-Monk-
เหล่า
"Monk of Ivgorod" หรือพระนักบวชแห่งอิฟกอร์รอด หรือตามชื่อที่ชาวบ้านและเหล่าผู้คนที่สัญจรไปมาเรียกกัน
"Veradani" พวกเขานับถือศาสนา "
Sahptev" เราจะไม่ค่อยได้พบเห็นพวกเขาภายนอก อิฟกอร์รอดมากนักเพราะการปกป้องถิ่นกำเนิดและศาสนามาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ พวกเขาฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่ง รวมทั้งจิตใจที่ตั้งมั่นในศรัทธา ทำให้ร่างกายและจิตใจรวมเป็นหนึ่ง พวกเขาเหมือนกับอาวุธที่สามารถเดินได้ด้วยซ้ำในสายตาของทุกผู้ที่ได้เห็นหรือพบเข้า เหล่านักรบศักสิทธ์นี้จะสร้างความยุติธรรมด้วยกำปั้นแห่งศรัทธา
"ข้าก้าวเดินอยู่ท่ามกลางเทพแห่งความสงบและเทพแห่งความโกลาหล ข้าอยู่ทั้งสองทาง แต่ข้าไม่เป็นทั้งสองอย่าง ข้าคือนักรบที่ยืนอยู่ระหว่างทางแยกนั้น และหากข้าสามารถรักษาความสมดุลได้ ข้าก็ไร้ซึ่งบาป" -หนึ่งในคำสาบานของศาสนา-
ในหมู่นักรบแห่ง
Sacntuary ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักนักรบพระนักบวช ผู้อุทิศตนให้กับศรัทธาและการฝึกฝน ร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็ก พละกำลังมหาศาล ศิลปะการต่อสู้โบราณที่พบเห็นได้ยาก กระบอง สนับมือ หรือแม้แต่การแยกกายหลายร่างก็ยังทำได้เช่นกัน การฝึกฝนภายในอารามของ
"Patriarchs" หรือปรมาจารย์นั้นต้องใช้ความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก มันอาจกระทบไปทั้งร่างกายและวิญญาณ แต่เมื่อสำเร็จเสร็จวิชานั้น บนผืนดินนี้ก็ยากที่จะหาใครมาเทียบเคียงและต่อสู้ด้วยได้อีกแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นนักรบผู้ศรัทธาในศาสนา "Sahptev" และรับบัญชาจากผู้นำแห่งดินแดนนี้เท่านั้น
กิจวัตรในทุกวันของพวกเขาคือการฝึกตน ฝึกฝน และการทำพิธีกรรมชำระกายทำให้พวกเขานั้นไร้ซึ่งการครอบงำที่มักกัดกินจิตใจภายในของมนุษย์ทุกคน การฝึกฝนของพวกเขาเป็นเหมือนดั่งเหล่าการฝึกในตำนาน มันคือการผ่านการทดสอบทั้งจิตใจและร่างกายจนรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นสมดุลในตัว พวกเขาสามารถต่อสู้โดยใช้แค่มือเปล่าหรือแม้กระทั้งใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ เหล่าพระนักบวชจะได้รับรอยสักตั้งแต่หลังคอลงไป ไล่ตามกระดูกสันหลัง เพื่อใช้เป็นการบอกเรื่องราวตั้งแต่นี้ไปจนกระทั้งพวกเขาสิ้นใจ เรื่องราวเหล่านั้นทวยเทพก็จะได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน เมื่อการฝึกสำเร็จที่หน้าผากจะได้รับรอยสักเพิ่มและเหนือคิ้วจะได้รับการเจิมวงกลมทั้งสองวง เพื่อเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของเทพเจ้าแห่งความสงบและเทพเจ้าแห่งความโกลาหล พระนักบวชส่วนใหญ่ยังโกนผมทั้งหัว เพื่อบ่งบอกถึงความเคร่งในศาสนาของพวกเขาด้วย
เหล่าพระนักบวชจะถูกฝึกฝนในอารามและไม่อนุญาตให้ออกนอกพื้นที่เด็ดขาด หรือหากใครที่ออกไปแล้วก็จะไม่ได้กลับมา หากกลับมาก็มีโอกาสที่จะถูกประหารเพราะฝ่าฝืนคำสั่ง หลังจากฝึกฝน พวกเขาจะได้รับสัญลักษณ์เพิ่ม เพื่อให้ตระหนักถึงศรัทธาของศาสนา ความไม่หยิ่งยโส ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความเห็นแก่ตนเอง และไม่มีความหวาดกลัว พวกเขาจะกลายเป็นผู้คงอยู่ ผู้ที่สำเร็จเสร็จวิชา ผู้ที่จะกลายเป็นเสาหลักของศาสนา การเตรียมตัวไม่ใช่แค่การฝึกฝนในอาราม แต่มันมี
"Floating Sky Monastery" หรือการฝึกฝนบน "อารามเหนือฟ้า" ผู้ที่ผ่านการทดสอบมาได้จะกลายเป็นยิ่งกว่าพระนักบวชทั่วไป จะกลายเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น
Hierarchy ลำดับชั้นของเหล่านักบวช
Patriarch เหล่าปรมาจารย์ผู้นำสูงสุดทั้งเก้าของนิกาย
Master พระนักบวชผู้ฝึกสอนผู้อื่น
Elder Monk พระนักบวชอาวุโส
Monk พระนักบวช
Acolyte ลูกศิษย์
Novitiate สามเณร
Initiate ผู้ฝึกตน
เหล่าพระนักบวชรวมเจตจำนงของเหล่าทวยเทพทั้ง หนึ่งพันหนึ่งองค์ไว้และใช้มันค้ำยันศรัทธาที่จะนำพาพลังมาสู่พวกเขา มันเพิ่มความแข็งแกร่งและพลังทำลาย เหมือนดั่งเทพที่พวกเขานำมาสถิตในกระบวนท่าการต่อสู้อย่าง
"Zaim" เทพแห่งขุนเขาที่มอบพลังทางกายให้คงกะพัน ยืนยง และ
"Ytar" เทพแห่งสุริยันหรือเทพแห่งไฟ ผู้ให้พลังในการทำลายล้าง โดยพลังทั้งหมดมาจากร่างกายที่ฝึกฝนจนกลายเป็นดั่งเหล่าเทพในตำนานของพวกเขา
พลังและความสามารถที่โดดเด่นไม่ใช่แค่การทำลายและความคงทน แต่มันมีทั้งคลื่นแห่งการรักษา พลังโล่ศักสิทธ์ มนต์วิชาปกป้องตน การโจมตีโดยส่วนใหญ่ของพระนักบวชจะเป็นการต่อสู้รูปแบบระยะประชิด พวกเขาสามารถเสริมพลังเข้ากับฝ่ามือหรือหมัดและเท้าของพวกเขา ด้วยไฟ สายฟ้า หรือพลังศักสิทธ์ ที่ช่วยเพิ่มความเร็ว รุนแรง ทะลุทะลวง ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับสภาวะในร่างกายของพวกเขาเองด้วย การมีสมาธิและการรักษาสมดุลจึงเป็นเรื่องที่พระนักบวชทุกคนต้องตระหนักถึงมัน แม้ว่าสถานการณ์จะง่ายดายหรือยากเย็นก็ตาม พลังทั้งหมดนั้นสามารถล้มศัตรูได้ด้วยหมัดหรือการกวาดเตะภายในทีเดียว พลังที่แม้แต่การแยกกายจิตออกมาช่วยในการต่อสู้ก็ทำได้เช่นกัน
แต่ถึงแม้พวกเขาจะเป็นดั่งอาวุธที่มีชีวิต พวกเขายังได้รับการฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยอาวุธทุกรูปแบบ เพื่อการปรับเข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป เมื่อเสียเปรียบจะได้มีข้อได้เปรียบแก้ทางกันได้ พวกเขายังสามารถใช้อาวุธที่ติดตั้งในแขนทั้งสองข้างอย่าง
"Katar" หรือสนับมีดที่ช่วยให้การต่อสู้จบได้เร็วมากขึ้น การต่อสู้โดยไม่ยืดเยื้อนั้นเป็นผลดีกับการต่อสู้ระยะประชิดเป็นอย่างมาก หรืออาวุธอย่าง
"Daibo" กระบองเหล็กยาวที่สร้างพื้นที่ในการต่อสู้ระยะกลางได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่ง
"Bow" ธนูก็ถูกใช้งานบางครั้งแต่มันก็ไม่เป็นที่นิยมด้วยระยะที่ไกลเกินไปไม่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิดที่พวกเขาถนัด
ในส่วนของเกราะของเหล่าพระนักบวชนั้น เริ่มแรกจากการฝึกชุดที่เรียกว่าเกราะของพวกเขาจะถูกทำมาด้วยหินที่สามารถหาได้ทั่วไป นำมาถักจนเป็นชุดที่ดูไม่เหมือนเกราะด้วยซ้ำด้วยสภาพของมันจึงไม่ค่อยได้ช่วยพวกเขาในการปกป้องร่างกายเท่าไหร่ในการต่อสู้ ต่อมาหากพวกเขาฝึกฝนจนบรรลุการเป็นพระนักรบจะได้รับการสอนการสร้างชุดเกราะจากเงิน และเงินเหล่านั้นจะถูกสนับสนุนโดยเหล่าผู้อาวุโสในนิกาย เพื่อเป็นการยกระดับการป้องกันของเหล่าพระนักรบด้วยแล้ว ยังเป็นเครื่องยืนยันตนเองในการเป็นผู้บรรลุการฝึกฝนอีกด้วย แม้ชุดเหล่านี้จะไม่ได้มีลวดลายที่สวยงาม มีสีที่ไม่สดใสแถมซีดเซียว แต่พวกมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการออกท่วงท่า ใบมีดที่สนับจะคมมากขึ้น การเคลื่อนไหวรวดเร็ว มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในการทำชุดเกราะจากเงินขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ร่างกายของพวกเขาก็คือเกราะชั้นดีอีกหนึ่งอย่างเลยก็ว่าได้ และเหล่าพระนักบวชยังเรียนรู้ศาสตร์ในการรักษาอีกด้วย
การฝึกฝนของเหล่าพระนักบวชนั้น เริ่มจากการที่พวกเขา นำตัวเด็กน้อยจากหุบเขา
"Gorgorra" ที่เป็นป่าติดกับชายแดนของอาณาจักรอื่น หรือจะเรียกว่าการลักพาตัวมาก็ย่อมได้ เด็กชาวป่าเหล่านี้ต้องพลัดพรากและถูกนำมาฝึกบนยอดเขาในพื้นที่ห่างไกล ส่วนการฝึกนั้น ยังเรียกว่าการฝึกไม่ได้ด้วยซ้ำ มันคือการทดสอบขีดจำกัดทางร่างกาย โดยการนำเด็กเหล่านั้นไปไว้บนยอดเขาไร้ทางหนีหรือทางออก ปล่อยให้อดอาหาร น้ำ ไม่ให้หลับหรือพักผ่อน ปล่อยร่างกายสู้กับโลกทั้งใบ และหากพวกเขารอดได้เกินหนึ่งเดือน จะถูกนำไปฝึกต่อในขั้นถัดไป
หลังจากที่พวกเขาฟื้นตัวและสามารถก้าวเดินต่อไปได้ เหล่าอาจารย์จะนำอาวุธหลากชนิดมาให้พวกเขาได้ฝึกใช้ การฝึกเป็นไปด้วยความรุนแรง โดยการทุบตีและต่อสู้นั้นเป็นของจริงแค่ไม่ถึงตาย ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาพร้อมสู้ใหม่ อาวุธเหล่านั้นอาจช่วยให้รอดชีวิตและพิชิตศัตรูได้ แต่มีเพียงผู้ที่โง่เขลาเท่านั้นที่คิดว่าอาวุธคือสิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่รอด การฝึกตนอย่างมีวินัยและการทำสมาธิเพื่อให้เกิดสมดุลนั่นคืออาวุธที่ทรงพลังกว่าอาวุธใดใดบนผืนดินนี้แล้ว
เหล่าพระนักบวชจะได้รับการฝึกฝนกระบวนท่าทั้งหก และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ และยังถูกฝึกร่างกายโดยการลงไปในหลุมของงูพิษทั้งสิบสองชนิด โดยจะไม่บอกผู้ฝึกว่าจะโยนเขาลงไป พวกเขายังได้รับการฝึกยุทธวิธีในการรบ ยกตัวอย่างการปิดล้อมเป็นต้น เหล่าพระนักบวชอาวุโสไม่จำเป็นต้องลงโทษเหล่าลูกศิษย์ของพวกเขา แม้มันจะเป็นความผิดพลาด พวกเขามักจะบอกและแนะนำทางที่ถูกที่ควรกระทำแทน
ในประวัติศาสตร์นั้นก็มีอยู่บ้าง ที่มีพระนักบวชหรือเหล่าลูกศิษย์บางคนที่ได้รับอนุญาตให้แยกตัวออกไปฝึกนอกอาราม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขาได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับมา เมื่อฝึกสำเร็จแล้วนำความสามารถเหล่านั้นมาแสดงให้กับเหล่าผู้ฝึกตน ผู้อาวุโส และปรมาจารย์ทั้งเก้าได้เห็น ว่ากันว่าผู้ที่ฝึกนอกอารามได้พบกับสัจธรรมมากมาย ที่มากกว่าคำสอน มันคือการหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับร่างกายกลายเป็นสิ่งที่เหล่าพระนักบวชเมื่อได้เห็นเกิดกลายเป็นความรู้แจ้งในศรัทธา
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป โลกใบนี้และผู้คนย่อมเปลี่ยนตาม สงคราม ความเชื่อ ศาสนาที่ต่างกัน ก่อให้เกิดการฆ่าฟันมากมายและที่แน่นอนว่าการล่มสลายย่อมมาถึง การล่มสลายของอาณาจักรของเหล่าพระนักบวชนั่นเอง...........
ปล.เสริมเรื่องของการเอาตัวมาฝึก เขาใช้คำว่า "taken" คือไปเอาตัวมาเลย ลักพามา จากพ่อและแม่ เอาเข้าจริงเด็กภูเขาพวกนี้ร้อยละเจ็ดสิบแปดสิบก็มักไม่ได้อยู่จนโต แต่ตายเพราะอดอาหาร ไม่ก็ถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย อย่างว่าล่ะนี่คนป่า การที่พระนักบวชไปลักมาก็อาจจะเป็นทางเลือกที่แม้ไม่ได้เลือกแต่ดีกว่าอยู่อย่างอดอยากและตาย ถึงการฝึกจะโหดกว่าความตายก็เถอะนะ
Diablo immortal Factions of Sanctuary -Monk-
กิจวัตรในทุกวันของพวกเขาคือการฝึกตน ฝึกฝน และการทำพิธีกรรมชำระกายทำให้พวกเขานั้นไร้ซึ่งการครอบงำที่มักกัดกินจิตใจภายในของมนุษย์ทุกคน การฝึกฝนของพวกเขาเป็นเหมือนดั่งเหล่าการฝึกในตำนาน มันคือการผ่านการทดสอบทั้งจิตใจและร่างกายจนรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นสมดุลในตัว พวกเขาสามารถต่อสู้โดยใช้แค่มือเปล่าหรือแม้กระทั้งใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ เหล่าพระนักบวชจะได้รับรอยสักตั้งแต่หลังคอลงไป ไล่ตามกระดูกสันหลัง เพื่อใช้เป็นการบอกเรื่องราวตั้งแต่นี้ไปจนกระทั้งพวกเขาสิ้นใจ เรื่องราวเหล่านั้นทวยเทพก็จะได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน เมื่อการฝึกสำเร็จที่หน้าผากจะได้รับรอยสักเพิ่มและเหนือคิ้วจะได้รับการเจิมวงกลมทั้งสองวง เพื่อเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของเทพเจ้าแห่งความสงบและเทพเจ้าแห่งความโกลาหล พระนักบวชส่วนใหญ่ยังโกนผมทั้งหัว เพื่อบ่งบอกถึงความเคร่งในศาสนาของพวกเขาด้วย
เหล่าพระนักบวชจะถูกฝึกฝนในอารามและไม่อนุญาตให้ออกนอกพื้นที่เด็ดขาด หรือหากใครที่ออกไปแล้วก็จะไม่ได้กลับมา หากกลับมาก็มีโอกาสที่จะถูกประหารเพราะฝ่าฝืนคำสั่ง หลังจากฝึกฝน พวกเขาจะได้รับสัญลักษณ์เพิ่ม เพื่อให้ตระหนักถึงศรัทธาของศาสนา ความไม่หยิ่งยโส ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความเห็นแก่ตนเอง และไม่มีความหวาดกลัว พวกเขาจะกลายเป็นผู้คงอยู่ ผู้ที่สำเร็จเสร็จวิชา ผู้ที่จะกลายเป็นเสาหลักของศาสนา การเตรียมตัวไม่ใช่แค่การฝึกฝนในอาราม แต่มันมี "Floating Sky Monastery" หรือการฝึกฝนบน "อารามเหนือฟ้า" ผู้ที่ผ่านการทดสอบมาได้จะกลายเป็นยิ่งกว่าพระนักบวชทั่วไป จะกลายเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น
Hierarchy ลำดับชั้นของเหล่านักบวช
Patriarch เหล่าปรมาจารย์ผู้นำสูงสุดทั้งเก้าของนิกาย
Master พระนักบวชผู้ฝึกสอนผู้อื่น
Elder Monk พระนักบวชอาวุโส
Monk พระนักบวช
Acolyte ลูกศิษย์
Novitiate สามเณร
Initiate ผู้ฝึกตน
เหล่าพระนักบวชรวมเจตจำนงของเหล่าทวยเทพทั้ง หนึ่งพันหนึ่งองค์ไว้และใช้มันค้ำยันศรัทธาที่จะนำพาพลังมาสู่พวกเขา มันเพิ่มความแข็งแกร่งและพลังทำลาย เหมือนดั่งเทพที่พวกเขานำมาสถิตในกระบวนท่าการต่อสู้อย่าง "Zaim" เทพแห่งขุนเขาที่มอบพลังทางกายให้คงกะพัน ยืนยง และ "Ytar" เทพแห่งสุริยันหรือเทพแห่งไฟ ผู้ให้พลังในการทำลายล้าง โดยพลังทั้งหมดมาจากร่างกายที่ฝึกฝนจนกลายเป็นดั่งเหล่าเทพในตำนานของพวกเขา
พลังและความสามารถที่โดดเด่นไม่ใช่แค่การทำลายและความคงทน แต่มันมีทั้งคลื่นแห่งการรักษา พลังโล่ศักสิทธ์ มนต์วิชาปกป้องตน การโจมตีโดยส่วนใหญ่ของพระนักบวชจะเป็นการต่อสู้รูปแบบระยะประชิด พวกเขาสามารถเสริมพลังเข้ากับฝ่ามือหรือหมัดและเท้าของพวกเขา ด้วยไฟ สายฟ้า หรือพลังศักสิทธ์ ที่ช่วยเพิ่มความเร็ว รุนแรง ทะลุทะลวง ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับสภาวะในร่างกายของพวกเขาเองด้วย การมีสมาธิและการรักษาสมดุลจึงเป็นเรื่องที่พระนักบวชทุกคนต้องตระหนักถึงมัน แม้ว่าสถานการณ์จะง่ายดายหรือยากเย็นก็ตาม พลังทั้งหมดนั้นสามารถล้มศัตรูได้ด้วยหมัดหรือการกวาดเตะภายในทีเดียว พลังที่แม้แต่การแยกกายจิตออกมาช่วยในการต่อสู้ก็ทำได้เช่นกัน
แต่ถึงแม้พวกเขาจะเป็นดั่งอาวุธที่มีชีวิต พวกเขายังได้รับการฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยอาวุธทุกรูปแบบ เพื่อการปรับเข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป เมื่อเสียเปรียบจะได้มีข้อได้เปรียบแก้ทางกันได้ พวกเขายังสามารถใช้อาวุธที่ติดตั้งในแขนทั้งสองข้างอย่าง "Katar" หรือสนับมีดที่ช่วยให้การต่อสู้จบได้เร็วมากขึ้น การต่อสู้โดยไม่ยืดเยื้อนั้นเป็นผลดีกับการต่อสู้ระยะประชิดเป็นอย่างมาก หรืออาวุธอย่าง "Daibo" กระบองเหล็กยาวที่สร้างพื้นที่ในการต่อสู้ระยะกลางได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่ง "Bow" ธนูก็ถูกใช้งานบางครั้งแต่มันก็ไม่เป็นที่นิยมด้วยระยะที่ไกลเกินไปไม่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิดที่พวกเขาถนัด
ในส่วนของเกราะของเหล่าพระนักบวชนั้น เริ่มแรกจากการฝึกชุดที่เรียกว่าเกราะของพวกเขาจะถูกทำมาด้วยหินที่สามารถหาได้ทั่วไป นำมาถักจนเป็นชุดที่ดูไม่เหมือนเกราะด้วยซ้ำด้วยสภาพของมันจึงไม่ค่อยได้ช่วยพวกเขาในการปกป้องร่างกายเท่าไหร่ในการต่อสู้ ต่อมาหากพวกเขาฝึกฝนจนบรรลุการเป็นพระนักรบจะได้รับการสอนการสร้างชุดเกราะจากเงิน และเงินเหล่านั้นจะถูกสนับสนุนโดยเหล่าผู้อาวุโสในนิกาย เพื่อเป็นการยกระดับการป้องกันของเหล่าพระนักรบด้วยแล้ว ยังเป็นเครื่องยืนยันตนเองในการเป็นผู้บรรลุการฝึกฝนอีกด้วย แม้ชุดเหล่านี้จะไม่ได้มีลวดลายที่สวยงาม มีสีที่ไม่สดใสแถมซีดเซียว แต่พวกมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการออกท่วงท่า ใบมีดที่สนับจะคมมากขึ้น การเคลื่อนไหวรวดเร็ว มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในการทำชุดเกราะจากเงินขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ร่างกายของพวกเขาก็คือเกราะชั้นดีอีกหนึ่งอย่างเลยก็ว่าได้ และเหล่าพระนักบวชยังเรียนรู้ศาสตร์ในการรักษาอีกด้วย
การฝึกฝนของเหล่าพระนักบวชนั้น เริ่มจากการที่พวกเขา นำตัวเด็กน้อยจากหุบเขา "Gorgorra" ที่เป็นป่าติดกับชายแดนของอาณาจักรอื่น หรือจะเรียกว่าการลักพาตัวมาก็ย่อมได้ เด็กชาวป่าเหล่านี้ต้องพลัดพรากและถูกนำมาฝึกบนยอดเขาในพื้นที่ห่างไกล ส่วนการฝึกนั้น ยังเรียกว่าการฝึกไม่ได้ด้วยซ้ำ มันคือการทดสอบขีดจำกัดทางร่างกาย โดยการนำเด็กเหล่านั้นไปไว้บนยอดเขาไร้ทางหนีหรือทางออก ปล่อยให้อดอาหาร น้ำ ไม่ให้หลับหรือพักผ่อน ปล่อยร่างกายสู้กับโลกทั้งใบ และหากพวกเขารอดได้เกินหนึ่งเดือน จะถูกนำไปฝึกต่อในขั้นถัดไป
หลังจากที่พวกเขาฟื้นตัวและสามารถก้าวเดินต่อไปได้ เหล่าอาจารย์จะนำอาวุธหลากชนิดมาให้พวกเขาได้ฝึกใช้ การฝึกเป็นไปด้วยความรุนแรง โดยการทุบตีและต่อสู้นั้นเป็นของจริงแค่ไม่ถึงตาย ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาพร้อมสู้ใหม่ อาวุธเหล่านั้นอาจช่วยให้รอดชีวิตและพิชิตศัตรูได้ แต่มีเพียงผู้ที่โง่เขลาเท่านั้นที่คิดว่าอาวุธคือสิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่รอด การฝึกตนอย่างมีวินัยและการทำสมาธิเพื่อให้เกิดสมดุลนั่นคืออาวุธที่ทรงพลังกว่าอาวุธใดใดบนผืนดินนี้แล้ว
เหล่าพระนักบวชจะได้รับการฝึกฝนกระบวนท่าทั้งหก และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ และยังถูกฝึกร่างกายโดยการลงไปในหลุมของงูพิษทั้งสิบสองชนิด โดยจะไม่บอกผู้ฝึกว่าจะโยนเขาลงไป พวกเขายังได้รับการฝึกยุทธวิธีในการรบ ยกตัวอย่างการปิดล้อมเป็นต้น เหล่าพระนักบวชอาวุโสไม่จำเป็นต้องลงโทษเหล่าลูกศิษย์ของพวกเขา แม้มันจะเป็นความผิดพลาด พวกเขามักจะบอกและแนะนำทางที่ถูกที่ควรกระทำแทน
ในประวัติศาสตร์นั้นก็มีอยู่บ้าง ที่มีพระนักบวชหรือเหล่าลูกศิษย์บางคนที่ได้รับอนุญาตให้แยกตัวออกไปฝึกนอกอาราม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขาได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับมา เมื่อฝึกสำเร็จแล้วนำความสามารถเหล่านั้นมาแสดงให้กับเหล่าผู้ฝึกตน ผู้อาวุโส และปรมาจารย์ทั้งเก้าได้เห็น ว่ากันว่าผู้ที่ฝึกนอกอารามได้พบกับสัจธรรมมากมาย ที่มากกว่าคำสอน มันคือการหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับร่างกายกลายเป็นสิ่งที่เหล่าพระนักบวชเมื่อได้เห็นเกิดกลายเป็นความรู้แจ้งในศรัทธา
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป โลกใบนี้และผู้คนย่อมเปลี่ยนตาม สงคราม ความเชื่อ ศาสนาที่ต่างกัน ก่อให้เกิดการฆ่าฟันมากมายและที่แน่นอนว่าการล่มสลายย่อมมาถึง การล่มสลายของอาณาจักรของเหล่าพระนักบวชนั่นเอง...........
ปล.เสริมเรื่องของการเอาตัวมาฝึก เขาใช้คำว่า "taken" คือไปเอาตัวมาเลย ลักพามา จากพ่อและแม่ เอาเข้าจริงเด็กภูเขาพวกนี้ร้อยละเจ็ดสิบแปดสิบก็มักไม่ได้อยู่จนโต แต่ตายเพราะอดอาหาร ไม่ก็ถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย อย่างว่าล่ะนี่คนป่า การที่พระนักบวชไปลักมาก็อาจจะเป็นทางเลือกที่แม้ไม่ได้เลือกแต่ดีกว่าอยู่อย่างอดอยากและตาย ถึงการฝึกจะโหดกว่าความตายก็เถอะนะ