ชาวออสเตรเลีย ป่วยจากสภาพอากาศสุดขั้ว เข้ารักษาตัวใน รพ. เพิ่มขึ้น
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209537
สถาบันสุขภาพออสเตรเลียฯ เผย มีชาวออสเตรเลียป่วย-เสียชีวิต จากสภาพอากาศสุดขั้วแล้วหลายราย คาด มาจากสภาพอากาศสุดขั้วที่มีความถี่-รุนแรงขึ้น
สถาบันสุขภาพและสวัสดิการแห่งออสเตรเลีย (AIHW) เปิดเผยรายงานว่า จำนวนชาวออสเตรเลียที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บที่เชื่อมโยงกับสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ไฟป่า และพายุ เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยสภาพอากาศที่ร้อนจัดระหว่างปี 2012 ถึง 2022 ส่งผลให้ชาวออสเตรเลียต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมากกว่าสภาวะสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บที่มาจากสภาพอากาศสุดขั้วมากถึง 9,119 ราย และมีอัตราผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศเช่นนี้ ในช่วงระหว่างปี 2011 ถึง 2021ที่ 677 ราย
เฮเธอร์ สวอนตันส์ นักวิจัยจากสถาบันฯ ระบุว่า มีหลักฐานบ่งชี้ให้เห็นว่า ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ภาวะอากาศสุดขั้วมีความถี่และรุนแรงมากขึ้น เช่น อากาศร้อนจัด ไฟป่า อากาศหนาวจัด รวมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับฝน และพายุ โดยสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นผ่านการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในออสเตรเลีย
รายงานยังพบอีกว่า มีการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกสามปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1,027 ราย ในปี 2013 ถึง 2014 เป็น 1,033 ราย ในปี 2016 ถึง 2017 และ 1,108 ราย ในปี 2019 ถึง 2020
การสัมผัสกับความร้อนจากธรรมชาติมากเกินไป เป็นสาเหตุการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่พบมากที่สุดในทุกรัฐและดินแดนของออสเตรเลีย ยกเว้นแทสมาเนีย
ส่วนอากาศหนาวจัด ครองสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 10 ของการเข้ารักษาตัวจากการบาดเจ็บ ในช่วงการวิเคราะห์ระยะ 10 ปี แต่กลับครองสัดส่วนการเสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 35
รายงานยังระบุด้วยว่า อาการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับไฟป่า เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับปรากฏการณ์เอลนีโญในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเชื่อมโยงกับสภาพอากาศที่ร้อน และแห้งแล้งขึ้นในออสเตรเลีย โดยเมื่อเดือนกันยายน สำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียประกาศการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2019
ฮามาสหวังสหรัฐฯล่มสลายเหมือนโซเวียต หากศัตรูร่วมกำลังกัน
https://www.tnnthailand.com/news/world/157664/
จนท.ระดับสูงฮามาสเชื่อสหรัฐฯ จะล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียต ถ้าเหล่าศัตรูร่วมมือกัน ชี้ "คิม จองอึน" อาจเป็นหนึ่งเดียวในโลก ที่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ได้
วันนี้ ( 4 พ.ย. 66 )
อาลี บารากา (Ali Baraka) เจ้าหน้าที่ระดับสูงฮามาส เชื่อว่า เหล่าฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ในตะวันออกกลาง รวมถึงรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน และจีน กำลังรวมกำลังกัน และวันหนึ่งในในอีกไม่นาน จะถึงวันที่พวกเขาจะเข้าร่วมสงคราม และทำให้สหรัฐฯ ล่มสลายเหมือนกับอดีตสหภาพโซเวียต กลายเป็นสิ่งที่เป็นอดีต สหรัฐฯ จะไม่สามารถทรงพลังได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
บาราการะบุในการให้สัมภาษณพิเศษช่องเลบานอนบน YouTube แปลโดยสถาบันวิจัยสื่อตะวันออกกลาง จากการรายงานของ Jerusalem Post
บารากาเชื่อว่า
คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นผู้นำที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่า จะลงมือต่อต้านสหรัฐฯ ในสายตาของเขาเห็นว่า ผู้นำ
คิม อาจเป็นคนเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ ที่มีขีดความสามารถจะโจมตีสหรัฐฯ ได้ ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ผู้นำ
คิมได้ประกาศจะช่วยฮามาสสู้กับอิสราเอล
บารากาเชื่อว่า วันที่เกาหลีเหนือตัดสินใจแทรกแซงความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสจะมาถึง เพราะเกาหลีเหนือเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรของฮามาส
บารากากล่าวถึงอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้หนุนหลังฮามาส ว่า ยังไม่มีขีดความสามารถถึงขั้นโจมตีอเมริกาได้ แต่ถ้าหากอิหร่านตัดสินใจเข้าแทรกแซงความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส อิหร่านจะสามารถโจมตีอิสราเอล ฐานทัพต่าง ๆ ของสหรัฐฯ และเรือต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ ถ้าหากว่าสหรัฐฯ ตัดสินใจขยายการแทรกแซงความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส และถ้าหากรัสเซียกับจีนเข้าร่วมสงคราม นั่นจะหมายถึงจุดจบของสหรัฐฯ
บารากาผู้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้เหล่าศัตรูของสหรัฐฯ ที่อยู่ในตะวันออกกลาง หรือประเทศที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ กำลังปรึกษาหารือและใกล้ชิดกันมากขึ้น ทุกวันนี้รัสเซียติดต่อเราทุกวัน จีนส่งคณะทูตไปยังโดฮาในกาตาร์ จีนและรัสเซียพบกับบรรดาแกนนำฮามาส คณะตัวแทนฮามาสไปเยือนมอสโก และอีกไม่นานเราจะส่งคณะตัวแทนไปเยือนจีนด้วย.
"ชัชชาติ" นำปลูกต้นไม้ สวน 15 นาที สร้างพื้นที่สีเขียว กำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง
https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2738044
ผู้ว่าฯ "ชัชชาติ" นำปลูกต้นไม้ "สวน 15 นาที" พื้นที่เขตบึงกุ่ม สร้างพื้นที่สีเขียว เพื่อเป็นกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง
วันที่ 4 พ.ย. 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายเนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตบึงกุ่ม คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารเขตบึงกุ่ม ร่วมกันปลูกต้นไม้ ประกอบด้วย ต้นขนุน ต้นมะม่วง ต้นมะยม ต้นมะยงชิด ต้นสาเก ต้นชมพู่มะเหมี่ยว ต้นมะฮอกกานี ต้นอิน-จัน ต้นเสลา รวมทั้งสิ้น 20 ต้น ร่วมกับประชาชน ณ บริเวณศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม สวน 15 นาที เขตบึงกุ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียว และกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง จากนั้นตรวจเยี่ยมศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม เขตบึงกุ่ม
ทั้งนี้ ในพื้นที่เขตบึงกุ่มปลูกต้นไม้แล้ว 27,771 ต้น ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ร่วมจองปลูกต้นไม้ จำนวน 1,641,310 ต้น ปลูกแล้ว 690,645 ต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 3 พ.ย. 66 เวลา 09.00 น.) สำหรับประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามความก้าวหน้า หรือร่วมบันทึกปลูกต้นไม้ได้ที่ เว็บไซต์
https://tree.bangkok.go.th/
ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร เป็นปัญหาอันดับแรกที่ผู้บริหารกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาขยะมูลฝอยที่ประชาชนผลิตขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งมีประมาณ 10,600 ตัน/วัน เฉลี่ย 1.15 กก./คน/วัน ทำให้กรุงเทพมหานครเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการขยะประมาณ 7,000 ล้านบาท การที่สำนักงานเขตบีงกุ่มจึงมีแนวคิดหาวิธีการลดปริมาณขยะจากแหล่งกำเนิด จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการขยะของกรุงเทพมหานคร โดยจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การจัดการมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมเขตบึงกุ่มขึ้น จากแนวคิด "การเอาขยะมาสร้างศูนย์ เพราะขยะคือทรัพยากร" โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มาปรับใช้ โดยได้นำขยะที่คัดแยกจากโครงการที่ได้ดำเนินการ เช่น โครงการเก็บขยะขึ้นใหญ่ และสิ่งของเหลือใช้ที่เขตดำเนินการทุกวันอาทิตย์ นำกลับมาซ่อมแซม
สำหรับศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมเขตบึงกุ่ม มีพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ โดยนำที่ดินที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของเอกชน ในนามบริษัท รามอินทรา จำกัด ของนายสุขุม นวพันธ์ นำมาปรับปรุงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความปลอดภัย ลดปัญหาด้านอาชญากรรม อีกทั้งยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มก่อตั้งศูนย์ฯ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 59 โดยไม่ใช้งบประมาณของกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเยาวชน และประชาชน ในด้านการจัดการขยะแบบครบวงจร โดยการร่วมกันคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมให้มีการคัดแยกวัสดุที่ยังสามารถใช้ได้นำกลับมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ก่อนทิ้ง
ทั้งนี้ เป็นการกระตุ้น และรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชน เยาวชน และบุคลากรของสำนักงานเขตได้รับการฝึกฝน และเรียนรู้วิธีการแปรรูปขยะเหลือใช้นำมาดัดแปลงใช้ประโยชน์ เพื่อลดปริมาณขยะ และลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร เป็นการส่งเสริมอาชีพ และสร้างรายได้ให้ประชาชน และบุคลากรของสำนักงานเขต เช่น สร้างอาชีพก่อนวัยเกษียณ และยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยจัดทำเป็น "สวน 15 นาที" อีกแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตบึงกุ่มอีกด้วย.
JJNY : ป่วยจากสภาพอากาศสุดขั้ว│ฮามาสหวังสหรัฐฯล่มสลาย│"ชัชชาติ"นำปลูกต้นไม้ สวน 15 นาที│เศรษฐา นัดแถลง ดิจิทัลวอลเล็ต
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209537
สถาบันสุขภาพออสเตรเลียฯ เผย มีชาวออสเตรเลียป่วย-เสียชีวิต จากสภาพอากาศสุดขั้วแล้วหลายราย คาด มาจากสภาพอากาศสุดขั้วที่มีความถี่-รุนแรงขึ้น
สถาบันสุขภาพและสวัสดิการแห่งออสเตรเลีย (AIHW) เปิดเผยรายงานว่า จำนวนชาวออสเตรเลียที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บที่เชื่อมโยงกับสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ไฟป่า และพายุ เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยสภาพอากาศที่ร้อนจัดระหว่างปี 2012 ถึง 2022 ส่งผลให้ชาวออสเตรเลียต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมากกว่าสภาวะสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
เฮเธอร์ สวอนตันส์ นักวิจัยจากสถาบันฯ ระบุว่า มีหลักฐานบ่งชี้ให้เห็นว่า ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ภาวะอากาศสุดขั้วมีความถี่และรุนแรงมากขึ้น เช่น อากาศร้อนจัด ไฟป่า อากาศหนาวจัด รวมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับฝน และพายุ โดยสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นผ่านการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในออสเตรเลีย
รายงานยังพบอีกว่า มีการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกสามปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1,027 ราย ในปี 2013 ถึง 2014 เป็น 1,033 ราย ในปี 2016 ถึง 2017 และ 1,108 ราย ในปี 2019 ถึง 2020
การสัมผัสกับความร้อนจากธรรมชาติมากเกินไป เป็นสาเหตุการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่พบมากที่สุดในทุกรัฐและดินแดนของออสเตรเลีย ยกเว้นแทสมาเนีย
ส่วนอากาศหนาวจัด ครองสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 10 ของการเข้ารักษาตัวจากการบาดเจ็บ ในช่วงการวิเคราะห์ระยะ 10 ปี แต่กลับครองสัดส่วนการเสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 35
รายงานยังระบุด้วยว่า อาการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับไฟป่า เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับปรากฏการณ์เอลนีโญในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเชื่อมโยงกับสภาพอากาศที่ร้อน และแห้งแล้งขึ้นในออสเตรเลีย โดยเมื่อเดือนกันยายน สำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียประกาศการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2019
ฮามาสหวังสหรัฐฯล่มสลายเหมือนโซเวียต หากศัตรูร่วมกำลังกัน
https://www.tnnthailand.com/news/world/157664/
จนท.ระดับสูงฮามาสเชื่อสหรัฐฯ จะล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียต ถ้าเหล่าศัตรูร่วมมือกัน ชี้ "คิม จองอึน" อาจเป็นหนึ่งเดียวในโลก ที่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ได้
วันนี้ ( 4 พ.ย. 66 )อาลี บารากา (Ali Baraka) เจ้าหน้าที่ระดับสูงฮามาส เชื่อว่า เหล่าฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ในตะวันออกกลาง รวมถึงรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน และจีน กำลังรวมกำลังกัน และวันหนึ่งในในอีกไม่นาน จะถึงวันที่พวกเขาจะเข้าร่วมสงคราม และทำให้สหรัฐฯ ล่มสลายเหมือนกับอดีตสหภาพโซเวียต กลายเป็นสิ่งที่เป็นอดีต สหรัฐฯ จะไม่สามารถทรงพลังได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
บาราการะบุในการให้สัมภาษณพิเศษช่องเลบานอนบน YouTube แปลโดยสถาบันวิจัยสื่อตะวันออกกลาง จากการรายงานของ Jerusalem Post
บารากาเชื่อว่า คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นผู้นำที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่า จะลงมือต่อต้านสหรัฐฯ ในสายตาของเขาเห็นว่า ผู้นำคิม อาจเป็นคนเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ ที่มีขีดความสามารถจะโจมตีสหรัฐฯ ได้ ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ผู้นำคิมได้ประกาศจะช่วยฮามาสสู้กับอิสราเอล บารากาเชื่อว่า วันที่เกาหลีเหนือตัดสินใจแทรกแซงความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสจะมาถึง เพราะเกาหลีเหนือเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรของฮามาส
บารากากล่าวถึงอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้หนุนหลังฮามาส ว่า ยังไม่มีขีดความสามารถถึงขั้นโจมตีอเมริกาได้ แต่ถ้าหากอิหร่านตัดสินใจเข้าแทรกแซงความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส อิหร่านจะสามารถโจมตีอิสราเอล ฐานทัพต่าง ๆ ของสหรัฐฯ และเรือต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ ถ้าหากว่าสหรัฐฯ ตัดสินใจขยายการแทรกแซงความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส และถ้าหากรัสเซียกับจีนเข้าร่วมสงคราม นั่นจะหมายถึงจุดจบของสหรัฐฯ
บารากาผู้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้เหล่าศัตรูของสหรัฐฯ ที่อยู่ในตะวันออกกลาง หรือประเทศที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ กำลังปรึกษาหารือและใกล้ชิดกันมากขึ้น ทุกวันนี้รัสเซียติดต่อเราทุกวัน จีนส่งคณะทูตไปยังโดฮาในกาตาร์ จีนและรัสเซียพบกับบรรดาแกนนำฮามาส คณะตัวแทนฮามาสไปเยือนมอสโก และอีกไม่นานเราจะส่งคณะตัวแทนไปเยือนจีนด้วย.
"ชัชชาติ" นำปลูกต้นไม้ สวน 15 นาที สร้างพื้นที่สีเขียว กำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง
https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2738044
ผู้ว่าฯ "ชัชชาติ" นำปลูกต้นไม้ "สวน 15 นาที" พื้นที่เขตบึงกุ่ม สร้างพื้นที่สีเขียว เพื่อเป็นกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง
วันที่ 4 พ.ย. 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายเนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตบึงกุ่ม คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารเขตบึงกุ่ม ร่วมกันปลูกต้นไม้ ประกอบด้วย ต้นขนุน ต้นมะม่วง ต้นมะยม ต้นมะยงชิด ต้นสาเก ต้นชมพู่มะเหมี่ยว ต้นมะฮอกกานี ต้นอิน-จัน ต้นเสลา รวมทั้งสิ้น 20 ต้น ร่วมกับประชาชน ณ บริเวณศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม สวน 15 นาที เขตบึงกุ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียว และกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง จากนั้นตรวจเยี่ยมศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อม เขตบึงกุ่ม
ทั้งนี้ ในพื้นที่เขตบึงกุ่มปลูกต้นไม้แล้ว 27,771 ต้น ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ร่วมจองปลูกต้นไม้ จำนวน 1,641,310 ต้น ปลูกแล้ว 690,645 ต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 3 พ.ย. 66 เวลา 09.00 น.) สำหรับประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามความก้าวหน้า หรือร่วมบันทึกปลูกต้นไม้ได้ที่ เว็บไซต์ https://tree.bangkok.go.th/
ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร เป็นปัญหาอันดับแรกที่ผู้บริหารกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาขยะมูลฝอยที่ประชาชนผลิตขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งมีประมาณ 10,600 ตัน/วัน เฉลี่ย 1.15 กก./คน/วัน ทำให้กรุงเทพมหานครเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการขยะประมาณ 7,000 ล้านบาท การที่สำนักงานเขตบีงกุ่มจึงมีแนวคิดหาวิธีการลดปริมาณขยะจากแหล่งกำเนิด จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการขยะของกรุงเทพมหานคร โดยจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การจัดการมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมเขตบึงกุ่มขึ้น จากแนวคิด "การเอาขยะมาสร้างศูนย์ เพราะขยะคือทรัพยากร" โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มาปรับใช้ โดยได้นำขยะที่คัดแยกจากโครงการที่ได้ดำเนินการ เช่น โครงการเก็บขยะขึ้นใหญ่ และสิ่งของเหลือใช้ที่เขตดำเนินการทุกวันอาทิตย์ นำกลับมาซ่อมแซม
สำหรับศูนย์การเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมเขตบึงกุ่ม มีพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ โดยนำที่ดินที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของเอกชน ในนามบริษัท รามอินทรา จำกัด ของนายสุขุม นวพันธ์ นำมาปรับปรุงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความปลอดภัย ลดปัญหาด้านอาชญากรรม อีกทั้งยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มก่อตั้งศูนย์ฯ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 59 โดยไม่ใช้งบประมาณของกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเยาวชน และประชาชน ในด้านการจัดการขยะแบบครบวงจร โดยการร่วมกันคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมให้มีการคัดแยกวัสดุที่ยังสามารถใช้ได้นำกลับมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ก่อนทิ้ง
ทั้งนี้ เป็นการกระตุ้น และรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชน เยาวชน และบุคลากรของสำนักงานเขตได้รับการฝึกฝน และเรียนรู้วิธีการแปรรูปขยะเหลือใช้นำมาดัดแปลงใช้ประโยชน์ เพื่อลดปริมาณขยะ และลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร เป็นการส่งเสริมอาชีพ และสร้างรายได้ให้ประชาชน และบุคลากรของสำนักงานเขต เช่น สร้างอาชีพก่อนวัยเกษียณ และยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยจัดทำเป็น "สวน 15 นาที" อีกแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตบึงกุ่มอีกด้วย.