เรื่องของคนกทม.วัยจะ50มาอยู่ขอนแก่น ตอนที่1

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับผม สำหรับ คนที่หลงเข้ามาอ่านนะครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกตรงๆเลยนะครับว่าผมก็ไม่คุ้นเคยกับ Pantip มากมายนัก เพราะส่วนตัว ก็ไม่ เคยได้ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มาก่อนเลย ขนาด Facebook ผมยังมีเอาไว้แค่ดูข่าวกับดูเลขเด็ดเผื่อไว้ซื้อหวยเฉยๆ มือถือที่ใช้พิมพ์กระทู้นี้ก็ซื้อมาจากตลาดนัดในราคา 900 บาทเอง แถมเน็ตที่ใช้ก็ต่อไวไฟของที่ทำงานเอา

เนื่องจากชีวิตผมช่วงนี้ ค่อนข้างจะย่ำแย่เป็นอย่างมาก เลย หาที่ระบายเอาไว้ ถือว่าเป็นที่บ่นแพล่มละกัน อย่างน้อยก็ยังได้ระบายออกมา ดีกว่าเก็บไว้ จนตัวผมประสาทเสียซะก่อน ฮ่าๆ
.... เริ่มต้นจากตัวผม โดยกำเนิดแล้วเป็นคนกรุงเทพฯอยู่แถวตลิ่งชัน ฐานะทางบ้านตอนสมัยผมยังเด็กก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก ย่าเป็น ช่างก่อสร้าง ส่วนพ่อ ทำอาชีพขี่ซาเล้ง รับซื้อของเก่าเอามาขาย ส่วนบ้านที่อยู่ เมื่อสมัยผมเด็กก็เป็นบ้านที่เช่าที่ดินเขา
เรื่องการเรียนผมก็จบแค่ป 6 พอได้มีงานทำ ก็เรียนกศนมาเรื่อยๆ จนจบม. 6 เมื่ออายุ 38 พอเป็นผู้ใหญ่ เริ่มมีครอบครัว มีภรรยาเป็นของตัวเอง 
ผมก็มาได้กับ คนขอนแก่น ที่มาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯโดยตัวผม ในวันที่ผมมาตั้งกระทู้นี้ผมก็อายุ 46 แล้วส่วนภรรยาผมอายุ 57เราสองคนอยู่ด้วยกันจนได้ลูก 2 คน ลูกชายคนโต-ส่วนคนเล็กเป็นลูกสาว ปัจจุบัน ตอนนี้ลูกชายเรียนปวสแล้วครับ ส่วนลูกสาวเรียนมัธยมต้น

..ต่อมาภรรยาผมก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ขอนแก่น พร้อมเอาลูกสาวและลูกชายมาด้วย เพราะที่กรุงเทพฯเราไม่มีบ้านเป็นของตัวเองเลย เมื่อกลับมาขอนแก่นทางภรรยาผมก็ยัง พอมีที่อาศัยอยู่ คือบ้านของญาติของเธอได้ 
แต่เนื่องจาก เมียผม ได้เอาลูกทั้งสองคนมาด้วย บ้านที่ คิดว่าจะกลับมาอยู่กัน ก็ค่อนข้าง แคบและทรุดโทรม เผอิญโชคดีที่จะภรรยาผม ได้งานเป็นแม่บ้าน อยู่หอพักให้เช่าแถวๆ ที่ เธออาศัยอยู่ พอดี
....แล้วทางเจ้านาย ซึ่งเป็นเจ้าของหอพักให้เช่า ได้อนุญาตให้ ทางภรรยาผม เอาลูก ทั้งสองคนและตัวเธอ เข้ามาอาศัย ในหอพักได้ เพราะจะได้ อยู่เฝ้าหอพักด้วย ทั้งดูแลหอพักทำความสะอาดและคอยรับลูกค้าที่มาเช่ารายวัน ก็โชคดีตรงที่เจ้าของหอพักนี้ อยู่ต่างจังหวัดไม่ได้อยู่ขอนแก่น ทางภรรยาผมก็เลย เอาลูกชายกับลูกสาวมาอยู่ด้วยได้ แบบไม่ตะขิดตะขวงใจเท่าไหร่นัก
แม้จะได้มาอาศัย อยู่กันในหอพักที่ภรรยาผมถ้าได้ทำงาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีห้องหับอะไรดี แยกอยู่เป็นสัดเป็นส่วนกันนะครับ ลูกๆผมก็หามุมนอนกันได้ตามแต่ภาพที่ผมแนบมาด้วยนี่เลยครับ นี่คือที่นอนของลูกชายและลูกสาวผม

.เด็กๆ ก็หานอนกันอยู่ในมุมที่พอจะนอนกันได้ โดยที่เจ้าของ หอพักเขาไม่ว่าครับ


ส่วนตัวผมหลังจากที่ภรรยา ย้ายมาอยู่ที่ขอนแก่นผมก็ ได้ตามมาอยู่ด้วย เพราะบ้านที่เคยอยู่ตั้งแต่สมัยเด็กถูกเจ้าของที่ดินเขาเวนคืนที่ไปแล้ว
ส่วนญาติพี่น้องที่พออาศัยได้ ก็ไม่มีเลย เพราะผมเป็นลูกคนเดียว จะมีแต่ น้องสาวพ่อซึ่งเป็นอาผม คนเดียวเท่านั้นที่มีบ้านอาศัยอยู่ แต่ ทางอาผมเขาก็มีลูก 2 คนซึ่งมีลูกเมียกันแล้ว
.....ถ้าผมจะอาศัยไปอยู่ด้วย มันก็ยังไงอยู่เพราะผมเองก็มีครอบครัวแล้วไม่ใช่เด็กๆ
ผมก็เลย มาขอนแก่นอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกๆในหอพักที่เธอทำงานอยู่ ช่วงแรกๆที่ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น ก็ยังพอหางานอาชีพเดิมของผมได้คือเป็นกุ๊กครับ ผมได้งานทำในร้านอาหาร-ร้านเหล้ามาหลายร้าน แต่ร้านที่ผม เคยได้ไปทำส่วนใหญ่ มีอายุไม่ยืนยาวเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็ต้อง เปลี่ยนงานไปเรื่อยเพราะเจ้าของเลิกกิจการ แต่ผมก็ไม่ใช่คนเกี่ยงงานอะไรนะ ได้ทำมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นรปภหรือจับกัง เนื่องจากทางบ้านผมเองตอนสมัยผมเป็นเด็กๆก็ทำ 2 อาชีพนี้เป็นประจำกันอยู่แล้วผมก็เลยค่อนข้างจะคุ้นเคย กับอาชีพรปภและจับกังก่อสร้างมาก่อน
เมื่อได้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งผมและภรรยากับลูกแล้วช่วงแรกก็ อยู่กันได้เรื่อยๆครับผม


ภาพที่แนบมานี้ก็เป็นมุมทำกับขัาว กับที่นอนของผมกับภรรยาครับ โชคดีที่เจ้าของหอพักเขาไม่ได้อยู่ด้วย เลยได้ห้องของเจ้าของหอมาไว้นอนมาไว้เก็บข้าวของและเสื้อผ้า
 ตัวผมและภรรยาขยันหางานทำกันทั้งคู่ ตัวภรรยาผมเอง มีอาชีพ ทั้งเป็นแม่บ้านหอพักและยังได้งานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ โรงเรียนสอนเด็กพิการแห่งหนึ่งในขอนแก่นนี้ ส่วนตัวผมก็เข้าๆออกๆร้านอาหารและร้านเหล้าหลายต่อหลายร้านในขอนแก่น พอว่างงาน ก็ไปเป็นรปภ. และรับจ้าง ทำไปทั่ว ทั้งทาสี-ก่อสร้าง คือถ้าผมตกงานเมื่อไหร่งานไหนเท่าที่พอจะหาได้ก็ทำไปก่อนเลยนะครับทำหมดถ้าเกิดเขารับ ด้วยความที่ ผมเองได้ผ่อนซื้อรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ 2 คัน คันนึงอยู่ที่ตัวผมและอีกคันนึงเอาไว้ให้ภรรยาใช้ขี่ไปทำงานหรือซื้อของ 
....เพราะอยู่ขอนแก่น ถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์นี่ไปไหนมาไหนค่อนข้างจะลำบากพอสมควร

ครับผมก็อยู่กันนั้นได้เรื่อยๆครับ แต่เงินเก็บ ก็ไม่มีเพราะว่าค่าใช้จ่ายก็เยอะพอสมควร ทั้ง ผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ จ่ายหนี้สิน ที่ไปหยิบยืมกู้เขามา รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกทั้งสองคน
จนสถานการณ์ของครอบครัวเริ่มมาวิกฤต เนื่องจากเมื่อช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมานี้ผมไปประสบอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์ จน ต้องเข้าโรงพยาบาล ผ่าตัด เนื่องจากเลือดคั่งในหัว แต่โชคดีที่ยังรอดมาได้ ทั้งที่พรบ.รถมอเตอร์ไซค์ก็ไม่ได้ต่อ แต่เผอิญผมส่งประกันสังคมเองทุกเดือน ก็เลย ได้รักษา โดยไม่ต้องไปหาเงินมาจ่ายให้กับทางโรงพยาบาล
หลังจากที่หมอผ่าตัดเสร็จ ผมก็นอนพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น อยู่เดือนนึงเต็มๆ อยู่ที่โรงพยาบาลอะไรทำให้ มีเฉพาะรายได้ของภรรยาเป็นหลักในครอบครัว ก็ช่วงนี้ล่ะครับทำให้เกิดวิกฤตเกิดขึ้น เนื่องจาก รายได้ที่ภรรยาผมมีไม่พอส่ง ค่างวดไฟแนนซ์ ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ของภรรยาผม ถูกยึดไปเป็นคันแรกเหลือแค่รถมอเตอร์ไซค์ของผมพอผมออกจากโรงพยาบาล แล้ว ร่างกายเริ่ม พอไหวผมก็ออกหางานทำ เหมือนเดิม จน พอมีเงิน ส่งค่างวดไฟแนนซ์ได้ รถผมเลยรอด มาจนถึงวันนี้ ไม่ถูกยึด เหมือนรถมอเตอร์ไซค์ของภรรยาผม

แต่ด้วยสภาพร่างกายของผมที่ไม่ แข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเดิม เนื่องจากอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์ล้ม ไปสมัครงานร้านไหน แม้โชคดีได้งานจริง
....แต่พอเพื่อนร่วมงานและเจ้าของร้านเห็นสภาพการเดิน-การทำงานของผมเขาก็รู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่นัก
สุดท้ายผมเลยต้องยอมรับความเป็นจริง ว่าคงจะไปต่อกับอาชีพกุ๊กเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วแน่ๆ ผมเลย หางานยามทำ
จนสุดท้ายผมได้มาปักหลักอยู่ที่ อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง เป็นรปภอยู่กะกลางคืน ค่าแรงวันละ400 ซึ่งมันก็ดีมากนะครับสำหรับคนฐานะอย่างผม ผมทำอยู่ได้ เกือบ 2 ปี แต่ความซวยก็ยังไม่จบสิ้นครับ เนื่องจากที่อพาร์ทเม้นท์นี้มีแม่บ้าน แล้วสามีของนาง เกิดตกงาน จนทำให้ แม่บ้านรู้สึกอยากจะ ให้ สามีมาเป็นรปภ.แทนผมเพื่อจะได้ช่วย งานของ เธอด้วย ในเวลาที่เธอเลิกงานไปแล้ว 
....ความซวยก็เข้ามาตกที่ผมครับเพราะว่า แม่บ้านอยากจะให้สามีของเธอมาทำงานแทนผมทีนี้ เกิดผมทำผิดพลาดอะไรหรือมีอะไรที่ผมไม่ได้ตั้งใจให้พลาดก็ตามทางแม่บ้านก็จะเอาไปฟ้องเจ้าของหอพักอย่างสุดความสามารถ
จนทำให้ผม ถูกทั้งคนดูแลหอพักและเจ้าของตำหนิว่าหลายรอบ จนทำให้สิ่งที่ผมวิตกมาตลอดก็ได้เกิดขึ้นจริงๆคือ ทางเจ้าของหอพักให้ผมออกจากงาน โดยให้เหตุผลว่า ผมทำงานไม่เต็มที่
โดยอ้างเรื่องราวที่ทางแม่บ้านได้เป็นคนแจ้ง กับเจ้าของเอาไว้ เป็นต้นเหตุ และยังบอกผมด้วยว่าคนที่มาเช่าหอพักอยู่ได้ แจ้ง ต่อว่าผมเป็นข้อเสียหลายเรื่อง
.....พอตกงานอีกรอบถ้าผมก็ กลับไปตะเวนหารับจ้าง ไปเรื่อย เช่นเดิม เพราะมีรายจ่าย หลายประเภทที่รอผมอยู่ ทั้งค่าเล่าเรียนลูก-ทั้งค่าผ่อนไฟแนนซ์ งวดรถมอเตอร์ไซค์ก็โชคดีครับที่ โรงเรียนที่ภรรยาผมทำงานเป็นแม่บ้านนั้น เขารับสมัครคนสวนพอดี ผมเลยได้มาทำงานอยู่ที่เดียวครับที่ภรรยาทำค่าแรงวันละ 300 บาทก็ยังดีกว่าตกงาน แล้วตัวผมเองก็เป็นคนที่ทำงานมาตลอด ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ ถึงแม้จะได้งานที่ไม่ตรงกับที่ตัวเองเคยทำมาก่อน หรือยังไง ผมก็ พร้อมสู้เต็มที่ครับเพราะว่าไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เพราะโดยส่วนตัวก็หวั่นใจว่าตัวเองจะจิตตกประสาทเสียเหมือนกันด้วยหนี้สินกับค่าใช้จ่ายเรื่องการเรียนของลูกก็ ยังรอให้จ่ายอยู่อีกรุงรัง ทั้ง ค่างวดส่งไฟแนนซ์ รถมอเตอร์ไซค์ ของผม กับค่าเทอม ของลูกชายและลูกลูกสาวอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่