เราเป็นคนนึงที่ชอบดูหรือฟังเรื่องลี้ลับมาก แต่ก็เป็นคนกลัวผีหรืออะไรแบบนี้เช่นกัน พอมีเรื่องแนวนี้เล่าสู่กันฟังจะสนใจเป็นพิเศษเชื่อว่าหลายๆคนก็คงเป็นแบบเรา
วันนี้ก็เลยจะมาเล่าประสบการณ์การเจอผีของเราแบบแวบไปแวบมา บอกก่อนว่าอาจจะไม่น่ากลัวเท่าเรื่องของคนอื่นๆ นะคะ
ต้องท้าวความว่าตอนเด็กเราไม่ค่อยรู้จักว่าว่าผีเท่าไหร่เเต่เคยเจอเหตุการณ์นึงอาจเป็นจุดเรื่อมต้นของเรา อายุประมาณ4-5ขวบวันนั้นเราได้ซ้อนรถแม่ไปบ้านยายห่างกันประมาณ4-5กิโลค่ะ น่าจะช่วง19.00ขึ้นไปเพราะมืดแล้วเราเห็นคนแก่คนนึงเดินข้างทางใส่เสื้อผ้ามันวาวเป็นสีฉูดฉาด รู้สึกจะเป็นเสื้อฟ้ากางเกงแดง ซึ่งทางที่เดินไม่มีไฟข้างทางและแสงไฟจากบ้านคนเลยเพราะติดถนนใหญ่ ขากลับเราเห็นตาคนเดิมเดินไปทางเดียวกับเรา จึงพูดว่า" แม่ ทำไมเขาเดินตอนมืดๆ เขาเห็นทางหรอ" แม่เราพูดแต่ว่า"เงียบๆ อย่าพูด"ลุงคนนั้นก็ยังเดินต่อไป พอถึงบ้านก็มีพ่อและลุงอีก3-4คนนั่งกินเหล้ากันอยู่ ซักพักป้าเราขับรถตามมาที่บ้านชื่อว่าป้าดี ป้าดีเป็นคนตัวเล็ก เล็กแบบเล็กมากๆผอม ได้ฉายาว่าแห้ง สูงประมาณ150 นน.ไม่เกิน35 รถล้มที่หน้าบ้านเราซึ่งเป็นร่องน้ำกว้างประมาณ1เมตรแต่ไม่ลึกไม่มีน้ำ จึงพากันไปช่วยพามาที่บ้านเท่าที่เราเห็นคือป้าดีและลุงๆมีปากเสียงรุนแรงกัน 5คนรวมพ่อเราพยายามจับป้าดีไว้แต่จับไม่อยู่คำที่เราจำได้คือ มีลุงคนนึงพูดว่า "จะออกไม่ออก ถ้าไม่ออกกูจะเอาเคียวเจาะหัว" เป็นภาษาเหนือพร้อมหยิบเคียวเกี่ยวข้าวทำท่าเจาะกลางหัว ส่วนป้าดีก็ยังสู้ด้วยถ้อยคำรุนแรง แม่พาเราไปในบ้านก่อนจึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจบแบบไหนและไม่เคยถาม แต่ก่อนไปเราเห็นพ่อถือสวย(กรวยใบตองใส่ดอกไม้ข้าวตอก)ไปบอกกล่าวจุดที่รถล้ม
พอมาช่วงอายุประมาณ 6-7ปี เราอยู่โรงเรียนรัฐบาลซึ่งอยู่ข้างบ้านยายเรา จะมีทางเล็กๆ1คนเข้าเดินได้เป็นประตูหลังเรียกว่าทางลัดดีกว่าจะโผล่ที่ข้างโรงอาหารพอดี ซึ่งเราโตมากับหลานผู้ชายที่เกิดห่างกันไม่ถึงเดือนขอเรียกว่าเพื่อนนะคะ เรากับเพื่อนจะสับวันกันเลือกทางกลับบ้าน ให้นึกถึงสัญลักษณ์ มากกว่า > บ้านเพื่อนจะอยู่จุดบน โรงเรียนคือมุม บ้านยายอยู่ด้านล่างซึ่งบ้านเพื่อนใช้ทางลัดหลังโรงเรียนมีบ่อขยะเดินเลาะไปข้ามรั้วบ้านป้าและเดินลัดไปบ้านเพื่อนแต่เราคิดว่าทางนั้นน่ากลัวเลยเลือกใช้ทางบ้านยายเพราะวันนั้นคนเริ่มไม่มีแล้ว เดินกัน2คนค่ะ พอใกล้ถึงโรงอาหารได้ยินเสียงจานตก จึงหันไปมองกับเพื่อนได้แต่สงสัย พอเดินไปซักพัก เริ่มเห็นเงาเป็น ผู้ชายสูงใหญ่ กำลังยืนอยู่ในโรงอาหารเห็นเป็นแค่เงานะคะเพราข้างในค่อนข้างมืด จึงหันไปคุยกับเพื่อนว่า "อ๋อ ภารโรง"
พอเดินไปซักพักได้ยินเสียงเก็บจานประจวบกับถึงหน้าประตูโรงอาหารพอดีตาก็เหลือบไปดู ประตูโรงอาหารถูกล็อกด้วยแม่กุญแจซึ่งมีทางเข้าไปข้างในแค่ทางเดียวเท่านั้น จึงหันไปหาเพื่อน ค่ะ เพื่อนวิ่งไปแล้ว วิ่งตามสิคะ5555หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงจานหล่นหลายใบไม่กล้ามาทางนี้อยู่พักนึงเลย มีเรื่องเล่าว่าเมื่อก่อนโรงอาหารเคยเป็นโรงงานอะไรซักอย่างแล้วมีคนตายตอนนี้ก็ปิดตัวเพราะมีคนน้อยเป็นโรงเรียนร้างไปให้ชาวบ้านใช้สถานที่จัดกิจกรรมเป็นครั้งคราว
พอ8ขวบเราย้ายมาโรงเรียนเอกชนซึ่งอยู่ไกลมากตอนนั้นเป็นโรงเรียนชื่อดังแถมใกล้วัดดังในจังหวัด พอขึ้น ป.5-6 เรามีน้องชายเริ่มเดินได้แล้ว หนังสือเรียนเราจะเก็บไว้ที่ลิ้นชักตู้เสื้อผ้า จะอยู่ข้างประตูในบ้าน ซึ่งประตูนั้นจะตรงกับห้องน้ำพอดี เช้านั้นเรายืนหาหนังสือซึ่งขวางประตูเข้าในบ้านอยู่ เราเห็น ผญ.เดินจูงมือเด็ก ผมประบ่าเสื้อสีครีม เด็กผช.จั้มม่ำใส่เสื้อลายขวางฟ้าเหลืองหมวกแก็บเดินมาจากในบ้าน แล้วพูดว่า "อิน้อง หลบกำ"เป็นภาษาเหนือก็แปลประมาณว่า น้อง หลีกหน่อย ! เราก็คิดว่าแม่จะพาน้องไปข้างนอกจึงทำท่าหลบ
ประจวบกับพ่อเดินมาจากข้างนอกพอดีหยุดหน้าประตูเห็นเราทำท่าหลบ จึงถามเราว่า"ทำอะไร" เราก็ตอบว่า"ก็หลบแม่กับน้องไง "พ่อก็บอกว่า"ไหน พูดไปเรื่อย น้องอยู่หน้าบ้านโน่น"พร้อมชี้ให้เราดูเราก็ยังเห็น2แม่ลูกเดินผ่านพ่อไปจึงพูดว่า "ก็นี่ไง"ละชะโงกหน้าไปดูที่พ่อชี้ไปน้องเราอยู่หน้าบ้านจริงๆใส่เสื้ิอสีส้ม จึงหันกลับมาหน้าประตู แม่ลูกหันหน้ามาทางเราก้มหน้านิ่งเฉยใส่รองเท้าแล้วหันหลังเดินต่อไป เราที่ตอนนั้นแยกไม่ออกและไม่ค่อยรู้จักกลัวเท่าไหร่จึงเงียบไปแต่สิ่งที่เห็นความต่างคือ 2แม่ลูกนั้นจะมีความโปร่งแสงเหมือนมองทะลุได้เป็นคล้ายๆมวลสารหรือพิกเซลเล็กๆเกาะกลุ่มกันจะเป็นตัวเมือเทียบกับคนจะเห็นความต่างชัด
มาถึงในโรงเรียนใหม่กันบ้างมีเรื่องเล่ามากมายเพราะด้านหน้าเยื้องโรงเรียนประมาณ1กิโลมีสุสาน ผ่านโรงเรียน1-2โล เป็นวัดขึ้นชื่อจังหวัด เมื่อก่อนไม่ได้ใหญ่มาก ข้างหลังจะเป็นบ่อขยะและป่ารก แต่ผู้บริหารได้ซื้อที่เพิ่มและสร้างตึกเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับ ม.ปลายและสายอาชีพ เรียกได้ว่าโรงเรียนนี้มีตั้งแต่เตรียมอนุบาล จนถึง ม.6 และ ปวช.
เราเข้าเรียนตั้งแต่ ป.3 จนถึง ปวช.ปี2ไม่เคยเจอค่ะมีแต่เรื่องเล่าห้องน้ำเก่า มีศิษย์รุ่นแรกผูกคอใกล้ห้องสุดท้าย ห้องนี้มืดมากและมีเชือกจริง หรือห้องสมุดชอบมีคนแอบมาหลบเรียน วันนั้นมีงานโรงเรียนต้องไปเปลี่ยนชุดที่นั้น มีคนเห็นมีคนเปลี่ยนจึงรอ แต่ก็ไม่ออกมาจึงเข้าไปดูสรุปไม่มีใคร หรือจะเป็นการเข้าห้องน้ำแล้วมองจากห้องน้ำขึ้นไปบนตึกชั้นดาดฟ้าจะเห็น ผู้หญิงชุดขาวยืนอยู่ ซึ่งบอกเลยว่าตึกมี4ชั้น ไม่มีบรรไดขึ้นดาดฟ้า จะขึ้นต้องขึ้นจากระเบียงห้องพักครูชั้น4จะมีบรรไดอยู่นอกตัวตึกไม่มีคนขึ้นแน่ๆ
จนถึงปี3เทอมสุดท้ายเราติวV-netวันนั้น นั่งกับเพื่อนที่หลังช็อปซึ่งจุดนี้เรามาครั้งแรกเพราะเมื่อก่อนมันแยกฝั่งและตอนเรียนจะมีแค่พวกช่างเท่านั้นที่มานั่งจับกลุ่ม ด้านหลังจะถูกเก็บของด้วยโต๊ะเก้าอี้ต่างๆทั้งไม้ทั้งเหล็กพังๆ เรานั่งกัน6-7คนค่ะเพื่อนสูบบุหรี่ แต่เราไม่ชอบจึงเดินมาเลือกนั่งด้านในที่มีแค่ลิ้นชักโต๊ะเรียนวางอยู่ติดกำแพงเนื่องจากขาโต๊ะพังเเล้งจึงเหลือแค่ลิ้นชักเรานั่งแชทหาเพื่อนอีกคนที่ย้ายไปเรียนที่อื่น ซักพักเรารู้สึกว่ามีคนมองจ้องมาทางเราและเพื่อนๆ เราจะเหลือบตาดูเป็นพักๆ หางตาเห็นเป็นผู้ชายตัวผอมๆเป็นเเค่เงาดำๆนะคะ เพราะที่เขานั่งคือบนแผ่นไม้ที่วางเรียงกัน และเเสงเเดดส่องด้วยนั้นจึงทำให้เรามองไปมันย้อนแสง เราเห็นเขานั่งเท้าคางจ้องมาพักนึงค่ะคิดในใจทำไมเพื่อนไม่เรียกเขา เราเลยหันไปมอง สิ่งที่เห็นคือเขาทำท่าตกใจเรารนๆเเละวิ่งลงจากกองไม้ตรงไปด้านหน้า ซึ่งเป็นกำแพงปูนสูง ใช่ค่ะ เงานั้นหายไปในกำแพงไม่มีเสียงไม้หรือเสียงคนวิ่งลงซึ่งแผ่นไม้วางเรียงหากมีคนวิ่งลงไม้ต้องกระดกบ้าง เราอึ้งพักนึง รีบลุกไปหาเพื่อนและถามว่าเมื่อกี้ใครนั่งตรงนั้นมั้ย สรุปมีแค่เราที่เห็น
จบปี3 เราย้ายมาทำงานกับพี่ชายที่ราชบุรีค่ะ พี่เราเป็นทหารจึงพักอยู่ในบ้านพักทหารอยู่กัน3คนมีเรา พี่ชาย และพี่สะใภ้ พี่กับพี่สะไภ้นอนด้านล่าง เราไปวันเเรกถึงตอนกลางคืนพี่พาเราไปกินข้าวอีกบ้านนึงเเล้วมาส่งให้นอนปลายเท้ามัน ใช่ มันกลับไปกินต่อทิ้งเรานอนคนเดียว5555 2-3วันไม่เจออะไรค่ะอาจจะด้วยความตื่นเต้น พอมาวันที่4มันพาเราขึ้นข้างบนทำความสะอาดพร้อมกับบอกเราทิ้งท้ายว่า "นอนเลยนะ ข้างบ้านยังไม่เคยขึ้นมาเหมือนกัน" ความรู้สึกตอนนั้นคือมันจะพูดทำไม555 สิ่งที่เราเจอคือ กระถางธูป1ใบถูกใช้งาน กล่องธูปที่มีเหมือนลูกกระสุนเต็มกล่องคิดว่านะจะเป็นกำยาน1กล่อง แผ่นเหล็กที่มีการตอกอักขระบางๆ1แผ่นเท่าa4หิ้งพระ หน้าต่างที่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ทางเหนือค่อนข้างถูกสอนมาอยู่แล้วว่าจะนอนที่ไหนให้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ไหว้ก่อนเลยสวดมนต์ขออยู่อาศัยพักนอน มีเจออำบ้างค่ะช่วงแรกนอนอยู่เหมือนมีผู้ชายผิวดำแดงมานอนทับครึ่งตัวข้างขวา อีกครั้งก็กอดจนเราพูดว่า"กูรู้นะว่าเป็นใคร ออกไป" ซึ่งเราไม่รู้นะแต่พูดออกมาอัตโนมัติ555หลังจากนั้นก็จะมีแค่ตอนเข้ากะเลิกงานเช้าซักผ้าไว้ พอเสร็จจะเหมือนมีคนมาเรียกตลอด
แต่ที่ชัดสุดคือวันนั้นพี่เราเข้าเวร พี่สะไภ้จะไปข้างนอกขอให้เราไปส่ง เราไปส่งเขาหน้าค่ายแปลว่ามีแค่เราที่อยู่บ้าน กลับมาซื้อส้มตำ เข้าบ้านแกะจะกินหันหน้าเข้าในบ้าน ประตูทะลุถึงห้องนอนพี่ มีห้องกลาง ขวามือคือห้องน้ำได้ยินเสียงคล้ายหางจิ้งจกกระทบประตูห้องน้ำจะเป็นเหมือนเสียงเฝคนเคาะ เราหันไป ประตูห้องน้ำเปิดแง้มปิดไฟมืด แต่มีน่องขวาผิวสองสีเหมือนเป็นผู้หญิงเดินเข้าไป เหมือนเขาเดินเข้าไปจะหมดแล้วเราเห็นแค่ช่วงน่องถึงเท้าเดินเข้าไป เรานั่งนึกในจะ "กูอยู่บ้านคนเดียวนี่หว่า" แล้วนั่งกินต่อแล้วกลับไปนอน ถามว่ากลัวมั้ย กลัวค่ะแต่ไม่รู้จะไปไหนแถมเขาก็ไม่ได้มาทำอะไรให้ แต่เห็นพี่สะไภ้บอกเคยโดนอำน่ากลัวมากเหมือนกะเอาให้ตายเลยกว่าจะหลุดจึงไม่ค่อยอยู่บ้านคนเดียว ส่วนพี่เราเกิดศุกร์13มันไม่กลัวและไม่เชื่อเลยค่ะ อาจจะเพราะไม่เคยเจอ เเต่วันนั้นโดนอำมันบอกยังไม่นอนเลยกำลังจะวางโทรศัพท์เเหงนขึ้นไปด้านบนขยับตัวไม่ได้ พูดตะโกนแต่เสียงไม่ออก แต่พี่สะไภ้เห็นว่ามันนอนกระอุกกระอักจึงเรียกถึงหลุด มันก็เชื่อขึ้นมาหน่อยค่ะไหว้พระไหว้อะไรบ่อยขึ้นอยู่
แน่นอนว่าในบ้านไม่ค่อยเจอหรอกของจริงอยู่ระหว่าทางไปทำงานซึ่งวัดจะอยู่ข้างค่ายมีสะพานไว้ยูเทรินทางไปเป็นคลองชลประทานคลองนี้มักมีศพลอยน้ำหรือมีการฆ่าชิงทรัพย์ประจำ และใต้สะพานที่เลี่ยงยูเทรินมักจะมีการดักปล้นอยู่บ่อยๆ แรกๆเราไปแบบไม่กลัวค่ะเพราะไม่รู้อะไร
หลังๆเพื่อนๆเริ่มห่วงจึงรอกลับบ้านและขับตามเป็นกลุ่มโดยเฉพาะตอนเข้ากะจะกลับตี3-5 วันนึงเราออกกะตี4ชวนเพื่อนกลับแต่นางบอกแฟนจะมารับเราออกมาได้ไม่ถึงโลเลี้ยวสะพานเข้าทางหลวง นางโทรมาเราคิดแล้วว่านางจะขอให้มารับแต่คงกลัวเราด่าเราเลยถาม"อะไร" หลายๆรอบเพื่อให้นางพูด แต่นางไม่พูด555จนเราคิดว่ามันไม่ควรจอดตรงนี้นานและเริ่มหงุดหงิดจึงพูดว่า"จะกลับด้วยอ่ะ"นางเลยตอบว่า"ใช่"
เราเลี้ยวรถเข้าไปรับพร้อมกับพี่อีกคนนึงเลี้ยวปุ้บเจ็บไหล่ซ้ายปั๊บ ว่าแล้วเราจึงพูดในใจว่ารับเเค่เพื่อนเราที่เหลือออกไป แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี พอถึงทางยูเทินรถ(ประตูทางเข้าวัดจะอยู่หน้ายูเทิร์นพอดี จึงพูดว่า"ช่วยลูกด้วย" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เลี้ยวพ้นยูเทิร์นปุ๊ป หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เจ็บไม่อะไรเลยจนถึงบ้าน555
ต่อไปจะเป็นช่วงต้องเข้างานเช้าตี4-5 ครั้งแรกคือตอนสะพานเจ้ากรรมที่เดิม ปกติจะมีพระรูปนึงเดินบิณฑบาตผ่านหน้าโรงงานเราวันนั้นก็เช่นกันเราเลี้ยวเข้าสะพานเจ้าเดิมพร้อมกับพระที่เดิน ไฟส่องไปทั่วสะพานมีแค่เรากับพระรูปนั้นเท่า เราขับแซงท่านมามองกระจกหลังปกติ เห็นมีเงานึงนั่งบนสะพานที่คนชอบยืนที่มันจะยกตัวขึ้นจากพื้นถนนหน่อยอ่ะค่ะ หัวฟูๆ ซอมซ่อนิดนึงนั่งไหว้พระ ซึ่งพระเดินผ่านเหมือนไม่เห็น มองกระจกอีกข้างนางยังอยู่ค่ะ เราไม่กล้าหันไปจึงบิดเข้าโรงงาน555
ต่อไปกันเลย วันนั้นเข้างานเช้าเช่นกัน เราขับมาคนเดียวมีไปทางแค่ตรงจะเลี้ยวเข้าสะพาน(อันนั้นสะพาน1สะพานเข้าโรงงานคือสะพานที่2ค่ะ) เราเห็นไกลไปว่ามี ผช.ตัวสูงๆใส่เสื้อตัดอ้อยสีน้ำตาลมีเทน กางเกง3ส่วน เดินสวนมาทางเรา ก็คิดในใจว่าใครออกมาเดินอะไรเวลานี้นางก็ยังเดินมาเรื่อยๆ(ฝั่งที่นางเดินข้างทางเป็นคลองชลนะคะ) พอถึงจังหวะสวนกัน มันไม่มีค่ะ ไม่มีอะไรเลย เรามองกระจกหลังก็ไม่มี บ้านคนก็ไม่มี ทำได้เเค่บิดหนีเพราะกลัวมันวิ่งตาม555
หลังๆก็จะเป็นแวบไปแวบมาเห็นคนท้องเดินบ้าง มีงูเหลือมขวางทางเราแทรกเข้าไปเป็นเนินพอโผล่เนินจะข้ามถนนใหญ่ไฟก็ส่องเจอคนใส่ชุดสีชมพูบานเย็นเหมือนชุดแฟนซีกีฬาสีในที่เปลี่ยวๆมืดๆบ้าง
(ต่อ)
เรื่องเล่าผีๆแบบแวบไปแวบมา อ่านฆ่าเวลากันค่าา