กำเนิดพระเจ้า เวอร์ชั่น 2

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราสามารถย้อนเวลาได้ไปจนถึงจุดเริ่มต้นของเวลา  แล้วเราจะพบอะไร ?
ผมคิดว่าไม่มีมนุษย์คนใดทราบความจริงในเรื่องนี้ได้  เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกินสติปัญญาของมนุษย์
และเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากมาก หรือไม่รู้ว่าจะเดาเป็นอะไร

แต่ถ้าถามว่าสภาวะแรกสุดคืออะไร ?
เชื่อว่ามีหลายคนที่พอจะเดาได้  แต่จะเดาถูกหรือผิด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผมเชื่อว่าสภาวะแรกสุดคือ ความว่างเปล่า  หมายถึงไม่มีอะไรเลย ในทางคณิตศาสตร์เรียกว่า 0
หลังจากนั้นจึงเกิด 1,2,3,... โดยไม่มีที่สิ้นสุด

ประเด็นที่สงสัยก็คือ 1,2,3,... เกิดขึ้นได้อย่างไร ?  ซึ่งพิจารณาดูแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้  
เพราะว่าเริ่มต้นจากศูนย์คือไม่มีอะไรเลย  แล้วเพิ่มเป็น 1,2,3,...  มันไม่น่าใช่

แต่ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นแล้ว  ซึ่งสรรพสิ่งล้วนมีจุดกำเนิด
โดยสรรพสิ่งจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ สิ่งนี้คือ สัจธรรม

ผมจึงขอเสนอทฤษฎีว่าด้วยการกำเนิดพระเจ้า  เพื่อตั้งสมมุติฐานในเรื่องจุดกำเนิดของสรรพสิ่ง
ซึ่งเป็นความเชื่อที่บางคนอาจเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล  แต่ก็มีความเป็นไปได้  โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. สภาวะแรกสุดคือ ความว่างเปล่า

2. พระเจ้า (God) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นสิ่งแรกจากความว่างเปล่า  โดยพระเจ้าเป็นผู้สร้างตนเองขึ้นมา  
หลังจากนั้นพระเจ้าจึงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาด้วยการเนรมิต  ด้วยฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระองค์

ตรรกะ  "ผู้สร้างคนแรกย่อมไม่ถูกใครสร้าง  เพราะตนเองเกิดเป็นคนแรกสุด  จึงไม่มีผู้ใดมาสร้างตนนอกจากตนเอง"

การที่พระเจ้าสร้างตนเองขึ้นมานั้น เป็นสิ่งที่ล้ำลึกเกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้

3. พระเจ้าอื่น (god) เกิดขึ้นในภายหลังเป็นจำนวนมาก  และเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้า (God) สร้างขึ้นมา
โดยที่พระเจ้ามีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าอื่นทั้งหมดมารวมกัน

4. พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างน้อยใน 2 มิติ คือ  มิติฝ่ายวิญญาณ และมิติฝ่ายโลก
โดยมิติฝ่ายวิญญาณ เช่น  สวรรค์  นรก  ทูตสวรรค์  พระเจ้าอื่น  วิญญาณชั่ว  และวิญญาณของมนุษย์  เป็นต้น
ส่วนมิติฝ่ายโลก เช่น  สสารอนุภาคต่างๆ  พลังงานแสง  พลังงานเสียง  พลังงานไฟฟ้า  และเวลา  เป็นต้น
หมายเหตุ
(1) มิติฝ่ายวิญญาณไม่มีเวลามาเกี่ยวข้อง
(2) สัตว์ไม่มีวิญญาณ  ดังนั้นเมื่อสัตว์ตายแล้วจึงดับสูญ (สิ้นสุดชีวิตอย่างสมบูรณ์)
(3) พระเจ้าอื่นอาจนับรวมว่าเป็นวิญญาณชั่ว ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า

5. พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีการสำนึกดีและสำนึกชั่ว  และกำหนดให้ชีวิตของมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้ "กฎแห่งกรรม" 
คือ  ทำดีย่อมได้ดี  ทำชั่วย่อมได้ชั่ว  ซึ่งหมายถึง  ทำความดีส่งผลให้มีความสุข  และทำความชั่วส่งผลให้มีความทุกข์
หมายเหตุ
(1) ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายไม่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  
(2) สัตว์ไม่มีการสำนึกดีและสำนึกชั่วเหมือนกับมนุษย์  สัตว์ทั้งหลายจึงดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณ

6. หากผู้ใดเดินในทางชอบธรรมของพระเจ้า  พระเจ้าจะประทานสันติสุขให้แก่ผู้นั้น
หมายเหตุ
(1) เดินในทางชอบธรรมของพระเจ้า ประกอบด้วย  วางใจพระเจ้า  ไม่ทำบาป  และมุ่งทำความดี
(2) วางใจพระเจ้า หมายถึง  ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  โดยเชื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

7. เมื่อมนุษย์ตายไปแล้ววิญญาณจะออกจากร่าง  แล้วไปพักสงบในสถานที่แห่งหนึ่ง
เพื่อรอวันพิพากษาในวาระสุดท้ายของโลก  โดยไม่มีใครดับสูญแม้แต่คนเดียว

8. หากผู้ใดเดินในทางชอบธรรมของพระเจ้าจนถึงวันตาย  พระเจ้าจะนำให้ผู้นั้นไปอยู่ในสวรรค์ชั่วนิรันดร์
ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดจะต้องตกนรกชั่วนิรันดร์ พร้อมกับพระเจ้าอื่นและวิญญาณชั่วทั้งหลาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่