สวัสดีครับ วันนี้ผมมารีวิวโปรแกรมเทศกาลภาพยนตร์อิสระ JFF+ Independent Cinema 2023
ก่อนอื่นเลยนี้เป็นประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์รับชมภาพยนตร์อิสระขนาดยาวครั้งแรกเลยด้วยการแนะนำของอาจารย์ที่มหาลัยจึงทำให้ได้รู้จักและเปิดโลกการมองภาพยนตร์และเรียนรู้ภาพยนตร์ที่หลากหลายโดยในเทศกาลนี้หมดเขต 31 ตุลาคม 2023
https://jff.jpf.go.jp/watch/ic2023/ ผมเลือกรับชมไปสองโปรแกรมคือ Techno Brothers และ Hey Our dear Don-Chan
Techno Brothers
“หนังแนว Road Movies ที่พาวงดนตรีเทคโนตกอับทัวร์ไปเล่นดนตรีตามงานในสถานที่ต่าง ๆ”
ซีนแรกเปิดมานี้อย่างงเลย จู่ ๆ ก็ฉายให้เห็นตัวละครเล่นเพื่อนสไตล์เทคโน (ที่เหมือนว่าจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนญี่ปุ่นบางส่วน พระที่นู้นนำมาดัดแปรงเป็นการเทศน์คำสอนด้วยนะ) ที่ความรู้สึกที่ฟังจากคนที่เล่นและเรียนรู้ดนตรีเป็นงานอดิเรกบอกได้เลยว่า เฉิ่มมาก มันออกจะเชย ๆ ไปสักนิดแต่ก็นะศิลปะไม่มีผิดถูกก็ถือว่าได้เรียนรู้อีกแขนงของประเภทดนตรีว่ากันไป เพราะจะได้ยินเพลงบรรเลงนี้ทั้งเรื่อง
หลังจากความรู้สึกแรกผ่านไปพอดูไปสักพักได้ประมาณ 20 นาทีก็เริ่มเข้าใจถึงความเป็นหนังทุนไม่มากและเหมือนจะเป็นหนังประกวดหรือหนังสเกลนักศึกษาที่ให้กลิ่นอายความเรียบง่ายในโปรดักชั่น การถ่ายทำ ตัดต่อ แต่เอาจริงหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ มันมีมากกว่านั้น~
ตัวหนังเอาจริงนี้พล๊อตคล้ายกับเรื่อง The Little Miss Sunshine อยู่นะทั้งเป็นการเดินทางมีตัวละครที่ความสัมพันธ์ (เหมือนจะ) เป็นครอบครัว มีตัวละครตาย แต่กลับผสมกลิ่นอายความจูนิเบียวหรือบทพูดการ์ตูน ๆ ไดอาล๊อคปั่น ๆ และมุกเจื่อน ๆ ที่สไตล์ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ซึ่งส่วนตัวอันนี้ชอบมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่จงใจหยิบความทุนน้อยของหนังมานำเสนอเป็นมุกในเรื่องราวได้อย่างสร้างสรรค์เช่นการนำเอาตัวละครหลักที่ไม่ค่อยมีบทพูดไปเล่นเป็นอีกตัวละครที่เหล่าพลพรรควงดนตรีไปพบเจอในสถานที่ต่าง ๆ หรือซีนสะท้อนแว่นตาดำที่เห็นถึงกล้องที่ถ่ายและช่างภาพนั่งยอง ๆ อย่างชัด ๆ ก็เลือกจะนำเสนอทั้งอย่างนั้น ส่วนตัวคิดว่าในเมื่อหนังมันจะขายขำละคิดว่าข้อผิดพลาดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จงใจมากกว่าพลาดมากกว่าครับ
แน่นอนว่าข้อสังเกตของหนังเรื่องนี้เลยคือเนื่องด้วยว่ามุกมันเป็นมุกที่คนญี่ปุ่นเขาชอบเล่นกันและตัวหนังมีการ references หรืออ้างอิงหลายสิ่งหลายอย่างอาธิ อนิเมะ หนังเรื่องอื่น หรือ เหตุการ์ณจริง จึงทำให้บางมุกบางฉากคนดูอาจจะไม่เก็ทเลยแต่ถ้าดูมาเยอะหรือเสฟอะไรมาหลากอย่าง (สื่อ) ผมว่าถ้าคุณเก็ทคุณน่าจะเอนจอยเลยนะครับถึงการอ้างอิงล้อเลียนของหนังเรื่องนี้ และแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มีฉากท้ายเครดิต (end credits) ปูไปภาคต่อด้วย !! ทำอย่างกับหนัง Marver~
Hey Our dear Don-Chan
“ชายหนุ่มวัยทำงานสามคนที่หารบ้านอยู่ด้วยกัน วันหนึ่งมีเด็กทารกถูกทิ้งไว้หน้าประตู จึงทำให้พวกเขาได้เป็นพ่ออย่างจำเป็น”
หนังเล่าเรื่องแบบชีวิตประจำวันตั้งแต่วันที่พวกเขาได้เป็นพ่อคนจนเด็กเริ่มเดินเองได้ ชื่อน้อง”ดอนจัง“ เอาจริงหนังค่อนข้างเรื่อยเปื่อย ๆ นะแต่ก็เป็นหนังที่มีซับพล๊อตหรือบทย่อย ๆ หลากหลายเรื่องราวเลย ด้วยด้วยความที่เล่าเรื่องแบบชีวิตประจำวันซึ่งเป็นสไตล์เล่าแบบนึงของมังงะการ์ตูน ทำให้เรื่องราวเหมือนจะมีความเป็นซีรีย์แต่จุดเด่นหนังเรื่องนี้เลยคือลำดับเหตุการ์ณได้อย่างเรียบเนียนรู้สึกได้ว่าเป็นหนังยาวจริง ๆ หนังดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงในองค์แรกถึงองค์สองกลาง ๆ เรื่องนี้แถบจะเป็นปัญหาของชีวิตวันทำงาน การหางานทำ และการที่ต้องช่วยกันเลี้ยงเด็กที่ซึ่งทำกันไม่เป็นทั้งสามก็เป็นความบันเทิงที่ได้รับชมความเปิ่ลของทั้งสาม มุกนิ่ง ๆ สไตล์ญี่ปุ่น
เมื่อเทียบกับเรื่องที่แล้ว โปรดักชั่นเรื่องนัมีทุนสร้างมากกว่า จากความปาณีตและจำนวนทีมงาน ข้อสังเกตของเรื่องนี้เลยคือความยาว ความยาวเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการจะเล่าในหลากหลายเนื้อเรื่องย่อยทำให้บางทีเราก็หลงลืมเรื่องราว เพราะการที่เล่าเรื่องแบบขนานกันไป แต่เอาจริงก็เป็นทักษะอย่างหนึ่งนะครับในการดูให้เข้าใจ แต่ปัญหาจริง ๆ สำหรับผมในการรับชมเรื่องนี้เลยคือการจดจับตัวละคร ตัวละครหน้าตาคล้ายกัน บุคลิกต่างกันเล็กน้อยแถมชื่อยังจำยากทำให้ต่างชาติอย่างเราเป็นปัญหาหน่อย ๆ ในการจดจำ
โดยรวมแล้วเป็นประสบการณ์ที่ดีในการรับชม การได้รับรู้เรื่องราวในหนังจากประเทศต่าง ๆ ก็เป็นความรู้ให้สำหรับเด็กภาพยนตร์อย่างผม เองไงก็ตามการได้เห็นวิธีเล่าเรื่องแม้จะต่างภาษาแต่ก็คล้ายกันในเชิงทฤษฎีก็ทำให้มั่นใจและพัฒนาในการสร้างงานถัด ๆ ไป
รีวิวโปรแกรมเทศกาลภาพยนตร์อิสระ JFF+ Independent Cinema 2023
ก่อนอื่นเลยนี้เป็นประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์รับชมภาพยนตร์อิสระขนาดยาวครั้งแรกเลยด้วยการแนะนำของอาจารย์ที่มหาลัยจึงทำให้ได้รู้จักและเปิดโลกการมองภาพยนตร์และเรียนรู้ภาพยนตร์ที่หลากหลายโดยในเทศกาลนี้หมดเขต 31 ตุลาคม 2023 https://jff.jpf.go.jp/watch/ic2023/ ผมเลือกรับชมไปสองโปรแกรมคือ Techno Brothers และ Hey Our dear Don-Chan
Techno Brothers
“หนังแนว Road Movies ที่พาวงดนตรีเทคโนตกอับทัวร์ไปเล่นดนตรีตามงานในสถานที่ต่าง ๆ”
ซีนแรกเปิดมานี้อย่างงเลย จู่ ๆ ก็ฉายให้เห็นตัวละครเล่นเพื่อนสไตล์เทคโน (ที่เหมือนว่าจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนญี่ปุ่นบางส่วน พระที่นู้นนำมาดัดแปรงเป็นการเทศน์คำสอนด้วยนะ) ที่ความรู้สึกที่ฟังจากคนที่เล่นและเรียนรู้ดนตรีเป็นงานอดิเรกบอกได้เลยว่า เฉิ่มมาก มันออกจะเชย ๆ ไปสักนิดแต่ก็นะศิลปะไม่มีผิดถูกก็ถือว่าได้เรียนรู้อีกแขนงของประเภทดนตรีว่ากันไป เพราะจะได้ยินเพลงบรรเลงนี้ทั้งเรื่อง
หลังจากความรู้สึกแรกผ่านไปพอดูไปสักพักได้ประมาณ 20 นาทีก็เริ่มเข้าใจถึงความเป็นหนังทุนไม่มากและเหมือนจะเป็นหนังประกวดหรือหนังสเกลนักศึกษาที่ให้กลิ่นอายความเรียบง่ายในโปรดักชั่น การถ่ายทำ ตัดต่อ แต่เอาจริงหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ มันมีมากกว่านั้น~
ตัวหนังเอาจริงนี้พล๊อตคล้ายกับเรื่อง The Little Miss Sunshine อยู่นะทั้งเป็นการเดินทางมีตัวละครที่ความสัมพันธ์ (เหมือนจะ) เป็นครอบครัว มีตัวละครตาย แต่กลับผสมกลิ่นอายความจูนิเบียวหรือบทพูดการ์ตูน ๆ ไดอาล๊อคปั่น ๆ และมุกเจื่อน ๆ ที่สไตล์ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ซึ่งส่วนตัวอันนี้ชอบมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่จงใจหยิบความทุนน้อยของหนังมานำเสนอเป็นมุกในเรื่องราวได้อย่างสร้างสรรค์เช่นการนำเอาตัวละครหลักที่ไม่ค่อยมีบทพูดไปเล่นเป็นอีกตัวละครที่เหล่าพลพรรควงดนตรีไปพบเจอในสถานที่ต่าง ๆ หรือซีนสะท้อนแว่นตาดำที่เห็นถึงกล้องที่ถ่ายและช่างภาพนั่งยอง ๆ อย่างชัด ๆ ก็เลือกจะนำเสนอทั้งอย่างนั้น ส่วนตัวคิดว่าในเมื่อหนังมันจะขายขำละคิดว่าข้อผิดพลาดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จงใจมากกว่าพลาดมากกว่าครับ
แน่นอนว่าข้อสังเกตของหนังเรื่องนี้เลยคือเนื่องด้วยว่ามุกมันเป็นมุกที่คนญี่ปุ่นเขาชอบเล่นกันและตัวหนังมีการ references หรืออ้างอิงหลายสิ่งหลายอย่างอาธิ อนิเมะ หนังเรื่องอื่น หรือ เหตุการ์ณจริง จึงทำให้บางมุกบางฉากคนดูอาจจะไม่เก็ทเลยแต่ถ้าดูมาเยอะหรือเสฟอะไรมาหลากอย่าง (สื่อ) ผมว่าถ้าคุณเก็ทคุณน่าจะเอนจอยเลยนะครับถึงการอ้างอิงล้อเลียนของหนังเรื่องนี้ และแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มีฉากท้ายเครดิต (end credits) ปูไปภาคต่อด้วย !! ทำอย่างกับหนัง Marver~
Hey Our dear Don-Chan
“ชายหนุ่มวัยทำงานสามคนที่หารบ้านอยู่ด้วยกัน วันหนึ่งมีเด็กทารกถูกทิ้งไว้หน้าประตู จึงทำให้พวกเขาได้เป็นพ่ออย่างจำเป็น”
หนังเล่าเรื่องแบบชีวิตประจำวันตั้งแต่วันที่พวกเขาได้เป็นพ่อคนจนเด็กเริ่มเดินเองได้ ชื่อน้อง”ดอนจัง“ เอาจริงหนังค่อนข้างเรื่อยเปื่อย ๆ นะแต่ก็เป็นหนังที่มีซับพล๊อตหรือบทย่อย ๆ หลากหลายเรื่องราวเลย ด้วยด้วยความที่เล่าเรื่องแบบชีวิตประจำวันซึ่งเป็นสไตล์เล่าแบบนึงของมังงะการ์ตูน ทำให้เรื่องราวเหมือนจะมีความเป็นซีรีย์แต่จุดเด่นหนังเรื่องนี้เลยคือลำดับเหตุการ์ณได้อย่างเรียบเนียนรู้สึกได้ว่าเป็นหนังยาวจริง ๆ หนังดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงในองค์แรกถึงองค์สองกลาง ๆ เรื่องนี้แถบจะเป็นปัญหาของชีวิตวันทำงาน การหางานทำ และการที่ต้องช่วยกันเลี้ยงเด็กที่ซึ่งทำกันไม่เป็นทั้งสามก็เป็นความบันเทิงที่ได้รับชมความเปิ่ลของทั้งสาม มุกนิ่ง ๆ สไตล์ญี่ปุ่น
เมื่อเทียบกับเรื่องที่แล้ว โปรดักชั่นเรื่องนัมีทุนสร้างมากกว่า จากความปาณีตและจำนวนทีมงาน ข้อสังเกตของเรื่องนี้เลยคือความยาว ความยาวเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการจะเล่าในหลากหลายเนื้อเรื่องย่อยทำให้บางทีเราก็หลงลืมเรื่องราว เพราะการที่เล่าเรื่องแบบขนานกันไป แต่เอาจริงก็เป็นทักษะอย่างหนึ่งนะครับในการดูให้เข้าใจ แต่ปัญหาจริง ๆ สำหรับผมในการรับชมเรื่องนี้เลยคือการจดจับตัวละคร ตัวละครหน้าตาคล้ายกัน บุคลิกต่างกันเล็กน้อยแถมชื่อยังจำยากทำให้ต่างชาติอย่างเราเป็นปัญหาหน่อย ๆ ในการจดจำ
โดยรวมแล้วเป็นประสบการณ์ที่ดีในการรับชม การได้รับรู้เรื่องราวในหนังจากประเทศต่าง ๆ ก็เป็นความรู้ให้สำหรับเด็กภาพยนตร์อย่างผม เองไงก็ตามการได้เห็นวิธีเล่าเรื่องแม้จะต่างภาษาแต่ก็คล้ายกันในเชิงทฤษฎีก็ทำให้มั่นใจและพัฒนาในการสร้างงานถัด ๆ ไป