๆ ออกไปวิ่งเล่นด้านนอก ซึ่งต้องรอดช่องว่างด้านล่างประตู ทุกตัววิ่งรอดตามทองขอดไป แม่ส่งเสียงเรียกลูกแมว ไม่อยากให้ออกไป เป็นทองเหลืองที่ชะงักและหยุดไม่วิ่งตามฝูงไปต่อ แม่รู้สึกว่าทองเหลืองเชื่องดีจังเลยและเชื่อฟังเสียงเรียกของแม่ จนทองเหลืองโตเป็นหนุ่ม แม่ก็พาลูกไปทำหมัน แม่จำได้ว่าขากลับพานั่งรถตุ๊กๆ ทองเหลืองกลัวจนฉี่แตก ที่บ้านเช่าแห่งนั้น  มีแมวเกเรที่ชอบมากัดทองเหลือง แม่ต้องคอยไล่และคอยขังไม่ให้ทองเหลืองอยู่ด้านนอกถ้าไม่มีคนเฝ้า ช่วงนึงแม่ขังทองเหลืองไว้ในกรงในเวลากลางคืนเพื่อความปลอดภัย แม่จำได้ว่าทองเหลืองแหกกรงออกมา และปีนมาหาแม่ที่ขอบหน้าต่างห้องแม่ ทำให้แม่รู้สึกว่าทองเหลืองรักแม่มาก หนีออกจากกรงได้กลับไม่ไปไหน แค่อยากมาหาแม่ในห้อง

จนกระทั่งเราย้ายบ้านมาที่บ้านเช่าหลังที่ 2 น่าจะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี ไม่มากไปกว่านั้น ช่วงนั้นแม่ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ารักทองเหลืองพิเศษไปกว่าตัวอื่นๆ อาจเป็นเพราะแม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันกับลูกๆ ความรู้สึกคือรักทุกตัวพอๆ กัน และเป็นช่วงที่แม่อยู่ในห้องส่วนตัวกับทองลายและปิดประตูห้องไว้ จึงไม่ค่อยได้ใช้เวลากับตัวอื่นๆ  (ต้องแยกทองลายออกจากตัวอื่นๆ เพราะจะถูกกัด)

จนกระทั่งต่อมาก็ต้องย้ายมาที่บ้านเช่าหลังที่ 3 แม่จำได้ว่าทุกเย็นทองเหลืองกับทองรวยจะต้องคอยแอบมองแม่ที่ประตูเหล็กดัดที่มีมุ้งลวด มองดูว่าแม่กลับมาบ้านหรือยัง ช่วงนั้นเราน่าจะคลุกคลีกันมากขึ้น เพราะเลือกที่จะขังทองลายไว้ในอีกห้องนึง และแม่ก็นอนอีกห้องนึง ซึ่งทองเหลืองสามารถเข้ามาหาแม่ได้ตลอดในช่วงเลิกงานกลับมาจนถึงเข้านอน เราจึงได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น แม่จำได้ว่า เวลาที่แม่อยู่บนห้อง แล้วแม่แกล้งเรียกชื่อทองเหลือง ทองเหลืองที่อยู่ข้างล่างก็จะรีบวิ่งขึ้นบันไดดุ๊กๆ มาหาแม่อย่างกระตือรือร้น เป็นความรู้สึกประทับใจในความน่ารักของทองเหลือง และในช่วงนั้นแม่ก็อุ้มทองเหลืองที่ตัวโต จนแม่คิดชื่อเล่นอีกชื่อว่า โบโบ้ ที่แปลงมาจากจัมโบ้อีกที เป็นอีกชื่อที่เรียกติดปากตลอดมา แม่จำได้ว่าเวลาที่แม่นอนเล่นหลังจากกลับถึงบ้าน ทองเหลืองก็จะมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แม่ ชอบที่จะแกล้งแม่ด้วยการกระโดดข้ามตัวแม่ไปมาหลายครั้ง ทำให้แม่รู้สึกว่าแมวตัวนี้มีความทะเล้นรู้จักการหยอกเย้าคน เวลาก่อนนอนทองเหลืองก็จะเข้ามาหาแม่พร้อมกับทองรวย มานอนกันที่ข้างหมอนที่แม่หนุน คนละข้าง ขวาซ้าย บางทีก็มีเขม่นหวงแม่ใส่กัน ช่วงนั้นแม่ได้คลุกคลีกับทองเหลืองมากขึ้น

จนกระทั่งเราย้ายมาที่บ้านสวน แม่ต้องไปทำงานและค้างที่หอพักตลอด ประมาณ 6 เดือนที่แม่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับทองเหลืองแบบแต่ก่อน แม่จะกลับมาเฉพาะวันหยุดแค่วันเดียว บางทีก็นอนค้างคืนนึง แม่จำได้ว่าเวลาที่แม่กลับมาทองเหลืองจะคอยมาอยู่ใกล้ๆ แม่เสมอ ทั้งที่เราก็ห่างเหินกันไปนาน ซึ่งแตกต่างจากตัวอื่นที่ไม่ค่อยสนใจแม่เท่าไหร่ นั้นแปลว่าทองเหลืองไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงรักและเชื่องกับแม่เสมอ ช่วงเวลานั้นแม่มัวแต่เครียดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงเรื่องการงานที่ต้องอดทนทุกวัน จนแทบจะไม่ได้คิดถึงลูกๆ จนเมื่อวันที่แม่ได้เปลี่ยนงาน แม่ได้กลับมาอยู่บ้านทุกวัน แม่จำได้ว่าทองเหลืองจะร้องเรียกแม่ที่หน้าห้อง ซึ่งในตอนแรกแม่รู้สึกรำคาญมากๆ ที่จะนอนแต่ก็มีแมวมาร้องเรียก เป็นการร้องเรียกที่ตื้อเก่งมาก ซึ่งถ้าเปิดให้เข้ามาก็จะกลายเป็นแม่ต้องคอยระวัง เพื่อไม่ให้ทองเหลืองกับทองลายทะเลาะกัน ทองเหลืองแสดงความต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดแม่มากซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากตัวอื่น จนแม่เริ่มให้ทองเหลืองได้เข้ามานอนด้วยกัน มาอยู่ด้วยกันในห้องมากขึ้น ช่วงนี้น่าจะทำให้เรารักและผูกพันกันมากกว่าทุกๆ ช่วง แม่เองก็คิดถึงทองเหลืองเวลาที่อยู่นอกบ้าน อยากจะรีบกลับบ้านเพื่อมาหาลูก ทองเหลืองเป็นความสุขของแม่โดยที่แม่ไม่ทันได้สังเกตหรือรู้ตัว จนวันที่ทองเหลืองไม่อยู่แม่ถึงรู้ตัวว่า ทองเหลืองคือสิ่งสำคัญในชีวิตแม่มากๆ คือความสุขอันดับแรกที่แม่มีกับการได้อยู่บ้านหลังนี้ เวลาที่แม่อยู่บ้าน ทองเหลืองจะอยู่ติดกับแม่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาดึกที่แม่จะเข้านอน แม่ก็จะเอาทองเหลืองออกไปนอนข้างนอกห้อง ทองเหลืองก็มักจะร้องเรียกที่จะเข้าห้องมาอีก จนแม่ต้องดุ เวลาที่แม่ลงไปข้างล่าง ทองเหลืองก็จะคอยเฝ้าหน้าประตูว่าแม่จะกลับขึ้นมาหรือยัง ที่ตลกคือเวลาที่แม่เปิดประตูเข้ามาทองเหลืองก็จะอายแล้ววิ่งหนีแม่ ทำเป็นว่าไม่ได้รอแม่ แต่จริงๆ แล้วแม่เห็นจากด้านล่างขอบประตูว่ามีขาทองเหลืองยืนรออยู่ ทองเหลืองชอบที่จะผลักประตูบ้านออกไป จนแม่เป็นห่วงว่าทองเหลืองจะเผลอลงไปข้างล่าง แม่จึงยอมเปลี่ยนประตูเป็นลูกบิดเพื่อให้ล๊อกได้ แต่บางครั้งที่มีคนปิดไม่ลงล๊อก ทองเหลืองก็ยังอุตส่าห์เอามือแคะเปิดประตูและเดินออกไปหน้าบ้าน บางครั้งแม่ขึ้นมาพอดีทองเหลืองตกใจรีบวิ่งเข้าบ้านแต่หารู้ไม่ว่าแม่เห็นตูดทองเหลืองผลุบเข้าไป เวลาที่ทองเหลืองเข้ามาในห้องแม่ ทองเหลืองก็ชอบที่จะนอนที่ด้านข้างหมอนแม่ ข้างหัวแม่ แม่ก็จะคอยลูบหัวลูบตัว เวลาแม่ตื่นขึ้นมาเห็นทองเหลืองอยู่ข้างๆ แม่ก็รู้สึกรักและเอ็นดูในความรักที่ทองเหลืองมีให้แม่ เราตัวติดกันมากแทบทุกเวลาที่แม่อยู่บ้านก็จะมีทองเหลืองอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง แม่ได้อุ้มได้กอดหอมลูกอยู่ทุกวัน แม่รู้สึกรักลูกมากๆ เป็นความรักอย่างแท้จริงที่อยากจะดูแลลูกให้ดีที่สุด อยากจะอยู่กับลูกตลอดไปนานๆ แม่เคยพูดกับลูกๆ ว่าขอให้อายุมั่นขวัญยืน อยู่เป็นเพื่อนแม่ไปนานๆ นะ แม่ขอบใจลูกที่คอยอยู่เป็นเพื่อนแม่

ช่วงสิงหาคม 66 ทองเหลืองเริ่มผอมลงอย่างไม่รู้สาเหตุ แม่เองก็ไม่ทันรู้ตัว พอสังเกตเห็นก็รู้ว่าผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ทองเหลืองเริ่มอ๊วกเยอะขึ้น ปกติทองเหลืองมักจะชอบกินอาหารเร็วแบบไม่ค่อยเคี้ยวและอ๊วกออกมาเสมอ แต่ครั้งนี้การอ๊วกถือว่าเยอะผิดปกติ และมีปริมาณมาก บางครั้งเป็นเพียงอ๊วกที่เหลวและมีกลิ่นเหม็น ทองเหลืองเริ่มมีการร้องครวญครางตอนดึก ซึ่งตอนแรกแม่ก็คิดว่าอาจร้องเพราะอยากเข้าห้องมาหาแม่ แต่แม่เริ่มสังเกตเห็นว่าแม้เวลาอยู่ในห้องกับแม่ทองเหลืองก็ร้องและมีอาการเกร็งท้อง จึงเดาว่าน่าจะร้องเพราะปวดท้อง เป็นภาพที่น่าเวทนามาก แม่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร แม่รอดูอาการไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอาการที่ว่ามานี้ทั้งหมดก็ยังคงอยู่ไม่ทุเลา มีแต่ผอมลงเรื่อยๆ ทั้งที่กินเก่ง

15 กันยายน 66 แม่ตัดสินใจพาทองเหลืองไปหาหมอที่คลินิกแห่งนึง (ที่ไม่รีบพาไปเร็วกว่านี้ เพราะไม่สะดวกในการเดินทาง และรู้สึกไม่ประทับใจคลินิกที่ใกล้ที่สุดที่เคยใช้บริการ และเกิดความลังเลว่าหากไปแล้วจะเกิดค่ารักษาแพงแค่ไหน ประกอบกับช่วงนั้นรายได้ถือว่าลดน้อยลง จึงตัดสินใจที่จะรอดูอาการไปก่อน) แต่วันที่พาไปคิดได้ว่า ควรจะพาไปให้หมอได้วินิจฉัยสักครั้งแล้วค่อยคิดต่อว่าจะรักษาต่อไปอย่างไร หรือจะมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องต่อไปอย่างไรค่อยว่ากัน แม่เลือกพาไปคลินิกเจ้าที่ไม่เคยใช้บริการ แม่เลือกที่จะเหมารถยนต์พาไป ยอมจ่ายแพงให้ทองเหลืองและตัวแม่ได้เดินทางสะดวกที่สุด พอหมอได้ตรวจทองเหลือง หมอก็บอกว่า เป็นโรคไต ซีด ให้คอยให้น้ำเกลือประคองไปรักษาไม่หาย แมวแก่แล้ว แม่พาทองเหลืองกลับมาด้วยความกังวลใจ ว่าจะให้น้ำเกลือได้อย่างไร แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่ยังพอทำได้ แม่ศึกษาการให้น้ำเกลือจากคลิป และขี่รถไปที่คลินิกแห่งนึงที่ใกล้กว่าคลินิกแรกเพื่อขอซื้ออุปกรณ์ให้น้ำเกลือต่างๆ ครั้งแรกที่แม่ลองทำ แม่ตื่นเต้นมาก แค่คิดว่าจะต้องเจาะเข็มแหลมๆ เข้าไปในตัวของลูกแม่ก็รู้สึกท้อใจ แต่แม่ก็แข็งใจทำ จากนั้นแม่ก็คอยให้น้ำเกลือลูกทุก 2-3 วัน ที่เว้นห่างเพราะรู้สึกไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บตัวทุกวัน แต่อาการของทองเหลืองก็ไม่ดีขึ้นเลย อาการอ๊วกน้อยลง แต่อาการปวดท้องร้องครวญครางยังมีอยู่ทุกวัน ทุกครั้งที่แม่เห็นทองเหลืองเจ็บปวด แม่ก็ปวดใจไปด้วย ยังดีที่ทองเหลืองยังกินข้าวได้ ขับถ่ายได้ปกติ แต่ลูกก็ยังผอมลงเร็วมาก ซึม อ่อนแรง เริ่มปลีกตัวเข้าไปตามหลืบตามมุม

8 พฤศจิกายน 66 แม่ขายรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าได้ 1 หมื่น และคิดว่านี่แหละคืองบในการรักษาลูกถ้าแม่ต้องจ่ายทั้งหมดเพื่อรักษาแล้วลูกจะอยู่ต่อได้ อาการดีขึ้นแม่ก็ยินดี แม่ตัดสินใจพาลูกไปหาหมออีกคลินิก เผื่อว่าจะยังมีหนทาง แอบคิดว่าหมอคนแรกอาจไม่ดีก็ได้ที่ไม่ได้ตรวจเลือดอะไรแต่วินิจฉัยเอง ถ้าได้ตรวจเลือดอาจรู้สาเหตุที่แท้จริง พอมาคลินิกนี้หมอตรวจเลือดให้ ก็พบว่ามีโลหิตจาง มีการติดเชื้อในร่างกาย มีภาวะขาดน้ำ และที่สำคัญมีค่าของเสียในเลือดสูงที่บ่งบอกว่าเป็นโรคไต หมอบอกว่าลูกเป็นไตวายเรื้องรัง จากนั้นหมอก็บอกว่าให้แม่ให้น้ำเกลือต่อไปประคองอาการ เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ แม่คาดหวังว่าหมออาจจะเอาตัวลูกไว้ที่นั่นเพื่อรักษา แต่ไม่เลย หมอไม่พูดเรื่องที่จะให้ยาหรือรักษายังไง แม่กลับมาแบบงงๆ ว่าทำไมหมอถึงแค่ตรวจเลือด ซึ่งจริงๆ อาการที่หมอวินิจฉัยแม่เองก็เป็นคนบอกหมอก่อนแล้วด้วยซ้ำว่ามีอาการแบบนั้น ตามที่หมอคนแรกบอกมา เพียงแต่หมอคนแรกวินิจฉัยแบบไม่ได้ตรวจเลือด แต่พอมาคิดทีหลังแม่รู้แล้ว ว่าหมอคงมองว่าลูกจะอยู่ได้อีกไม่นาน ครั้งนี้แม่เอาลูกกลับมาแล้วก็ให้น้ำเกลือลูกทุกวัน

แต่ต่อมาอาการอื่นๆ เริ่มตามมา ลูกน้ำลายไหลตลอด แม่รู้ว่าลูกคงเจ็บปาก เป็นแผลในปาก และลูกกินข้าวได้น้อยลง จนกินไม่ได้อยู่สองวัน แม่คอยเช็ดน้ำลายให้ลูก ลูกคอยหนีเข้าไปนอนใต้เตียงและหมกตัวอยู่แบบนั้น ผอมลงเรื่อยๆ เหลือแต่กระดูก จากนั้นลูกเริ่มกลับมากินข้าวได้บ้าง ลูกเริ่มเดินโซซัดโซเซ และเริ่มไม่กินข้าวอีก จนสุดท้ายลูกก็เดินไม่ได้ แม้จะตะกายขึ้นกะละมังทรายก็ยังไม่ได้ กลายเป็นแมวนอนติดเตียง แม่คอยอุ้มลูกเข้ากะละมังทราย จากที่ลูกอึเป็นก้อน ก็กลายเป็นน้ำ แม่คอยเอาข้าวมาจ่อที่ปากลูก คอยเช็ดหน้าเช็ดปากเช็ดตัวให้ลูก และแล้วลูกก็กลายเป็นแมวที่พิการนอนนิ่ง มีเพียงหัวที่ผงกขึ้นมาบ้าง ใจของแม่สลาย ปวดใจ ทรมานใจที่เห็นสภาพของลูก แม่พยายามป้อนอาหารเหลว ป้อนน้ำให้ลูก แต่ลูกก็กินน้อยมาก เหมือนว่าลูกกลืนไม่ได้ ลูกเริ่มเคี้ยวอาหารไม่ได้เหมือนว่าขากรรไกรแข็งไม่สามารถขยับได้ ลูกขับถ่ายออกมาอย่างไม่รู้ตัว อาการของลูกแย่ลงเป็นลำดับ แม่ทำใจและเตรียมใจอยู่ทุกวัน แม่แอบร้องไห้เมื่อคิดว่าลูกกำลังจะต้องจากแม่ไป แม่เฝ้าบอกกับลูกว่า ถ้าลูกทรมานทนไม่ไหว ลูกก็จากแม่ไปได้เลยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ แม่จะรักและคิดถึงลูกเสมอแม้ลูกจะไม่อยู่กับแม่แล้วก็ตาม ความรักของแม่กับลูกจะคงอยู่ตลอดไป...(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่