ประสบการณ์แย่ๆ กับ SCB และ FWD

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์แย่ๆกับความไว้ใจพนักงาน SCB และ FWD ให้ฟัง ก่อนอื่นเราของบอกก่อนว่า เป็นเรื่องของแม่สามีเรา ที่มีอายุ 60 ปี เราขอเรียกแม่อย่างเดียวแล้วกันเพราะเราก็รักเค้าเหมือนแม่จริงๆ แม่เราเป็นคนจีนที่พูดไทยได้แต่อ่านเขียนไทยไม่ได้ ถึงจะอยู่ไทยมาหลายสิบปีสื่อสารในชีวิตประจำวันได้คล่อง แต่เมื่อเวลาได้ยินคำศัพท์เฉพาะหรือพูดมาเป็นชุดๆแม่ก็จะมีตามไม่ทัน มี งงๆอยู่บ้าง

เรื่องมันเริ่มจากประมาณ 1 ปีก่อน วันนึงแม่เราไปที่ธนาคาร SCB สาขาที่มักจะไปทำเป็นประจำ เป็นสาขาที่คุณแม่ไว้ใจ และเป็นที่เดียวที่คุณแม่ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน คุณแม่ทำที่นี้มาประมาณ 10 กว่าปีแล้ว เนื่องด้วยจากคุณแม่ไม่สามารถอ่านและเขียนไทยได้ และมีพนักงานที่คุณแม่ไว้ใจเพราะทำด้วยกันมานานก็เลยมักจะไปที่สาขานี้เป็นประจำ โดยวันนั้นคุณแม่ไปกับน้องสาวสามีเรา เพราะพนักงานโทมาบอกว่า บัตรเครดิต scb first ของคุณแม่จะใช้ไม่ได้เพราะคุณแม่มียอดสินทรัพย์กับธนาคารต่ำกว่าเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด จึงทำให้แม่ไม่สามารถถือบัตร scb first ได้อีก ต้องมีการเติมสินทรัพย์เพิ่มถึงจะถือต่อได้ (ประโยคนี้คือคำพูดที่เราได้ยินจากพนักงานที่หลังคุณแม่ไม่สามารถสื่อสารเรียบเรียงคำพูดแบบนี้ได้) คุณแม่จึงบอกว่า เงินไม่พอใช้บัตรไม่ได้แล้วเด่วจะเข้าไปคุยที่ธนาคาร พนักงานให้พาลูกสาวมาด้วย จึงชวนน้องไป ทั้งที่ผ่านมาคุณแม่ก็มักจะไปคนเดียวบ่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จนตอนเย็นคุณแม่กลับมาเล่าให้เราฟังว่า ธนาคารบอกว่า ยอดไม่ถึง 10 ล้าน มีอยู่ประมาณ 8 ล้าน ให้เติมเงินเหมือนที่เคยทำกองทุนอีก 1 ล้าน ก็สามารถใช้บัตรต่อได้ ไม่ต้องถึง 10 ล้านก็ได้ คุณแม่ก็คิดว่าล้านเดียวเอง และที่ผ่านมาถ้าเป็นกองทุนเวลาฉุกเฉินก็ถอนออกมาได้ แต่ต้องบอกก่อนว่าคุณแม่ไม่ได้ไปขอใช้บัตรเครดิตตัวนี้เลย ธนาคารเป็นคนเสนอมาให้ใช้เองมาตลอดเพราะเห็นว่ามีสินทรัพย์ที่อยู่กับ scb ตามเงื่อนไข แต่บอกตามตรงว่าสิทธิพิเศษเกี่ยวกับบัตรคุณแม่ก็ไม่เคยใช้ ไม่จำเป็นต้องถือก็ได้

จนเวลาผ่านไป 1 ปี มีข้อความส่งมาจาก FWD ที่มือถือคุณแม่บอกว่าแม่มีเบี้ยที่ถึงกำหนดต้องชำระ ยอด 548,900 บาท 2 กรมธรรม์ เท่ากับ 1,097,800 บาท คุณแม่เอามาให้เราอ่านว่ามันคืออะไร เราจึงถามคุณแม่ว่าคุณแม่ได้ทำประกันกับ FWD รึป่าว คุณแม่บอกว่ามีอยู่ 2 ฉบับ ที่พนักงาน SCB เคยขอให้ช่วยทำ ส่งเบี้ยฉบับละ 100,000 บาท ซึ่งพนักงานที่ชวนทำก็รู้อยู่แล้วว่าคุณแม่ไม่ทำประกัน ไม่เอาเกี่ยวกับการทำประกันเลย เพราะเคยเจอประสบการณ์แย่ๆ คุณแม่มักย้ำกับพนักงานเสมอว่าไม่เอา แต่คุณแม่เห็นเค้าขอร้องเลยช่วยทำ  เพราะสนิท เราจึงให้โทรหาพนักงานธนาคารคนนั้นวันนั้นเค้าบอกว่าพรุ่งนี้ให้เข้าไปที่ธนาคารจะทำการเซ็คให้ เย็นวันนั้นพอเรากลับถึงบ้านด้วยความที่เราสาสัยจึงไปรื้อเอกสารทั้งหมดออกมาว่ามีกรมธรรม์ 2 ฉบับนี้อยู่ไหม ปรากฎว่ามีเอกสารที่ส่งมาทางไปรษณีย์ที่ไม่เคยเปิดซอง เราเปิดซองออกมา ณ วันนั้นเลย ถึงรู้ว่าคือกรมธรรม์ 2 ฉบับนั้น จึงไปถามคุณแม่ได้ความว่า หลังจากที่ไปทำธุรกรรมวันนั้น คุณแม่ไปต่างประเทศแล้วพนักงานโทรมาแจ้งว่ามีเอกสารส่งมาที่บ้านมีคนรับแล้ว ไม่ได้บอกว่าเป็นกรมธรรม์ แม่โทรมาถามเห็นว่าคนงานที่บ้านรับไว้ เนื่องจากพนักงานบอกว่าเป็นเอกสารคุณแม่เลยไม่เอะใจเปิดดู คิดว่าเป็นเอกสารปกติที่ส่งมาอัพเดทข้อมูลสถานะการเงิน รายละเอียดของกรมธรรม์คือ ส่งเบี้ยปีละ 548,900 บาท 6 ปี ทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งหมายความว่า ต้องส่งปีละ 1,097,800 บาททั้งหมด 6 ปี และจะคืนเมื่อครบ 16 ปี วันรุ่งขึ้นเราไปหาธนาคาร ได้คุยกับพนักงาน พนักงานยืนยันว่าวันนั้นได้เสนอคุณแม่ให้เติมสินทรัพย์โดยการทำประกันลูกสาวก็มาด้วยอธิบายรายละเอียดมากมาย เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่อธิบายกับเรานานมาก แต่ไม่มีคำพวกนั้นเลยตอนที่คุณแม่กลับมาบ้าน ไม่มีคำพูดว่าเป็นประกันเลย และยังเจอคำพูดแย่ๆดูถูกแม่เราว่า เข้าใจว่าแม่เราอาจจะหมุนไม่ทันเลยมาขอยกเลิก ยกเลิกฉบับเดียวไหม อีกฉบับถือต่อ หรือยกเลิกหมด ถ้ายกเลิกหมดได้คืน 270,000 บาท จากเงิน 1,097,800 ที่เราเสียไป บอกตามตรงเราเป็นลูกส่วนตัวเรารู้ว่าแม่เราไม่มีทางทำประกันที่จะต้องส่งเบี้ยปีละล้านกว่าบาท 6 ปี และจะได้คืนในปีที่ 16 แน่นอน คนที่ทำงานหาเงินลำบากจากไม่มีอะไร จะทำประกันออมทรัพย์ส่งเบี้ยปีละล้านกว่า 6 ปี พนักงานถามย้ำเราว่าจะยกเลิกไหม เราเลยขอกลับมาคิดก่อน เรากลับไปถามน้องสาวว่าวันนั้นอยู่ในเหตุการณ์เกินอะไรขึ้น น้องบอกว่าแม่คุยกับพนักงาน หนูเล่นมือถือ เพราะปกติถ้าพาไปก็ไม่เคยยุ่งอยู่แล้ว เค้าก็คุยกันเองตกลงกันเอง วันนั้นก็เหมือนทุกที ตอนท้ายหนูก็เห็นเค้าอธิบายคุยกันเรียบร้อยเลยถามแม่ว่า จะทำจริงๆหรอ แม่ก็บอกยืนยันจะทำ ก็ไม่ได้เอะใจก็เหมือนทุกที เรารู้สึกเหมือนแม่โดนหลอก ในวันที่เค้าเสนอให้แม่ข้อมูลพนักงานเป็นคนกรอกทั้งหมด ไม่มีเอกสารอะไรที่เป็ยภาษาจีนที่แม่เราอ่านได้เลย และประกอบกับตอนโทรมาบอกให้น้องสาวเราไปด้วยอีก และวันที่โทรมาก็แจ้งว่าเป็นเอกสารไม่ได้แจ้งว่าเป็นกรมธรรม์ เราจึงร้องเรียนไปที่บริษัท FWD ให้คืนเบี้ยเรา ผลที่ได้คือไม่สามารถทำได้ เพราะได้ทำการคุยกับพนักงานที่เสนอขายแล้วบอกว่าพนักงานเสนอขายถูกแล้วและวันนั้นลูกสาวก็อยู่มีคนอ่านไทยได้ด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยโทรมาคุยมาฝั่งคำอธิบายทางแม่เราเลย เราจึงไปแจ้งความและส่งเรื่องไปที่ คปภ

หลังจากวันนั้น คปภ เรียกเราเข้าไปไกล่เกลี่ยรอบแรก แต่คุณแม่ติดไปไม่ได้เนื่องจากจะบินไปทำธุระต่างจังหวัด แต่วันนัดแจ้งมาที่หลังจากนั้น เราเลยไปกับน้องและสามี ณ วันนั้นก็จะมีฝ่ายของธนาคาร scb มีพนักงานของ FWD ฝ่ายเรา และ ฝ่ายของคปภ ก็มีการคุยไกล่เกลี่ยกันเราเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ทางคปภบอกเราว่าเอาตรงๆเราสู้เค้าไม่ได้เพราะเอกสารมันมีลายเซ็นแม่ แม่เราเซ็นไปแล้ว และผ่านมาปีนึงแล้ว แต่ถ้ายกเลิกภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับกรมธรรม์มันยังยกเลิกได้ อันนั้นเรายอมรับนะว่าผิดที่เราไม่เปิดดูจริงๆ ทาง ผอ เลยบอกทางธนาคารว่า เป็นไปได้ไหมว่าทางเราเข้าใจผิด ทางเราอยู่กับเค้ามานานพอจะช่วยอะไรได้ไหม เพราะทางเราไม่รู้จริงๆว่ามีประกันนี้ ลดหย่อนภาษีเราก็ไม่ได้เอาไปใช้ วันที่เสนอก็ไม่มีภาษาจีน วัตถุประสงค์ก็ผิดจริงที่แม่เราต้องการแค่ต่อใช้บัตรเครดิต ทาง ผอ เลยถามเราว่ามีธงไว้ว่ายังไง มีอำนาจตัดสินใจแทนแม่ไหม เราตอบไปได้ว่าแม่ให้อำนาจเรามา เราไม่ต้องการส่งกรรมธรรม์ 2 ฉบับนี้แล้วเพราะเราเสียความรู้สึกกับคำพูดของพนักงานวันนั้นที่ดูถูกแม่เรา วันที่เราไปที่ธนาคารคำพูดที่พูดว่าแม่เราอาจจะหมุนเงินไม่ทันเลยมาขอยกเลิก พวกคุณก็รู้อยู่แล้วว่าแม่เรามีเงินอยู่กับพวกคุณเท่าไหร่ สถานะการเงินบ้านเราเป็นยังไง ธุรกิจที่เราทำเป็นยังไงคุณก็เคยมาเห็น ไม่คิดว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากของคนที่ไว้ใจ ที่ขอร้องเราให้เราซื้อประกันและเราก็ช่วย แล้ววันนั้นที่กลับมาแม่ความดันขึ้นจนต้องไปแอดมินที่ รพ คนเป็นลูกเห็นแม่เครียดก็สงสารแม่นะ เราจะไม่ขอส่งต่อแล้ว เราเสนอขอให้คืนเงินเรา 1 ฉบับ แล้วอีกฉบับคุณฟรีซเงินไว้ถึงวันครบกำหนด 16 ปีคุณก็คืนมา ทาง คปภ จึงเสนอ ให้ทาง SCB และ FWD กลับไปคิดดูเพราะแบบนี้คุณก็ไม่ค่อยเสียอะไร ลูกค้าก็ยังอยู่กับคุณ เป็นลูกค้ามาสิบกว่าปี จะได้ไปต่อได้ ให้นำกลับไปคุยใหม่ เพราะถ้า คุณสามารถแปลงกรรมธรรม์ลดทุนได้แล้วให้ใช้เงินที่มีส่งเบี้ยต่อไปจนถึงวันครบสัญญาแล้วคืนเงินลูกค้า ก็ไม่เสียทั้งคู่ทางนั้นก็ตกลงจะกลับไปพิจารณา แล้วก็ได้นัดมาไกล่เกลี่ยรอบสองใน อีก 2 สัปดาห์

วันไกล่เกลี่ยรอบ2 ทางธนาคาร SCB ก็มีพนักงานที่เคยมาจากรอบแรกและมีหัวหน้าเขตมา ส่วนทาง FWD ก็พาทนายมา วันนั้นแม่เราไปด้วย ทางหัวหน้าเขตได้พูดว่า ได้ฟังจากพนักงานของตัวเองแล้วทั้งหมด เราเลยแย้งว่าคุณฟังทางคุณแล้วฟังแม่เราบางไหม แม่จึงได้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระบายทุกอย่าง ทางเราคุยแล้วอธิบายทุกอย่าง ไกล่เกลี่ยรอบสองสรุปได้ว่า ทางSCB ยอมที่จะช่วยหาทางออกให้เรา และคุยกับ FWD ให้ส่งเรื่องเข้ากรรมการว่าเราสามารถแปลงกรรมธรรม์ได้ไหม และเราก็ได้เปลี่ยนธงของเราว่า 1 ล้านกว่าที่ไม่ต้องคืนตอนนี้ให้ไปแปลงกรรมธรรม์ถึงกำหนด16ปี คุณคืนมาแล้วกัน คปภ นัดรอบสามหลังจากรอบสอง 2 สัปดาห์เหมือนเดิม

หลังจากนั้นสองสัปดาห์ทาง เจ้าหน้าที่ คปภ โทรมาบอกว่าทาง FWD ขอเลื่อนนัดเนื่องจากส่งเรื่องเข้าคณะกรรมการไม่ทัน ขอเลื่อนออกไปในวันที่ 24 ตค 2566 และไม่ต้องเข้าไปแล้วจะโทรมาแจ้งผลเลย สรุปผลที่ได้ออกมาคือ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมธรรม์ได้ ทางเลือกของเราตอนนี้คือเราต้องฟ้องเพื่อจะเอาเงินคืนต่อไป

เอาตรงๆนะ เรารู้ว่ามีเคสแบบนี้ที่เค้ายอมเปลี่ยนแปลงกรรมธรรม์ให้เยอะ เพราะทาง คปภ แจ้งเรามา แต่ทางSCB และ FWD เลือกที่จะตัดลูกค้าอย่างแม่เราที่อยู่กับเค้าที่เดียวมาเป็น 10 กว่าปี ไม่ว่าจะขอร้องให้ช่วยทำประกันที่แม่เราไม่ชอบ ก็ยอมช่วย ให้ทำกองทุน ให้ลงทุนแล้วไม่ได้คืนก็มี และยังต้องมาเจอคำพูดดูถูกแย่ๆอีก ทาง FWD ก็เหมือนกัน บ้านเราเกือบทั้งบ้าน ทำประกันสุขภาพไว้กับFWD และยังมีอีกหลายฉบับที่กำลังจะทำเพราะเห็นว่า ข้อเสนอดีกะจะย้ายค่าย และเราก็แนะนำ FWD ให้กับญาติๆเราไปเยอะนะ เพราะข้อเสนอของเค้า และตัวแทนที่เราไว้ใจ บ้านสามีเราเกลียดการทำประกันมาก กว่าเราจะพูดให้เปิดใจยอมทำประกันสุขภาพได้ยากมาก แต่พอมาเจอแบบนี้เราก็ไม่ขอแนะนำอีกเลย ข้อเสนอดี แต่ไม่ให้ใจลูกค้า วันที่ไกล่เกลี่ยก็ให้ทนายมาพูดซักเรา คุณลืมไปรึป่าวว่าเราคือลูกค้าคุณ เสียเงินทำกับคุณ ไว้ใจให้คุณดูแลเรา ดูแลชีวิตเรา และเรายอมถอยด้วยไม่ต้องคืนเงินเรา แค่แปลงกรรมธรรม์แล้วอีก 16 ปีถึงกำหนดคุณก็ค่อยคืนมา ไม่ฟังฝั่งเรา ไม่มองเลยว่า คนอายุ 60 ปีทำงานลำบากมากว่าจะเก็บเงินได้ จะเอาเงินไว้ใช้ตอนแก่ เป็นคนเกลียดการทำประกัน จะมีหรอที่จะยอมส่งเบี้ยปีละล้านกว่า 6 ปี ให้คืนอีก 16 ปีข้างหน้า ที่เราเอาประสบการณ์ครั้งนี้มาแชร์ เราอยากจะบอกว่า ถึงจะเชื่อใจมากแค่ไหน ไว้ใจเป็น 10 ปี ให้โอกาสมากี่ครั้ง ก็ไม่สามารถไว้ใจพวกพนักงานแบงค์ได้ ประสบการณ์นี้สอนเราให้เรารู้ว่าไม่ควรไว้ใจใครทั้งนั้น ผิดที่ทางเราโง่เชื่อคนที่ไว้ใจที่ดูแลเรามาเป็น 10 ปีเอง

ใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้างค่ะ

ปล.ตอนนี้เรากำลังดำเนินการหาทนายอยู่ค่ะ ไว้จะมาอัพเดทเรื่อยๆค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่