ความโลภ ความขัดแย้ง สงคราม เชื้อชาติ ศาสนา ข้ออ้าง อำนาจ ทาส การปลดแอก ความหิว (สิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกัน)
ความหิวถ้ามันมีมากไปมันก็คือความโลภ จะว่าไปความหิวมันก็คือธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์มันทำให้อยากโน้นอยากนี้ มันคือพระเจ้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์สร้างในสิ่งที่ดีและเลวได้
เอาตัวอย่างที่เห็นชัดๆที่มีอิทธิพลต่อโลกของเราตอนนี้ คือความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์&ฮามาส
ถ้าพูดตรงปัญหาๆระหว่างยิวกับปาเลสไตน์เป็นปัญหาของมวลมนุษย์ชาติที่คงจะจบลงได้ยาก เพราะมันฝังรากลึกต่อยอดจากอดีตมานานแสนนาน นอกจากจะล้างสมองคนทั้งหมดในโลกให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่เบียดกัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นไหม
ความขัดแย้งเกิดจากอะไร การรุกราน การจัดสรร การแสวงหา ที่ไม่เคยพอของผู้คน ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้น ลุกลามกลายเป็นสงคราม เมื่อมีสงครามก็ต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนให้เป็นหนี่งเดียวในการรบ นั้นก็คือ ศาสนา เชื้อชาติ เมื่อมีฝ่ายชนะ ก็ต้องมีฝ่ายเชลยที่ถูกใช้งานเยี่ยงทาส และทาสคนที่เคยอยู่ดีๆแต่เพราะรุ่นพ่อรุ่นแม่รบแพ้หรือไม่ได้รบแต่ก็ต้องมาอยู่ในสภาพทาส จึงต้องหาทางปลดแอก
สมัย โมเสส (เทียบยุค ราเมซีสที่ 2 ประมาณ 1279 ถึง 1213 ก่อนคริสต์ศักราช ประมาณ 3 พันกว่าปีที่แล้ว )
มันเริ่มตั้งแต่ยุคอียิปต์สมัยกษัตริย์อียิปนาม ฟาโรห์ ราเมซีส ที่ 2(Ramesses II) ที่ยังคงนับถือศาสนาแบบเทพเจ้าหลายองค์แบบกรีก บ้าไสยศาสตร์
จนกระทั้งมีหมอดูของราชสำนักดูดวงดาวแล้วทำนายว่าจะมี พระเมสิยาห์(ผู้ช่วยให้รอด)มาเกิด ซึ่งก็คือโมเสสนั่นเอง ซึ่งจะเป็นดวงทำลายตระกูลของพระองค์ ทำให้ ฟาโรห์ราเมซีส ที่2 ออกคำสั่งฆ่าเด็กเกิดใหม่(บางข้อมูลว่า 0 - 2ขวบ)ที่เกิดจากลูกทาสชาวฮีบรูจำนวนมาก และครอบครัวที่ให้กำเนิดโมเสสที่อยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์รู้ข่าวเข้าพึ่งคลอดโมเสสก็เอาโมเสสใส่ภาชนะลอยน้ำไปตามแม่น้ำไนล์(และคงจะมีคนพบและรับไปเลี้ยง) และเมื่อโมเสสเป็นหนุ่มวัยรุ่น โมเสสเห็นนายทหารอียิปต์ทุบตีแรงงานทาสชาวฮีบรู เขาจึงพลั้งมือฆ่าทหารอียิปต์ ก่อนจะหนีไปบริเวณคาบสมุทรซีนายไปเป็นลูกมือพ่อค้าญาติห่างของตน(แถมได้ลูกสาวพ่อค้าด้วย) พอโมเสสรวยมากพอ(มีเงินและมีลูกน้องที่ค้าขายด้วยกัน) ก็อ้างตนเป็นผู้นำสารจากพระเจ้าไปนำเสนอแก่ทาสชาวฮีบรูในอียิปต์ให้มานับถือพระเจ้าองค์เดียว ที่โมเสสอ้างว่าเห็นในนิมิต ข่าวไปถึงหูกษัตริย์ฟาโรห์เรื่องการชวนเชื่อของโมเสส ฟาโรห์ก็ส่งกองทัพตามฆ่าโมเสสและกลุ่มคนที่หนีตามโมเสส และตามจนไปถึงทะเลแดง โมเสสทำการแยกน้ำทะเล(อืม!! ต้นกำเนิดของThe Exodusการอพยพของโมเสสและสาวกในพระคัมภีร์ยูดาย) แล้วก็อธิฐานให้ตนและสาวกผ่านทะเลไปได้ ส่วนฟาโรห์และกองทัพที่ตามมาฆ่านั้น ก็ถูกน้ำที่แยกกลับมารวมกันท่วมจนตาย และโมเสสก็พาสาวกมาเรื่อยๆก่อนจะอ้างว่าได้พบกับพระยาเวห์(ยะโฮวา)ในหุบเขาซีนายและได้ตั้งบัญญัติ10 ประการขึ้นรวมถึงประกาศพันธสัญญาขึ้น(คัมภีร์โตรา) ว่าพระยาเวห์มอบพื้นที่ดินแดนคานาอันเป็นของขวัญแก่พวกเราให้อยู่เผยแพร่ศาสนา
(นักวิชาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทามไลน์ว่า โมเสสอาจจะเกิดในยุคฟาโรห์คนใดซักคนที่อาจจะไม่ใช่ ยุคราเมซีส และไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้รับการยืนยันจากนักวิชาการที่สนับสนุนการข้ามทะเลแดง เนื่องจากขาดหลักฐานสำหรับเรื่องราวในพระคัมภีร์ ซึ่งอาจจะเป็นการเสริมเติมแต่งในพระคัมภีร์โดยลูกศิษย์บางคน)
ที่น่าสนใจ คือ ฆ่าคนก็เป็นผู้แทนพระเจ้าได้ ถ้าคุณมีความเป็นโค้ชชิ่งพอ
สมัย เยซู
(เยซูเกิด ช่วง6 - 4 ก่อนคริสตศักราช ในยุคของกษัตริย์ ฮีรอด Herod)ห่างกับยุคโมเสส ประมาณ พันกว่าปี
ดินแดนปาเลสไตน์ของชาวยิวในอดีต ในสมัยพระเยซูเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันซึ่งควบคุมดินแดนต่างๆบริเวณแถบนี้ ( เอเชียไมเนอร์ตะวันออก ซีเรีย ปาเลสไตน์ และอียิปต์) ดินแดนถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่เรียกว่า "กษัตริย์หุ่นเชิด" ของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งก็คือกษัตริย์ ฮีรอด แห่งแคว้นยูเดีย(ยูดาย) (37–4 BCE) ซึ่งฮีรอด(จะเรียกเฮรอด เฮโรดอะไรก็แล้วแต่) บิดาของฮีรอดมีเชื้อสายมาจากชาวเอโดมและมีมารดาเป็นชาวยิว บรรพบุรุษของเขาเปลี่ยนมานับถือศาสนายิวฮีรอดเลี้ยงดูมาในฐานะชาวยิวและนับถือคัมภีร์ยูดาย แต่ในวังของฮีรอดก็ยังมีหมอดูทำนายดวงดาวบ้าไสยศาสตร์อีกเช่นเคย ได้ทำนายว่าจะมีพระเมสิยาห์มาเกิดและทำให้ตระกูล(ราชวงศ์)ท่านล่มสลาย ฮีรอดก็เชื่ออีกโดยสั่งทหารไปฆ่าเด็กเกิดใหม่ให้หมด(บางข้อมูลบอกว่าฆ่าเด็ก 0-2ขวบให้หมด) แต่สุดท้ายฮีรอด ก็ตายโดยการสังหารของกองทัพโรมในบัญชาการของจักรพรรดิ Augustus (ข้อมูลอ้างว่าเนื่องจากฮีรอดทำตัวหยาบช้าฆ่าคนประชาชนโดยไร้เหตุผล ไอ้หมอดูนักทำนายเป็นทีมงานจักรวรรดิ์โรมันรึเปล่าเอามุกสมัยโมเสสมาใช้ ฮีรอดต่อให้มีศาสนาแค่ไหนถ้าคนมันหิวอำนาจ ความโง่ ความกลัวก็จะเข้ามาแทนที่ความเป็นคน) และหลังจากนั้น ดินแดนในปกครองก็ถูกแบ่งเป็น 5 ส่วน ให้บุตรชายทั้ง 3 คน
1.Herod Archelaus(ฮีรอด อาร์เชลาอุส) ได้ปกครองแคว้นยูเดีย(ยูดาย)ลูกชายคนโตและเป็นรัชทายาทหลัก เป็นผู้ได้ครองส่วนที่พื้นใหญ่ที่สุดของอาณาจักรยูเดียอันได้แก่ ยูเดีย,อิดูเมีย ,สะมาเรีย โดยได้ดินทางไปแสดงตนว่าเป็นรัชทายาทเพื่อปกครองพื้นที่ดังกล่าวกับ จักรพรรดิ Augustus
2.Herod Antipas(ฮีรอด อันติปัส) ได้ปกครองเมือง กาลิลี , เปเรอา
3. ฟิลิป(Philip)ซึ่งยังเล็กให้อยู่ในความดูแลของน้าสาวซาโลเม(Salome)ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อ อาร์เคลาอุส ยกเมือง สะมาเรีย(คนอาหรับอยู่)ที่ไม่มีชาวยิวอยู่ให้ดูแล (หรือเรียกสะมาเรีย ว่า ซีเรีย)
ภาพดินแดนปาเลสไตน์ในยุคกษัตริย์ฮีรอดและเหล่าลูกๆ(ยุคพระเยซู)
https://www.britannica.com/biography/Jesus/The-Jewish-religion-in-the-1st-century
แต่ท้ายที่สุด อาเคลาอุส ก็ถูก จักพรรดิ Augustus ก็สังหาร ใน ค.ศ.6 และยึดพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นยูเดีย มาอยู่ในความปกครองของจักรวรรดิโรมันและส่งขุนนางโรมันมาปกครองแทน ที่มีนามว่า ปอนติอุส ปีลาต และขึ้นตรงเป็นแคว้นสาขาของจักรวรรดิ์โรมัน
และ ปอนติอุส ปีลาต (Pontius Pilate) ผู้ว่าราชการแห่งแคว้นยูเดีย (คริสตศักราช 26–36)ผู้นี้ ก็เป็นประธานในการพิจารณาคดีของพระเยซูและออกคำสั่งให้พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน แม้จะไม่เต็มใจเท่าใดนักก็ตาม เหตุที่พระเยซูถูกพิจารณาให้ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้น ในข้อมูลต่างๆเชื่อกันว่าเป็นการเรียกร้องของประชาชนชาวยิวในพื้นที่ที่นับถือศาสนายูดาย ซึ่งกล่าวหาว่า เยซูนั้น ประพฤติตนนอกรีตสร้างศาสนาใหม่ และเป็นผู้นำของลัทธิป่าเถื่อน (ศาสนาคริสต์ของเยซูก็แค่แปลงสารของพันธสัญญาเก่าของโมเสส เปลี่ยนมาเป็นพันธสัญญาใหม่ของเยซู อาจจะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปบ้างในนั้นก็ว่าไป)
สภาซันเฮดรินซึ่งเป็นสภาชั้นสูงของเหล่าปุโรหิตและนักบวชอาวุโสของศาสนายูดาย ได้จับกุมพระเยซูในช่วงเทศกาลปัสกาของชาวยิว พวกเขาลากพระเยซูไปยืนต่อหน้าปีลาตเพื่อเข้ารับการพิจารณาคดีโทษหมิ่นประมาท และพวกเขากดดันปีลาตผู้มีอำนาจสั่งประหารชีวิตพระเยซูให้เรียกร้องให้ตรึงไม้กางเขน เพราะปีลาตดูจะเข้าข้างและเอนเอียงไปสนิทกับเยซู ซึ่งปีลาสก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเหล่าปุโรหิต(อำมาตย์ผู้นำศาสนา)ในสภาอยู่พอสมควร จึงไม่แปลกที่เหล่านักเขียนที่เป็นชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย(ยิว)จะเขียนเรื่องราวประวัติของปีลาตว่าเป็นคนบ้าอำนาจและมีแต่ความโหดเหี้ยม
เช่นเดียวกัน ฝั่งปีลาสเองก็เหมือนจะสร้างกลุ่มคนชาวยิวในพื้นที่ไม่น้อยที่ให้มาคล้อยตามคำสอนของเยซู
(โหดเหมือนกันนะสมัยก่อน ใครสร้างลัทธิความเชื่อใหม่ โดนล่าแม่มดฆ่าทิ้งอย่างเดียว ถ้าพระเยซูไม่มีเรื่องตายแล้วฟื้นจากไม้กางเขน แนวเดียวกับแหวกน้ำทะเลเลย ศาสนาคริสต์ไม่ได้เกิดแน่ๆ คนเขียนคัมภีร์ศาสนาทั้งของสายโมเสส และสายเยซูต้องมีทั้งบารมีและอำนาจมืดหนุนแน่ๆถึงสร้างให้คนเชื่อได้แบบสนิทใจ) และเมื่อจักรวรรดิโรมันรับเอาศาสนาคริสต์ไปเป็นศาสนาของตนในยุคจักรพรรดิคอนสแตนติน แห่งจักรวรรดิโรมัน ผู้ได้ประกาศตนว่าทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และได้รับสั่งให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันมันก็ยิ่งแพร่กระจายทั่วยุโรปในเวลาต่อมาก่อนที่มิชชันนารีจะออกเดินสายขายตรงศาสนาคริสต์
ในงานวิจัยของนักวิชาการเชื่อว่าเหตุการณ์ทะเลแดงไม่มีจุดใดที่สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงของโมเสส รวมถึงเหตุการณ์ของเยซู ที่สนิทกับปีลาต มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนนักโทษที่หน้าตาคล้ายเยซูมาตายบนไม่กางเขนแทน คนที่ถูกตรึงไว้บนไม้กางเขนผอมโทรมผมเผ้ารุงรังใครจะจำได้บ้าง(ใช้ทริกเดียวกับหนังเรื่อง The Prestige ศึกมายากลหยุดโลก (2006) ที่ฮิว แจ็คแมนแสดงก็ตบตาคนได้สบาย คงไม่แปลกสำหรับคนที่สร้างเนื้อหาในคัมภีร์ได้ก็ต้องฉลาดในการคิดอะไรได้เสมอ ) ในอดีตยีนคนไม่ได้หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน คนหน้าตาเหมือนกันมีถมไป (ความสนิทของเยซูและปีลาต ในเรื่องของการเมือง ที่นำไปสู่ศาสนาคริสต์ในจักรรวรรดิโรมันหลังจากนั้น เป็นสิ่งที่น้อยคนจะตั้งคำถามขึ้นมา)
ทำไมเยซูถึงอยากเปลี่ยนแปลงเนื้อความหรือตีความคัมภีร์ของโมเสสใหม่? เช่น เยซูคือโมเสสคนใหม่ อาจจะมีแรงหนุนอ้างตามคำทำนายของหมอหลวงในยุคกษัตริย์ฮีรอด แต่ยังคงไว้ซึ่งบัญญัติสิบประกาศแบบที่โมเสสเคยบัญญัติไว้ หรือสอดแทรกบางเนื้อหาที่ทำให้เชื่อว่าเยซูคือโมเสสคนใหม่ เป็นต้น (พวกผู้นำคุณไสยมีบารมีกันมาตั้งแต่อดีตแล้ว ไม่ว่าผู้นำศาสนา หมอดูทำนาย หมอผีเผ่า หมอผีหมู่บ้าน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่...อืม) อย่างบัญญัติ 10 ประการของโมเสสที่ชาวยิวเคร่งครัดก็เอามาอยู่ในกฏหมายของแคว้นด้วยไม่ว่าจะเป็นอาญาหรือแพ่ง อาหาร สุขภาพ ตลอดจนถึงการดำเนินชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องอยู่ในกรอบของกฏของโมเสส เอ้ยกฏของพระเจ้า(พระยาเวห์) กฏบัญญัติ 10 ประการ (กฏพระทัยพระผู้เป็นเจ้า) ครอบคลุมกฏหมายเอกสารกว่า600ฉบับ
ซึ่งต่างจากของเยซูที่ไม่ได้มีอิทธิพลขนาดนั้นแม่คนในศาสนาคริสต์จะเคร่งมากก็ตาม แต่เยซูก็บอกเสมอว่าคัมภีร์พันธสัญญา 10 ประการนั้นคือสิ่งเดียวกัน เพียงแค่เราทำหน้าที่ต่อจากโมเสส(เปลี่ยนมือรับไม้ต่อ)
ชาวยิว (ฮีบรู) หรือกลุ่มอาซเกนาซี(Ashkenazi)โดยพื้นฐานแล้วมียีนที่เรียกว่ากลุ่มเซมิติกตะวันออกกลาง เปอร์เซีย-อาหรับ (ยีนยุโรปผสมกับยีนแอฟริกัน)และในยุคที่อพยพไปยุโรปก่อนกลับมายึดครองอิสราเอลทำให้เห็นว่าชาวยิวจำนวนมากยีนยุโรปมากขึ้น
ประชาชนชาวชาวอียิปต์และชาวกูซ(Kushites) เป็นกลุ่มชนชาติบนหุบเขาไนต์ (ปัจจุบันคือซูดาน) ส่วนมากก็น่าจะเป็นคนดำโบราณอยู่ผสมกันพวกทาสผิวขาวหน่อยอย่างพวกเปอร์เซีย ก็กลายเป็นอาหรับ(เซมิติก) ฮีบรูหรือยิวเองก็คือเซมิติกกลุ่มหนึ่งที่เป็นทาสในอียิปต์ด้วยเช่นกัน
ส่วนผู้นำ(ฟาโรห์) จะเป็นกลุ่ม กรีก-โรมัน ที่ปกครอง จะเห็นได้ว่าศาสนาเทพแบบพหุนิยม จะถูกนำมาใช้ล้างสมองประชาชนให้อยู่ในกรอบ ให้เชื่อในผู้นำเป็นเหมือนผู้ได้รับพรจากเทพ ไม่ว่าจะศาสนาเซเมติกโบราณ หรือฮินดู ล้วนแล้วแต่บูชาเทพ ก็ยังคิดอยู่ว่า การที่อยากให้คนเหล่านั้นมาเชื่อ ผู้นำ(กรีกโรมัน)ก็ต้องเอาเทพของคนเหล่านั้นมาเคลมหรือสร้างเทพกรีกเพื่อสอดแทรกเนื้อหาใหม่ๆให้คนเหล่านั้นอยู่ในโอวาทไปด้วย การกล่อมคนด้วยนิทานมันคือสิ่งที่ใช้กันได้ดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่คนที่เห็นปัญหาของการกดขี่จากผู้นำ ก็พร้อมปลดแอกด้วยนิทานศาสนาเรื่องใหม่
ความโลภ ความขัดแย้ง สงคราม เชื้อชาติ ศาสนา ข้ออ้าง อำนาจ ทาส การปลดแอก ความหิว
ความหิวถ้ามันมีมากไปมันก็คือความโลภ จะว่าไปความหิวมันก็คือธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์มันทำให้อยากโน้นอยากนี้ มันคือพระเจ้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์สร้างในสิ่งที่ดีและเลวได้
เอาตัวอย่างที่เห็นชัดๆที่มีอิทธิพลต่อโลกของเราตอนนี้ คือความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์&ฮามาส
ถ้าพูดตรงปัญหาๆระหว่างยิวกับปาเลสไตน์เป็นปัญหาของมวลมนุษย์ชาติที่คงจะจบลงได้ยาก เพราะมันฝังรากลึกต่อยอดจากอดีตมานานแสนนาน นอกจากจะล้างสมองคนทั้งหมดในโลกให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่เบียดกัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นไหม
ความขัดแย้งเกิดจากอะไร การรุกราน การจัดสรร การแสวงหา ที่ไม่เคยพอของผู้คน ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้น ลุกลามกลายเป็นสงคราม เมื่อมีสงครามก็ต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนให้เป็นหนี่งเดียวในการรบ นั้นก็คือ ศาสนา เชื้อชาติ เมื่อมีฝ่ายชนะ ก็ต้องมีฝ่ายเชลยที่ถูกใช้งานเยี่ยงทาส และทาสคนที่เคยอยู่ดีๆแต่เพราะรุ่นพ่อรุ่นแม่รบแพ้หรือไม่ได้รบแต่ก็ต้องมาอยู่ในสภาพทาส จึงต้องหาทางปลดแอก
สมัย โมเสส (เทียบยุค ราเมซีสที่ 2 ประมาณ 1279 ถึง 1213 ก่อนคริสต์ศักราช ประมาณ 3 พันกว่าปีที่แล้ว )
มันเริ่มตั้งแต่ยุคอียิปต์สมัยกษัตริย์อียิปนาม ฟาโรห์ ราเมซีส ที่ 2(Ramesses II) ที่ยังคงนับถือศาสนาแบบเทพเจ้าหลายองค์แบบกรีก บ้าไสยศาสตร์
จนกระทั้งมีหมอดูของราชสำนักดูดวงดาวแล้วทำนายว่าจะมี พระเมสิยาห์(ผู้ช่วยให้รอด)มาเกิด ซึ่งก็คือโมเสสนั่นเอง ซึ่งจะเป็นดวงทำลายตระกูลของพระองค์ ทำให้ ฟาโรห์ราเมซีส ที่2 ออกคำสั่งฆ่าเด็กเกิดใหม่(บางข้อมูลว่า 0 - 2ขวบ)ที่เกิดจากลูกทาสชาวฮีบรูจำนวนมาก และครอบครัวที่ให้กำเนิดโมเสสที่อยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์รู้ข่าวเข้าพึ่งคลอดโมเสสก็เอาโมเสสใส่ภาชนะลอยน้ำไปตามแม่น้ำไนล์(และคงจะมีคนพบและรับไปเลี้ยง) และเมื่อโมเสสเป็นหนุ่มวัยรุ่น โมเสสเห็นนายทหารอียิปต์ทุบตีแรงงานทาสชาวฮีบรู เขาจึงพลั้งมือฆ่าทหารอียิปต์ ก่อนจะหนีไปบริเวณคาบสมุทรซีนายไปเป็นลูกมือพ่อค้าญาติห่างของตน(แถมได้ลูกสาวพ่อค้าด้วย) พอโมเสสรวยมากพอ(มีเงินและมีลูกน้องที่ค้าขายด้วยกัน) ก็อ้างตนเป็นผู้นำสารจากพระเจ้าไปนำเสนอแก่ทาสชาวฮีบรูในอียิปต์ให้มานับถือพระเจ้าองค์เดียว ที่โมเสสอ้างว่าเห็นในนิมิต ข่าวไปถึงหูกษัตริย์ฟาโรห์เรื่องการชวนเชื่อของโมเสส ฟาโรห์ก็ส่งกองทัพตามฆ่าโมเสสและกลุ่มคนที่หนีตามโมเสส และตามจนไปถึงทะเลแดง โมเสสทำการแยกน้ำทะเล(อืม!! ต้นกำเนิดของThe Exodusการอพยพของโมเสสและสาวกในพระคัมภีร์ยูดาย) แล้วก็อธิฐานให้ตนและสาวกผ่านทะเลไปได้ ส่วนฟาโรห์และกองทัพที่ตามมาฆ่านั้น ก็ถูกน้ำที่แยกกลับมารวมกันท่วมจนตาย และโมเสสก็พาสาวกมาเรื่อยๆก่อนจะอ้างว่าได้พบกับพระยาเวห์(ยะโฮวา)ในหุบเขาซีนายและได้ตั้งบัญญัติ10 ประการขึ้นรวมถึงประกาศพันธสัญญาขึ้น(คัมภีร์โตรา) ว่าพระยาเวห์มอบพื้นที่ดินแดนคานาอันเป็นของขวัญแก่พวกเราให้อยู่เผยแพร่ศาสนา
(นักวิชาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทามไลน์ว่า โมเสสอาจจะเกิดในยุคฟาโรห์คนใดซักคนที่อาจจะไม่ใช่ ยุคราเมซีส และไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้รับการยืนยันจากนักวิชาการที่สนับสนุนการข้ามทะเลแดง เนื่องจากขาดหลักฐานสำหรับเรื่องราวในพระคัมภีร์ ซึ่งอาจจะเป็นการเสริมเติมแต่งในพระคัมภีร์โดยลูกศิษย์บางคน)
ที่น่าสนใจ คือ ฆ่าคนก็เป็นผู้แทนพระเจ้าได้ ถ้าคุณมีความเป็นโค้ชชิ่งพอ
สมัย เยซู
(เยซูเกิด ช่วง6 - 4 ก่อนคริสตศักราช ในยุคของกษัตริย์ ฮีรอด Herod)ห่างกับยุคโมเสส ประมาณ พันกว่าปี
ดินแดนปาเลสไตน์ของชาวยิวในอดีต ในสมัยพระเยซูเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันซึ่งควบคุมดินแดนต่างๆบริเวณแถบนี้ ( เอเชียไมเนอร์ตะวันออก ซีเรีย ปาเลสไตน์ และอียิปต์) ดินแดนถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่เรียกว่า "กษัตริย์หุ่นเชิด" ของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งก็คือกษัตริย์ ฮีรอด แห่งแคว้นยูเดีย(ยูดาย) (37–4 BCE) ซึ่งฮีรอด(จะเรียกเฮรอด เฮโรดอะไรก็แล้วแต่) บิดาของฮีรอดมีเชื้อสายมาจากชาวเอโดมและมีมารดาเป็นชาวยิว บรรพบุรุษของเขาเปลี่ยนมานับถือศาสนายิวฮีรอดเลี้ยงดูมาในฐานะชาวยิวและนับถือคัมภีร์ยูดาย แต่ในวังของฮีรอดก็ยังมีหมอดูทำนายดวงดาวบ้าไสยศาสตร์อีกเช่นเคย ได้ทำนายว่าจะมีพระเมสิยาห์มาเกิดและทำให้ตระกูล(ราชวงศ์)ท่านล่มสลาย ฮีรอดก็เชื่ออีกโดยสั่งทหารไปฆ่าเด็กเกิดใหม่ให้หมด(บางข้อมูลบอกว่าฆ่าเด็ก 0-2ขวบให้หมด) แต่สุดท้ายฮีรอด ก็ตายโดยการสังหารของกองทัพโรมในบัญชาการของจักรพรรดิ Augustus (ข้อมูลอ้างว่าเนื่องจากฮีรอดทำตัวหยาบช้าฆ่าคนประชาชนโดยไร้เหตุผล ไอ้หมอดูนักทำนายเป็นทีมงานจักรวรรดิ์โรมันรึเปล่าเอามุกสมัยโมเสสมาใช้ ฮีรอดต่อให้มีศาสนาแค่ไหนถ้าคนมันหิวอำนาจ ความโง่ ความกลัวก็จะเข้ามาแทนที่ความเป็นคน) และหลังจากนั้น ดินแดนในปกครองก็ถูกแบ่งเป็น 5 ส่วน ให้บุตรชายทั้ง 3 คน
1.Herod Archelaus(ฮีรอด อาร์เชลาอุส) ได้ปกครองแคว้นยูเดีย(ยูดาย)ลูกชายคนโตและเป็นรัชทายาทหลัก เป็นผู้ได้ครองส่วนที่พื้นใหญ่ที่สุดของอาณาจักรยูเดียอันได้แก่ ยูเดีย,อิดูเมีย ,สะมาเรีย โดยได้ดินทางไปแสดงตนว่าเป็นรัชทายาทเพื่อปกครองพื้นที่ดังกล่าวกับ จักรพรรดิ Augustus
2.Herod Antipas(ฮีรอด อันติปัส) ได้ปกครองเมือง กาลิลี , เปเรอา
3. ฟิลิป(Philip)ซึ่งยังเล็กให้อยู่ในความดูแลของน้าสาวซาโลเม(Salome)ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อ อาร์เคลาอุส ยกเมือง สะมาเรีย(คนอาหรับอยู่)ที่ไม่มีชาวยิวอยู่ให้ดูแล (หรือเรียกสะมาเรีย ว่า ซีเรีย)
ภาพดินแดนปาเลสไตน์ในยุคกษัตริย์ฮีรอดและเหล่าลูกๆ(ยุคพระเยซู)
https://www.britannica.com/biography/Jesus/The-Jewish-religion-in-the-1st-century
แต่ท้ายที่สุด อาเคลาอุส ก็ถูก จักพรรดิ Augustus ก็สังหาร ใน ค.ศ.6 และยึดพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นยูเดีย มาอยู่ในความปกครองของจักรวรรดิโรมันและส่งขุนนางโรมันมาปกครองแทน ที่มีนามว่า ปอนติอุส ปีลาต และขึ้นตรงเป็นแคว้นสาขาของจักรวรรดิ์โรมัน
และ ปอนติอุส ปีลาต (Pontius Pilate) ผู้ว่าราชการแห่งแคว้นยูเดีย (คริสตศักราช 26–36)ผู้นี้ ก็เป็นประธานในการพิจารณาคดีของพระเยซูและออกคำสั่งให้พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน แม้จะไม่เต็มใจเท่าใดนักก็ตาม เหตุที่พระเยซูถูกพิจารณาให้ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้น ในข้อมูลต่างๆเชื่อกันว่าเป็นการเรียกร้องของประชาชนชาวยิวในพื้นที่ที่นับถือศาสนายูดาย ซึ่งกล่าวหาว่า เยซูนั้น ประพฤติตนนอกรีตสร้างศาสนาใหม่ และเป็นผู้นำของลัทธิป่าเถื่อน (ศาสนาคริสต์ของเยซูก็แค่แปลงสารของพันธสัญญาเก่าของโมเสส เปลี่ยนมาเป็นพันธสัญญาใหม่ของเยซู อาจจะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปบ้างในนั้นก็ว่าไป)
สภาซันเฮดรินซึ่งเป็นสภาชั้นสูงของเหล่าปุโรหิตและนักบวชอาวุโสของศาสนายูดาย ได้จับกุมพระเยซูในช่วงเทศกาลปัสกาของชาวยิว พวกเขาลากพระเยซูไปยืนต่อหน้าปีลาตเพื่อเข้ารับการพิจารณาคดีโทษหมิ่นประมาท และพวกเขากดดันปีลาตผู้มีอำนาจสั่งประหารชีวิตพระเยซูให้เรียกร้องให้ตรึงไม้กางเขน เพราะปีลาตดูจะเข้าข้างและเอนเอียงไปสนิทกับเยซู ซึ่งปีลาสก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเหล่าปุโรหิต(อำมาตย์ผู้นำศาสนา)ในสภาอยู่พอสมควร จึงไม่แปลกที่เหล่านักเขียนที่เป็นชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย(ยิว)จะเขียนเรื่องราวประวัติของปีลาตว่าเป็นคนบ้าอำนาจและมีแต่ความโหดเหี้ยม
เช่นเดียวกัน ฝั่งปีลาสเองก็เหมือนจะสร้างกลุ่มคนชาวยิวในพื้นที่ไม่น้อยที่ให้มาคล้อยตามคำสอนของเยซู
(โหดเหมือนกันนะสมัยก่อน ใครสร้างลัทธิความเชื่อใหม่ โดนล่าแม่มดฆ่าทิ้งอย่างเดียว ถ้าพระเยซูไม่มีเรื่องตายแล้วฟื้นจากไม้กางเขน แนวเดียวกับแหวกน้ำทะเลเลย ศาสนาคริสต์ไม่ได้เกิดแน่ๆ คนเขียนคัมภีร์ศาสนาทั้งของสายโมเสส และสายเยซูต้องมีทั้งบารมีและอำนาจมืดหนุนแน่ๆถึงสร้างให้คนเชื่อได้แบบสนิทใจ) และเมื่อจักรวรรดิโรมันรับเอาศาสนาคริสต์ไปเป็นศาสนาของตนในยุคจักรพรรดิคอนสแตนติน แห่งจักรวรรดิโรมัน ผู้ได้ประกาศตนว่าทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และได้รับสั่งให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันมันก็ยิ่งแพร่กระจายทั่วยุโรปในเวลาต่อมาก่อนที่มิชชันนารีจะออกเดินสายขายตรงศาสนาคริสต์
ในงานวิจัยของนักวิชาการเชื่อว่าเหตุการณ์ทะเลแดงไม่มีจุดใดที่สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงของโมเสส รวมถึงเหตุการณ์ของเยซู ที่สนิทกับปีลาต มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนนักโทษที่หน้าตาคล้ายเยซูมาตายบนไม่กางเขนแทน คนที่ถูกตรึงไว้บนไม้กางเขนผอมโทรมผมเผ้ารุงรังใครจะจำได้บ้าง(ใช้ทริกเดียวกับหนังเรื่อง The Prestige ศึกมายากลหยุดโลก (2006) ที่ฮิว แจ็คแมนแสดงก็ตบตาคนได้สบาย คงไม่แปลกสำหรับคนที่สร้างเนื้อหาในคัมภีร์ได้ก็ต้องฉลาดในการคิดอะไรได้เสมอ ) ในอดีตยีนคนไม่ได้หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน คนหน้าตาเหมือนกันมีถมไป (ความสนิทของเยซูและปีลาต ในเรื่องของการเมือง ที่นำไปสู่ศาสนาคริสต์ในจักรรวรรดิโรมันหลังจากนั้น เป็นสิ่งที่น้อยคนจะตั้งคำถามขึ้นมา)
ทำไมเยซูถึงอยากเปลี่ยนแปลงเนื้อความหรือตีความคัมภีร์ของโมเสสใหม่? เช่น เยซูคือโมเสสคนใหม่ อาจจะมีแรงหนุนอ้างตามคำทำนายของหมอหลวงในยุคกษัตริย์ฮีรอด แต่ยังคงไว้ซึ่งบัญญัติสิบประกาศแบบที่โมเสสเคยบัญญัติไว้ หรือสอดแทรกบางเนื้อหาที่ทำให้เชื่อว่าเยซูคือโมเสสคนใหม่ เป็นต้น (พวกผู้นำคุณไสยมีบารมีกันมาตั้งแต่อดีตแล้ว ไม่ว่าผู้นำศาสนา หมอดูทำนาย หมอผีเผ่า หมอผีหมู่บ้าน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่...อืม) อย่างบัญญัติ 10 ประการของโมเสสที่ชาวยิวเคร่งครัดก็เอามาอยู่ในกฏหมายของแคว้นด้วยไม่ว่าจะเป็นอาญาหรือแพ่ง อาหาร สุขภาพ ตลอดจนถึงการดำเนินชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องอยู่ในกรอบของกฏของโมเสส เอ้ยกฏของพระเจ้า(พระยาเวห์) กฏบัญญัติ 10 ประการ (กฏพระทัยพระผู้เป็นเจ้า) ครอบคลุมกฏหมายเอกสารกว่า600ฉบับ
ซึ่งต่างจากของเยซูที่ไม่ได้มีอิทธิพลขนาดนั้นแม่คนในศาสนาคริสต์จะเคร่งมากก็ตาม แต่เยซูก็บอกเสมอว่าคัมภีร์พันธสัญญา 10 ประการนั้นคือสิ่งเดียวกัน เพียงแค่เราทำหน้าที่ต่อจากโมเสส(เปลี่ยนมือรับไม้ต่อ)
ชาวยิว (ฮีบรู) หรือกลุ่มอาซเกนาซี(Ashkenazi)โดยพื้นฐานแล้วมียีนที่เรียกว่ากลุ่มเซมิติกตะวันออกกลาง เปอร์เซีย-อาหรับ (ยีนยุโรปผสมกับยีนแอฟริกัน)และในยุคที่อพยพไปยุโรปก่อนกลับมายึดครองอิสราเอลทำให้เห็นว่าชาวยิวจำนวนมากยีนยุโรปมากขึ้น
ประชาชนชาวชาวอียิปต์และชาวกูซ(Kushites) เป็นกลุ่มชนชาติบนหุบเขาไนต์ (ปัจจุบันคือซูดาน) ส่วนมากก็น่าจะเป็นคนดำโบราณอยู่ผสมกันพวกทาสผิวขาวหน่อยอย่างพวกเปอร์เซีย ก็กลายเป็นอาหรับ(เซมิติก) ฮีบรูหรือยิวเองก็คือเซมิติกกลุ่มหนึ่งที่เป็นทาสในอียิปต์ด้วยเช่นกัน
ส่วนผู้นำ(ฟาโรห์) จะเป็นกลุ่ม กรีก-โรมัน ที่ปกครอง จะเห็นได้ว่าศาสนาเทพแบบพหุนิยม จะถูกนำมาใช้ล้างสมองประชาชนให้อยู่ในกรอบ ให้เชื่อในผู้นำเป็นเหมือนผู้ได้รับพรจากเทพ ไม่ว่าจะศาสนาเซเมติกโบราณ หรือฮินดู ล้วนแล้วแต่บูชาเทพ ก็ยังคิดอยู่ว่า การที่อยากให้คนเหล่านั้นมาเชื่อ ผู้นำ(กรีกโรมัน)ก็ต้องเอาเทพของคนเหล่านั้นมาเคลมหรือสร้างเทพกรีกเพื่อสอดแทรกเนื้อหาใหม่ๆให้คนเหล่านั้นอยู่ในโอวาทไปด้วย การกล่อมคนด้วยนิทานมันคือสิ่งที่ใช้กันได้ดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่คนที่เห็นปัญหาของการกดขี่จากผู้นำ ก็พร้อมปลดแอกด้วยนิทานศาสนาเรื่องใหม่