สวัสดีเพื่อๆ สมาชิกทุกๆท่าน
ผมมีเรื่องราว ประสบการณ์สุดพิเศษ มาเล่าสู่กันฟัง ครั้งนึง!! ได้เข้าไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ที่เป็นโรงงานเก่าแก่ ถ้านับถึงปัจจุบันก็ 40 กว่าปี .... มีพนักงานมากมาย ... โดยได้เข้าไปทำงานใน ฐานะ Area Supevisor มีหน้าที่ดูแล และ กระตุ้นยอดขาย พนักงานขาย ในโซนที่ตัวเองดูแล (โดยโซนที่ดูแล จะเป็นโซนที่มียอดขายติดอันดับ 1 แทบตลอด) โดยโซนที่ดูแลจะมีทั้งพนักงานขายใหม่ๆ และ พนักงานขายเก่าๆ ที่อายุงานมากกว่า 10 ปี หลายคน
และต่อจากนี้ ก็จะเป็นประสบการณ์การทำงาน ที่เหมือนจะดี และ ราบรื่น ไปในทุกๆอย่าง ทั้งเงินเดือน ค่าคอม และ สวัสดิการ แต่แล้วหลังจากทำงานมาได้ปีกว่าๆ ทุกอย่างก็ดูเหมือนปกติ
จนกระทั่ง ฝ่ายบัญชี ได้เริ่มมีการติดตามทวงถาม ยอดขายในบางสาขา ว่ายังไม่มียอดโอนเข้ามา (โดยปกติ พนักงานขาย แต่ละสาขาจะเป็นคนโอนเงินสดเข้าบัญชีบริษัทฯเองในแต่ละวัน) จึงได้มีการสอบถามไปทางพนักงานขาย ที่ยังไม่ได้โอนยอด ก็จะแจ้งกลับมาว่าจะโอนให้วันถัดไป เป็นต้น
หลังจากนั้น ก็เหมือนเป็นเรื่องปกติ โอนเร็วมั้ง โอนช้ามั้ง ทางบริษัท ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมียอดโอนเข้าตลอด และ ยอดขายยังคงเป็นที่ 1 ในเกือบทุกๆเดือน และ ไตรมาศนั้นๆ
และในทุกๆเดือน ก็จะมีการลงไปตรวจเช็ค และ ตรวจสอบสินค้าในแต่ละสาขา หรือ พูดง่ายๆ คือเช็ค Stock โดยในการเช็ค Stock ก็จะเช็คจากสินค้าคงเหลือสาขา เปรียบเทียบกับรับมา ขายไป แต่มีบางสาขา โดยเฉพาะสาขา ที่มีพนักงานขายรุ่นเก่าๆ ที่อยู่มามากกว่า 10 ปี
ด้วยความที่ เรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ หรือ พูดง่ายคือเราโง่เอง พอเราเช็ค Stock ก็ได้พบว่า สินค้าไม่มีที่หน้าร้าน พบเพียงป้ายราคา แต่ ไม่มีสินค้า โดยทางพนักงานขาย อ้างว่า ได้นำสินค้าไปกระจายขายบางจุด เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายให้ตัวเอง โดยฝากคนอื่นช่วยขายให้ และ เมื่อขายได้ ก็จะโอนค่าสินค้ากลับมาให้ โดยสาขาดังกล่าว ส่วนมากจะติดอันดับ 1 - 3 ในทุกๆเดือนเช่นกัน ด้วยความที่พนักงานขายท่านนั้น ทำงานกับมาบริษัทมากกว่า 10 ปี ถือว่าเป็นคนเก่า คนแก่ของบริษัทฯ เราจึงเชื่อในสิ่งที่เค้าพูดและกระทำมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว มีด้วยกัน 2 สาขา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทางบริษัทฯ ได้เรียกเรา และ พนักงานขายทั้ง 2 ท่าน เข้ามาที่บริษัทฯ ทางบริษัท แจ้งว่าได้พบการทุจริต และ การยักยอกสินค้า โดยการนำสินค้าบางส่วนไปขาย และ ไม่ได้นำเงินโอนให้บริษัทฯ
ซึ่งเราได้ยินเช่นนั้น เราตกใจมาก และก็เห็นว่าพนักงานขายแต่ละคน ก็ทำการแจ้งยอดขาย และ โอนยอดขายในแต่ละวันเข้าบริษัทในทุกๆวัน
จากการถูกเรียกเข้าบริษัท วันนั้น! ทางบริษัท ให้เรา และ พนักงานขายอีก 2 คน เขียนใบลาออก และ ให้เขึยนใบรับสารภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพนักงานขายได้ยอมรับว่าได้กระทำความผิดจริง และ ได้นำเงินที่เอาสินค้าไปขาย ไปใช้จ่ายส่วนตัว
ส่วนตัวเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเงินเลยสักบาทเดียว แต่เราก็แจ้งทางบริษัทว่า พนักงานขายได้บอกว่าได้นำสินค้าไปเพิ่มจุดขายเท่านั้น โดยบริษัท ยืนยันกับเราว่า จะให้เราเป็นพยาน เพราะบริษัท เห็นว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องลักทรัพย์ แต่เป็นเพียงผู้ถูกหลอกใช้เช่นกัน
จนกระทั่ง บริษัทได้แจ้งว่า ได้ดำเนินการฟ้องศาล ในคดีแพ่งและอาญา ในข้อหาร่วมกันยักยอกทรัพย์ โดยตัวเรากลายเป็นจำเลยที่ 2 ในทั้ง 2 เคส ก็คือ พนักงานขายคนที่ 1 ได้มีการยักยอกไป มูลค่า ล้านกว่าบาท (จำเลยที่1) /// พนักงานขายคนที่ 2 ได้มีกาารยักยอกทรัพย์ไป มูลค่า สี่แสนกว่าบาท (จำเลยที่ 1) ///// ส่วนตัวเรากลายเป็น จำเลยที่ 2 ทั้ง 2 คดี
จากกรณีดังกล่าว พนักงานขาย ทั้ง 2 ท่าน ยืนยันเสมอว่า เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเงินทั้งสิ้น เป็นเพียงเป็นการหลอกใช้เท่านั้น //// ซึ่งจริงๆ ทางเจ้าของบริษัท ก็รับทราบ ทางทนายของ บริษัท ก็รับทราบ จากที่บอกว่าจะกันไว้เป็นพยาน สุดท้ายกลายเป็นจำเลยที่ 2 และ ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ..... แต่จำเลยที่ 1 แจ้งว่าจะเป็นผู้ผ่อนชำระเอง แต่เพียงผู้เดียว แต่ในรูปคดี ดันระบุว่าต้องร่วมกันชดใช้ด้วย โดยจำเลยที่ 1 ก็มีการจ่ายมั้ง ไม่จ่ายมั้ง จนศาลก็ได้เตือนและข่มขู่หลายๆครั้ง ..... โดยส่วนตัวเราก็มีภาระที่ต้องดูแลที่บ้านก็เยอะในเรื่องค่าใช้จ่าย
ด้วยความที่ไม่รู้กฏหมาย ซึ่งมีทนายเคยบอกว่า กรณีดังกล่าว ถ้าเราถูกกล่าวหา และ หลอกใช้เป็นเครื่องมือ เราควรปฏิเสธเบื้องต้นในชั้นไกล่เกลี่ยตั้งแต่แรก เราไม่ควรรับสภาพ เพื่อเข้าสู่กระบวนการปัจจุบัน
......... จากเรื่องและเหตุการณ์ดังกล่าว อยากฝากเดือนทุกๆท่านนะครับ ว่าเราไม่ควรไว้ใจใครทั้งนั้น ถึงแม้เค้าจะเป็นคนเก่า คนแก่ แค่ไหนในที่ทำงาน เพราะอาจจะตกเป็นเครื่องมือในการหลอกใช้ได้
......... ทุกวันนี้ ก็ต้องไปขึ้นศาลตามนัด และ ก็ต้องลุ้นว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระยอดเข้ามาบ้างหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ และ ชอบมาชำระวันจะขึ้นศาลเสมอ
ฝากเตือน!! ความไม่รู้กฏหมาย ความไม่ทันคน ก็ต้องรับกรรมร่วมด้วย
ผมมีเรื่องราว ประสบการณ์สุดพิเศษ มาเล่าสู่กันฟัง ครั้งนึง!! ได้เข้าไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ที่เป็นโรงงานเก่าแก่ ถ้านับถึงปัจจุบันก็ 40 กว่าปี .... มีพนักงานมากมาย ... โดยได้เข้าไปทำงานใน ฐานะ Area Supevisor มีหน้าที่ดูแล และ กระตุ้นยอดขาย พนักงานขาย ในโซนที่ตัวเองดูแล (โดยโซนที่ดูแล จะเป็นโซนที่มียอดขายติดอันดับ 1 แทบตลอด) โดยโซนที่ดูแลจะมีทั้งพนักงานขายใหม่ๆ และ พนักงานขายเก่าๆ ที่อายุงานมากกว่า 10 ปี หลายคน
และต่อจากนี้ ก็จะเป็นประสบการณ์การทำงาน ที่เหมือนจะดี และ ราบรื่น ไปในทุกๆอย่าง ทั้งเงินเดือน ค่าคอม และ สวัสดิการ แต่แล้วหลังจากทำงานมาได้ปีกว่าๆ ทุกอย่างก็ดูเหมือนปกติ
จนกระทั่ง ฝ่ายบัญชี ได้เริ่มมีการติดตามทวงถาม ยอดขายในบางสาขา ว่ายังไม่มียอดโอนเข้ามา (โดยปกติ พนักงานขาย แต่ละสาขาจะเป็นคนโอนเงินสดเข้าบัญชีบริษัทฯเองในแต่ละวัน) จึงได้มีการสอบถามไปทางพนักงานขาย ที่ยังไม่ได้โอนยอด ก็จะแจ้งกลับมาว่าจะโอนให้วันถัดไป เป็นต้น
หลังจากนั้น ก็เหมือนเป็นเรื่องปกติ โอนเร็วมั้ง โอนช้ามั้ง ทางบริษัท ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมียอดโอนเข้าตลอด และ ยอดขายยังคงเป็นที่ 1 ในเกือบทุกๆเดือน และ ไตรมาศนั้นๆ
และในทุกๆเดือน ก็จะมีการลงไปตรวจเช็ค และ ตรวจสอบสินค้าในแต่ละสาขา หรือ พูดง่ายๆ คือเช็ค Stock โดยในการเช็ค Stock ก็จะเช็คจากสินค้าคงเหลือสาขา เปรียบเทียบกับรับมา ขายไป แต่มีบางสาขา โดยเฉพาะสาขา ที่มีพนักงานขายรุ่นเก่าๆ ที่อยู่มามากกว่า 10 ปี
ด้วยความที่ เรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ หรือ พูดง่ายคือเราโง่เอง พอเราเช็ค Stock ก็ได้พบว่า สินค้าไม่มีที่หน้าร้าน พบเพียงป้ายราคา แต่ ไม่มีสินค้า โดยทางพนักงานขาย อ้างว่า ได้นำสินค้าไปกระจายขายบางจุด เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายให้ตัวเอง โดยฝากคนอื่นช่วยขายให้ และ เมื่อขายได้ ก็จะโอนค่าสินค้ากลับมาให้ โดยสาขาดังกล่าว ส่วนมากจะติดอันดับ 1 - 3 ในทุกๆเดือนเช่นกัน ด้วยความที่พนักงานขายท่านนั้น ทำงานกับมาบริษัทมากกว่า 10 ปี ถือว่าเป็นคนเก่า คนแก่ของบริษัทฯ เราจึงเชื่อในสิ่งที่เค้าพูดและกระทำมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว มีด้วยกัน 2 สาขา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทางบริษัทฯ ได้เรียกเรา และ พนักงานขายทั้ง 2 ท่าน เข้ามาที่บริษัทฯ ทางบริษัท แจ้งว่าได้พบการทุจริต และ การยักยอกสินค้า โดยการนำสินค้าบางส่วนไปขาย และ ไม่ได้นำเงินโอนให้บริษัทฯ
ซึ่งเราได้ยินเช่นนั้น เราตกใจมาก และก็เห็นว่าพนักงานขายแต่ละคน ก็ทำการแจ้งยอดขาย และ โอนยอดขายในแต่ละวันเข้าบริษัทในทุกๆวัน
จากการถูกเรียกเข้าบริษัท วันนั้น! ทางบริษัท ให้เรา และ พนักงานขายอีก 2 คน เขียนใบลาออก และ ให้เขึยนใบรับสารภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพนักงานขายได้ยอมรับว่าได้กระทำความผิดจริง และ ได้นำเงินที่เอาสินค้าไปขาย ไปใช้จ่ายส่วนตัว
ส่วนตัวเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเงินเลยสักบาทเดียว แต่เราก็แจ้งทางบริษัทว่า พนักงานขายได้บอกว่าได้นำสินค้าไปเพิ่มจุดขายเท่านั้น โดยบริษัท ยืนยันกับเราว่า จะให้เราเป็นพยาน เพราะบริษัท เห็นว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องลักทรัพย์ แต่เป็นเพียงผู้ถูกหลอกใช้เช่นกัน
จนกระทั่ง บริษัทได้แจ้งว่า ได้ดำเนินการฟ้องศาล ในคดีแพ่งและอาญา ในข้อหาร่วมกันยักยอกทรัพย์ โดยตัวเรากลายเป็นจำเลยที่ 2 ในทั้ง 2 เคส ก็คือ พนักงานขายคนที่ 1 ได้มีการยักยอกไป มูลค่า ล้านกว่าบาท (จำเลยที่1) /// พนักงานขายคนที่ 2 ได้มีกาารยักยอกทรัพย์ไป มูลค่า สี่แสนกว่าบาท (จำเลยที่ 1) ///// ส่วนตัวเรากลายเป็น จำเลยที่ 2 ทั้ง 2 คดี
จากกรณีดังกล่าว พนักงานขาย ทั้ง 2 ท่าน ยืนยันเสมอว่า เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเงินทั้งสิ้น เป็นเพียงเป็นการหลอกใช้เท่านั้น //// ซึ่งจริงๆ ทางเจ้าของบริษัท ก็รับทราบ ทางทนายของ บริษัท ก็รับทราบ จากที่บอกว่าจะกันไว้เป็นพยาน สุดท้ายกลายเป็นจำเลยที่ 2 และ ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ..... แต่จำเลยที่ 1 แจ้งว่าจะเป็นผู้ผ่อนชำระเอง แต่เพียงผู้เดียว แต่ในรูปคดี ดันระบุว่าต้องร่วมกันชดใช้ด้วย โดยจำเลยที่ 1 ก็มีการจ่ายมั้ง ไม่จ่ายมั้ง จนศาลก็ได้เตือนและข่มขู่หลายๆครั้ง ..... โดยส่วนตัวเราก็มีภาระที่ต้องดูแลที่บ้านก็เยอะในเรื่องค่าใช้จ่าย
ด้วยความที่ไม่รู้กฏหมาย ซึ่งมีทนายเคยบอกว่า กรณีดังกล่าว ถ้าเราถูกกล่าวหา และ หลอกใช้เป็นเครื่องมือ เราควรปฏิเสธเบื้องต้นในชั้นไกล่เกลี่ยตั้งแต่แรก เราไม่ควรรับสภาพ เพื่อเข้าสู่กระบวนการปัจจุบัน
......... จากเรื่องและเหตุการณ์ดังกล่าว อยากฝากเดือนทุกๆท่านนะครับ ว่าเราไม่ควรไว้ใจใครทั้งนั้น ถึงแม้เค้าจะเป็นคนเก่า คนแก่ แค่ไหนในที่ทำงาน เพราะอาจจะตกเป็นเครื่องมือในการหลอกใช้ได้
......... ทุกวันนี้ ก็ต้องไปขึ้นศาลตามนัด และ ก็ต้องลุ้นว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระยอดเข้ามาบ้างหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ และ ชอบมาชำระวันจะขึ้นศาลเสมอ