ตะกร้า/น้า 篮 ของแม่ (ปฐมบท)

.

.
ตระกร้า/น้า 篮
.
.

ข้อตกลงเบื้องต้น

เรื่องเล่าของแม่ เขียนจากความทรงจำเก่า ๆ
บางทีก็หลงลืม จะกลับมาปรับแก้ไขใหม่
เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของคนสูงวัย
คำบางคำไม่ใช่การ Bully คำเหยียด
แต่เป็นภาษาพูดกันของคนผ่านยุค 0.04
ไม่ใช่ยุค 4.0-6.0 หรือยุค Woke
ความผิดพลาดเป็นของ จขกท. แต่ผู้เดียว
.
.

วันที่ไปนั่งร้านโกปี้ ที่นครศรีธรรมราช
เห็นตะกร้าสานไม้ไผ่แบบคนจีน
วางขายอยู่ด้านบนร้านค้าแห่งนั้น
ภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็หวนกลับมา
แบบการดูดความจำจากอ่างความจำ
Pensieve ใน Harry Porter

จำได้ในวันนั้น วันหนึ่งในอดีต
ช่วงจขกท. ยังเรียนระดับมัธยมต้น
ได้ถามแม่ว่า ตะกร้าบนชั้นลอย
วางอยู่บนฝาปิดบ่อพักน้ำ
ที่สูบน้ำบาดาลขึ้นจากใต้ดิน
แต่เลิกใช้แล้วเพราะใช้น้ำประปา

ในอดีต หาดใหญ่จะมีบ่อน้ำหลายบ้าน
เพราะประปายังเข้าไม่ถึง ถึงก็แพง
และบ่อน้ำคือ ตู้นิรภัย ชั้นยอดของคน
เวลาไฟไฟม้บ้าน ก็จะโยนข้าวของ
ลงไปในบ่อน้ำ แทนการอุ้มออกไป
มีโอกาสหายและถูกขโมยไป
ที่ ตู้นิรภ้ยที่หาดใหญ่

ตะกร้าของแม่ใบนี้ชำรุดหลายจุด
ไม้ไผ่ที่สานก็ขาดหายไป
พร้อมกับฝุ่นผงจับอยู่ตามตะกร้า
แม่ มองที่ตะกร้าแล้วอึ้งไปสักพัก
ก่อนตัดสินใจบอกว่า ทิ้งได้เลย
ผมจึงนำไปทิ้งที่ถังขยะหลังบ้าน
ก่อนที่ ลุงถิง คนเก็บขยะหลังบ้าน
จะนำไป Reuse Recycle ต่อไป
ชายชราชาวไทย ลุงถิง
.
.

ตะกร้าใบนี้มีความผูกพันกับแม่มาก
หอบหิ้วมาจากเมืองจีนถึงสยาม
และใช้งานสำคัญต่าง ๆ ของที่บ้าน
ใส่ข้าวของไปไหว้เจ้า ศาลเจ้าจีน
ซึ่งผมก็ติดตามแม่ไปหลายครั้ง
แลกเปลี่ยนข้าวของวันตรุษจีน สาร์ทจีน

แต่เมื่อถิงเวลาที่ต้องลาจาก
ตามกฎอนิจจัง สังขารา
ไม่จากเป็น ก็จากตาย เป็นเรื่องธรรมดา
เหลือไว้แต่ความทรงจำคนข้างหลัง
.
.

แม่เล่าว่า พ่อจริงแซ่อึ้ง
หลังจากแม่เกิดไม่นานนัก
แม่ก็กำพร้าทั้งแม่กับพ่อ(ตายไปก่อน)
แม่จึงกลายเป็นลูกเลี้ยงของพี่สาวของแม่
แม่จึงใช้แซ่โง๊ว ตามแซ่พ่อบุญธรรม
คนจีนบอกว่า เลือดเนื้อของคนแซ่โง๊ว
จิญวิญญานของคนแซ่อึ้ง
ต้องกตัญญูคนแซ่โง๊ว
มากกว่าเป็นธรรมดา

ต่อมา ไม่นานพ่อแม่บุญธรรม
ก็มีน้องสาวสองคนตามมา
เลยต้องรับเลี้ยงลูกบุญธรรมผู้ชายอีกคน
เพราะในอดีต พิธีศพคนจีน
ต้องมีลูกชายหรือหลานชาย
ถือกระถางธูปนำหน้าศพพ่อแม่
ครอบครัวไหนไม่มีลูกชาย
จัดว่าเป็นแม่ไก่ไร้ไข่ เปล่าประโยชน์

ธรรมเนียมนี้ในหาดใหญ่แต่เดิมยังมีอยู่
บางครอบครัวต้องนำเด็กชายทมิฬ
ตัวดำปิ๊ดปี๋มาเลี้ยงไว้เป็นลูกชาย
เด็กพวกนี้พูดภาษาจีนแต้จิ๋วคล่องปื๋อเลย
.
.

การที่พ่อแม่บุญธรรมของแม่
มีลูกสาวอีกสองคนตามมา

เรื่องลูกอิจฉาเป็นเรื่องจริงในสังคมไทย/จีน
เพราะพอรับเลี้ยงลูกบุญธรรมไว้สักพัก
ฮอร์โมนความแม่จะกระตุ้นการตกไข่
ทำให้อยากเป็นแม่คนมากขึ้นกว่าเดิมมาก

ครอบครัวอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่ง
ทั้งคู่ยกลูกชายคนหนึ่งในบ้าน
ให้เป็นลูกบุญธรรมอดีตรมต.(คนสงขลา)
ต่อมา ไม่นานครอบครัวนี้ก็มีลูกชายตามมา
แต่ก็ยังรักและเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
ส่งเสียเลี้ยงดูจนจบจากออสเตรเลีย
พร้อมมอบมรดกให้จำนวนหนึ่ง
.
.

ทวดที่เมืองจีน
หลังจากเลิกร้านทองในบางกอก
(ลูกพี่ลูกน้องท่านยังมีร้านค้าอยู่ใน กทม.
แต่ขาดการติดต่อ ญาติห่างไกลแพ้ Buddy)
ท่านหอบหิ้วเมียคนไทยกลับเมืองจีนด้วย
ตัวดำปี๊ดปี๋ ชอบนุ่งผ้ากระโจมอก
แล้วลงว่ายน้ำในลำธารแถวบ้าน
กับชอบกินพริก (วัชพืช/ยา) แถวซัวเถา
เป็นพฤติกรรมที่แปลกมากในยุคนั้น

แม่เล่าว่า ทวดอยู่ไม่ติดร้าน
ในวันตรุษจีนจะไปเล่นสีซอจีน 7 วัน 7 คืน
ไปกับคณะดนตรีของมูลนิธิปอเต๊กตึ้ง
เพื่อตระเวณเล่นดนตรีในบ้านคนมีตังค์(เงิน)
เล่นเพลงจีนให้ 1 เพลงก็รับเงินบริจาคให้มูลนิธิ
บ้านไหนคณะดนตรีนี้เข้า ถือว่ามีหน้ามีตา
ได้ทั้งทำบุญ ได้ทั้งคำอวยพรในวันตรุษจีน
(คณะดนตรีมูลนิธิเซี่ยงตึ้งหาดใหญ่ก็เคยมี
แต่ร้างราหายไป เพราะนักดนตรีชราภาพ)
หลังจบกิจกรรมคณะดนตรี 7 วัน 7 คืน
ทวดก็กลับมาแบบเสื้อผ้าชุดเดิม
หน้าตาอิดโรย นอนยาวทั้งวันทั้งคืน
ย่าทวดคนไทยก็ไม่ว่าไหรสักคำ
Serve ข้าว Serve น้ำ ตามกิจวัตรประจำวัน

ย่าทวดคนไทยอยู่ซัวเถา/จีน เหงาจัด
เลยพาพ่อไปอุ้มชูเลี้ยงดูเหมือนลูก
พ่อเป็นลูกคนสุดท้อง ในจำนวน 4 คนพี่น้อง
มีพี่ชาย พี่สาว และน้องสาว

ไม่นานนัก ย่าทวดคนไทยก็ตั้งท้อง
คลอดลูกชายออกมาอายุน้อยกว่าพ่อ 5-7 ปี
คนแถวนั้นเรียกหยอกเย้าว่า บ่าบ๋า
ลูกครึ่ง หรือ  ฮวนนั้งเกี้ย (ลูกคนป่าคนดง)
แต่พ่อให้ความเคารพลูกชายย่าทวดไทย
เรียก อา(เจ็ก)ทุกครั้งทั้งที่เมืองจีน/เมืองไทย
 
ย่าทวดรักพ่อมากแม้ว่าจะมีลูกแล้ว
ยังเลี้ยงดูและให้ข้าวของพ่อเป็นประจำ
ตอนพ่อมาทำงานที่ไทยหลายปีแล้ว
ย่าทวดไทยตายและฝังที่เมืองจีน
มาเข้าฝันพ่อติดต่อกัน 3 วันว่า หิว
พ่อจึงต้องไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัด
และที่บ้านจะวางถ้วยข้าวไหว้
ทวด กับ เมีย 2 คน (จีน กับ ไทย)
ปู่ กับ ย่า (ถ้วยข้าว 5 ถ้วยสืบต่อกันมา)

พ่อเคยเจอพี่สาวย่าทวดคนไทย
หน้าโรงหนังแห่งหนึ่งที่สระบุรี
ตอนเดินทางไปทำงานที่ลพบุรี
แวะพักค้างคืนที่สระรี 1 คืนก่อนไปที่นั่น
ที่จำได้เพราะพ่อเคยไปหาแกตอนหนุ่ม ๆ

พี่ชายที่ไปกับพ่อเล่าให้ฟังว่า
พี่สาวย่าทวดตัวดำแบบคนไทย
ครอบครัวย่าทวดคนไทยมีอาชีพชาวนา
กับค่อนข้างนักเลงในยุคนั้น 
ไม่แน่ใจว่าเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือไม่

พี่สาวย่าทวดใส่เสื้อคอกะเช้าสีขาว
ห้อยสร้อยทองเส้นเบอเร่อ
นั่งอยู่ที่หน้าบ้านติดกับโรงหนัง
บ่งบอกถึงบารมี/ลูกหลานเยอะ
เลยนั่งได้แบบบายใจไม่มีใครกล้ากวนใจ
พ่อกับพี่ชายเข้าไปเยี่ยมเยือนทักทาย

ต่อมาขาดการติดต่อห่างหายไป
เพราะยุค Analog 0.04 การติดต่อสื่อสาร
ทำได้แค่จดหมาย โทรเลข ส่วนใหญ่
โทรศัพท์พื้นฐานเป็นอะไรที่เกินเอื้อม
มีการเซ้งกันหลักหมื่น หลักแสน ในบางแห่ง
ทุกวันนี้ ไล่แจกฟรี ยังไม่มีใครอยากเอา
.

.
พ่อให้ความเคารพอา (เจ็ก)
ถ้าพี่น้องผมต้องเรียก เลาเจ็ก หรือ ปู่น้อย
ทุกครั้งที่เจอทึ่บ้านทึ่หาดใหญ่
ปู่มักมาเยี่ยมเยือนแวะพักเวลามาหาดใหญ่
ปู่จะชอบเย้าแหย่พ่อเหมือนคนอายุน้อยกว่า
ทั้งที่พ่ออายุมากกว่าปู่ 5-7 ปีก็ตาม
คนจีนมีธรรมเนียมให้ความเคารพตามศักดิ์
ไม่เกี่ยวกับอายุมากหรืออายุน้อย

รุ่นผมถ้าอยู่เมืองจีนก็รุ่น ทวด ปู่
เพราะคนในหมู่บ้านที่นับญาติกัน
รุ่นพี่ชายพี่สาวของพ่อกับแม่
มีลูกหลานเหลนหลายคนแล้ว
เพราะพ่อกับแม่แต่งงานช้า
และมีลูกจัดว่าช้าถ้าเทียบกับเมืองจีน

ปู่น้อยมาสอนหนังสือจีนที่รือเสาะ
แต่งงานกับแม่ม่ายสาวมุสลิม ตัวดำปี๊ดปี๋
มีลูกสาวติดมาหนึ่งคน
แต่ครอบครัวสามีเก่าพาไปเลี้ยง

ปู่น้อยไม่ยอมเข้าแขก ยังกินหมู ไหว้เจ้า
ย่าน้อย(เลาซิ่ม) ก็ตามใจ เพราะรักซะอย่าง
อยู่กันแบบ Convert ทางใครทางมัน
ศาสนาใครจะนับถือ ทำพิธีอย่างไรก็ไม่ว่ากัน
ทั้งยังเตรียมข้าวของไหว้เจ้าให้ปู่น้อย
ย่าน้อยกลับไปทำหน้าที่มุสลิมที่ดี
หลังจากปู่น้อยเสียชีวิตที่สงขลา
แล้วทำพิธีฌาปนกิจศพ
ลอยอังคารในทะเล

ทั้งสองคนรักกันมากมีลูกชายหนึ่งคน
หน้าตาดีแบบลูกครึ่ง ตาโต คมเข้มแบบแขก
ผิวออกคล้ำแบบคนใต้แถวบ้าน
รุ่นผมต้องเรียกแกว่า เจ็ก(อา)
อาเป็นคนเจ้าชู้หลายเมีย หลายลูก
อามีลูกสาวคนหนึ่ง ผิวดำแบบคนใต้
หน้าคม กับเคยเป็นดาราช่อง 7

ตอนนี้กลับมาช่วยแม่ทำสวนที่นาทวี
แถวนั้นเป็นเขตอิทธิพรรคคอมมี่มลายู
อยู่ไม่ห่างจากอุโมงค์เขาน้ำค้าง
ระยะทางราว 4-5 กิโลเมตร

ผมไปเยี่ยมน้องสาวคนนี้หลายครั้ง
ถามว่ามีเหตุร้ายอะไรบ้างแถวนี้
แกบอกสงบเงียบดี ไม่มีโจรภัย
เพราะคอมมี่ถึงจะรายงานตัว/วางอาวุธ
แต่ก็ยังมีหยบซ่อนไว้จำนวนหนึ่ง
ข้อสำคัญพวกนี้ดู ชรา ๆ เซื่อง ๆ 
แต่เสือก็คือ เสือ ยิงปืนแม่นมาก
ความดุร้ายกับความโหดสัตว์ยังมีอยู่
.

.
ที่เมืองจีน ปู่เป็นครูในหมู่บ้าน
กับเตรียมสอบเป็นขุนนางจีน
เพราะสอบได้ขั้นซิ่วไฉของหมู่บ้าน

ปู่เคยมาทำงานที่เมืองไทยราว 1 ปี
ที่สยามตรีเพชร ในยุคอดีตทำบัญชีแบบจีน
พร้อมกับพาลุงมาอยู่กับทวด
ทำให้ลุงอ่านออกเขียนภาษาไทยได้
แบบนักเรียนไม่เกินชั้นประถมปีที่ 4
ส่วนพ่อมาเมืองไทยหลังจากนั้นอีกหลายปี
ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายปีเช่นกัน

แม่ชอบบอกว่า 
การเป็นขุนนางเป็นเรื่องของบุญวาสนา
โชคชะตาฟ้าลิขิต ถ้าจะได้เป็นก็ได้เป็น
ถ้าฟ้าไม่เปิดโอกาสให้ก็จบ

ต่อมา มีการเก๊กเหม็ง(ปฎิวัติในจีน)
ซุนยัดเย็น ล้มล้างอำนาจฮ่องเต๊ฟูยี
แล้วยกเลิกระบบการสอบขุนนางจีน
เป็นระบอบอุปถัมภ์/พรรคพวกแทน

แม่ยังจำได้ว่า วันล้มฮ่องเต๊
วันนั้นคนจึนทั้งประเทศต่างออกมาโห่ร้อง
ตีเกราะ เคาะไม้ ฝาบ้าน ฝาถัง กันทั้งวันทั้งคืน
แม่ก็ไปร่วมวงศ์ไพบูลย์กับชาวบ้านด้วย
แม้ว่าตอนนั้น แม่อายุได้ราว 3 ขวบ
เพราะตีกันเป็นประเพณีหลายปี
จนหลังวันที่ หยวนซีไข ฮ่องเต๊สิ้นบุญอายุสั้น
ต่อมา ทางการสั่งห้ามการตีสนั่นเมือง
.
.
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
.
ฟ้าคงสะใจ
.
.

การล้มฮ่องเต๊
หลายคนคงจะร้อง ฟ้าคงสะใจ
เพราะราชวงศ์นี้เป็นชาวแมนจูไม่ใช่ชาวฮั่น
ได้ยกเลิกทาส นางสนม นางกำนัล ขันที
การเกณฑ์แรงงาน/ส่วยจากชาวบ้านฟรีฟรี
การจัดเก็บภาษีตามอำเภอใจของขุนนาง
เวลาฮ่องเต๊คึกขึ้นมาอยากสร้างวัง

การตัดสินประหารชีวิตคนทั้งตระกูล
แบบ 7 ชั่วโคตร 9 ชั่วโตรต จบสิ้นไป
(ตัดหวายอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก)
ส่วนพวกทาส คนงาน ลูกหลานคนในตระกูล
จะถูกลดชั้นเป็นทาส ไล่ไปทำงานในเหมืองแร่
ส่งไปยังชายแดนไกลนับพันลี้
สตรีจะไปเป็นนางบำเรอทหารชายแดน
จนมีคำพังเพยจีนว่า เลือกนายต้องเลือกคนดี
เลือกคนอัxปรีย์ ชีวีจะวอดวายทั้งตระกูล

ไม่มีระบบอะไรเลวร้ายไปกว่าฮ่องเต๊
เพราะพวกราชวงศ์ฮ่องเต๊ ไร้น้ำใจ ไร้ปราณี
กลัวถูกฆ่าตาย กลัวถูกทรยศหักหลัง
จนมีเรื่องราวในราชสำนัก พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ
พึ่น้องฆ่ากัน ขุนศึกฆ่ากัน อยากเป็นฮ่องเต๊
เพราะคนชนะกินรวบ The One takes All.
ชนะคือ ราชา แพ้คือ ขึ้ข้า

แต่สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม
อับปxย​์ไป  จัxไรมา กบเลือกนาย
ไล่ฝูงเหลือบเก่าไป ฝูงเหลือบใหม่มา
มีการเปลี่ยนประธานาธิบดี กันเป็นว่าเล่น
ขุนศึกศักดินาดาหน้ากันเข้ามาหากิน
จนกระทั่งบ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย
มีสงครามภายในกับรบกับญี่ปุ่น
หมู่บ้านไหนยอมจำนนกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นก็จะผ่านเลยไปไม่กวาดล้าง
แต่หมู่บ้านไหนแข็งข้อก็ทำลายราบ
.

.

หลังจากเมาเซตุงขึ้นครองราช
ปู่ก็ถูกทุบตี ถูกไล่ไปนอนในศาลเจ้า
เพราะครอบครัวปู่มีที่ดิน 2 หมู่
ถือว่าเป็น ศักดินาเจ้าที่ดิน
คนที่พวกคอมมี่เกลียดชัง
แต่เมาเซตุง ครอบครัวก็มีที่ดิน

ปู่ต้องอาศัยอยู่ในศาลเจ้าไม่นาน
เพราะสุดท้ายไม่มีคนรู้หนังสือ
จึงต้องให้ปู่กลับมาทำงานเสมียน
เพื่อเขียนจดหมาย/เอกสารราชการ
กับสอนหนังสือตามเดิม
ความเป็นอยู่ช่วงนี้จึงดีขึ้น
กับได้รับเงินโพยก้วนที่พ่อส่งให้
ทำให้ไม่ถึงกับอัตคัดมากนัก

ตอนปู่ตายมีการทำพิธีเล็กน้อย
เพื่อรำลึกถึงครูและฝังไว้ที่นั่น

ตอนพ่อกับแม่แอบหยบเข้าจีน
ในช่วงก่อนปี พ.ศ.2516
ยุคเจียงชิงกับ Gang of Fours มีอำนาจ
พ่อแม่ต้องทำใบย่ำแผ่นดินที่ฮ่องกง
เพื่อเดินทางเข้าไปที่ซัวเถา
ในใบผ่านแดนมีการตีตรายางว่า
ตี่จุ้ ศักดินาเจ้าที่ดิน

แม้ว่าพ่อบอก กูอยู่เมืองไทย
กูไม่กลับมาตายที่นี่แล้ว
แต่เจ้าหน้าที่ทำหน้ามั่นบอกว่า
มึx จะเข้าไม่เข้า
เมื่อลงเรือแป๊ะ ก็ต้องตามใจแป๊ะ
แบบยอมจำนน Accept
ตอนติดตั้ง Software

ตอนพ่อกับแม่กลับถึงบ้านเกิด
มีญาติคนหนึ่งมาบอกว่า
“... ตายแล้วเมื่อคืนนี้ ”
แม่ถามพ่อว่า " ผู้ใด๋ "
พ่อตอบว่า " มันตายไปได้ก็ดี
เพราะมันใส่ร้ายกล่าวหาปู่
ตอนเมาเซตุงยึดอำนาจใหม่ ๆ
กับลงไม้ลงมือทุบตีปู่ก่อนเป็นคนแรก
แล้วไล่ปู่ออกจากบ้านไปอยู่ที่ศาลเจ้า "

สาเหตุการตายหัวใจวาย/เครียด
กลัวว่าจะถูกด่า/ประณาม เป้าโฉย(แก้แค้น)
แบบนวนิยาย/หนังจีนกำลังภายใน
20 ปีรอแก้แค้นไม่สายเกินไป

การข่าวในจีนยุคนั้นเร็วมากเรื่องสายลับ
คงมีอีกาคาบข่าวไปบอกคนตายว่า
ลูกชายจากเมืองไทยมาเยี่ยมบ้าน
ยุคนั้นคนจากเมืองไทยเข้าเมืองจีน
จัดว่าเป็นคนรวยมีหน้ามีตามาก
คนในหมู่บ้านค่อนข้างจะเกรงใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่