เราขอระบายหน่อยนะ
เมื่ออาทิตย์ก่อนเรากลับบ้านที่ต่างจังหวัดมา แล้วเราได้พลังงานลบมาเต็มเลย ตั้งแต่กลับมาจากบ้านยังไม่มีวันไหนที่ไม่ร้องไห้เลย
ในครอบครัวเราเริ่มแรกมีพ่อแม่พี่น้องเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ แต่หลังจากที่แม่เราเสียชีวิตทุกอย่างกลับตาลปัตร เรารู้สึกเหมือนไม่มีใครแล้วในชีวิตนี้ พ่อก็แต่งงานใหม่ พี่ๆก็มีครอบครัวของตัวเอง ส่วนตัวเรารู้สึกเคว้งคว้างสุดๆ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็นานพอสมควร เราเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด พูดง่ายๆก็คนพิการนั่นแหละ
หลังจากตั้งสติได้เริ่มรับรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ เพราะเราไม่มีแม่คอยโอบอุ้มไว้เหมือนเดิมแล้ว จะพึ่งพาพ่อ ก็นั่นแหละ จะพึ่งพาพี่ๆเขาก็มีภาระกันเยอะแล้ว เลยตัดสินพาร่างกายที่ไม่สมประกอบของตัวเองนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯพักกับเพื่อนสมัยเรียนปวช จนได้ง่ายทำ ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาก็เกือบ10แล้ว
เหตุการณ์ล่าสุดที่เราเจอคือเราป่วย ต้องเข้า รพ เป็นอาทิตย์ สาเหตุก็มาจากร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเรานี่แหละที่มันไม่เคยได้รับการรักษาเลย ด้วยความเป็นคนบ้านนอก พอเห็นว่าไม่สมบูรณ์ปกติเหมือนคนทั่วไปก็เป็นคนพิการไป ไม่ได้หาสาเหตุของมัน ไม่ได้หาหมอเฉพาะทางเพื่อรักษา จนอายุมากขึ้น จากที่พอเดินได้ ก็เริ่มทรงตัวไม่ค่อยอยู่ จากที่เคยช่วยเหลือตัวเองได้ก็แย่ลง แต่เราก็ยังกัดฟันสู้เพื่อที่จะดิ้นรนทำงานต่อไป เพราะหลังจากที่เราได้รับการรักษาอาการก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ก็ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะล้มไม่ได้ ก็คือไม่มีคำถามจากพี่หรือพ่อเลยที่จะถามว่ากลับมาอยู่บ้านไหม มีแต่บอกให้สู้ เหมือนกลัวเราไปเป็นภาระ
จนล่าสุดอาทิตย์ก่อนเราได้กลับไปเยี่ยมบ้าน เพราะไม่มีใครมาเยี่ยมเราเลยตอนป่วย (น้อยใจนิดๆแต่ก็พอเข้าใจได้ว่ามันไกล) พี่เราก็พูดถึงแต่เรื่องประกัน เงินทำศพ มรดกบลาๆ
ตอนนี้พี่เขาก็ทำบ้านเขาใหม่ เขาบอกว่าอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง เพราะบ้านที่อยู่ทุกวันนี้เป็นของเรา เรานี่นิ่งไปสักพัก เราไม่เคยคิดเลยนะว่าบ้านนั้นมันเป็นของเราคนเดียว ด้วยความที่เราก็รู้ตัวเราจะไม่มีครอบครัวหรอก ก็คงอาศัยอยู่กับพี่น้องลูกหลานในบ้านนี้แหละ แต่คนอื่นเขาไม่คิดแบบเราไง มารู้แบบนี้เรายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นไปอีก อยู่กรุงเทพก็อยู่คนเดียว กลับมาบ้านก็ยังต้องอยู่คนเดียวอีกหรือ พอเราถามว่าแล้วเราจะอยู่กับใครล่ะ เขาก็บอกเลือกเอาหลานสักคนไปแล้วกัน แต่ต้องมีมรดกให้เขานะ แล้วก็ต้องดูหลานเขยหรือหลานสะใภ้ด้วยนะว่าเขายินดีจะดูแลเรารึเปล่า คิดในใจสมบัติทุกวันนี้ก็แทบจะยกให้แล้วไม่ใช่หรือ ไร่นา บ้านช่อง ก็ให้เขาอยู่ ทำกินกับ มันเป็นของเราก็แค่ในนาม แต่คนทำประโยชน์จริงๆก็คือพวกเขาไม่ใช่หรือ นี่ข้าวก็ไม่เคยได้กินด้วยสักเม็ดนอกจากตอนกลับบ้าน ป่าสวนที่แม่บอกให้แบ่งสาม เขาก็ขายแบ่งกัน2พี่น้อง เราก็ไม่ว่าเราคิดพี่เกิดก่อน ช่วยพ่อแม่ทำงานมาเยอะกว่าก็ให้เขาไป พอเราถามถึงไร่ก็ว่าจะไม่ให้เราเพราะเราได้บ้านแล้ว พอถามถึงสวนใกล้บ้านก็บอกว่าพ่อจะขาย สรุปเราได้บ้านกับที่นาที่เขาแบ่งให้แค่นั้น ทั้งๆที่ก่อนแม่จะเสียก็สั่งเสียไว้ดิบดีว่าให้น้องเยอะหน่อย มันไม่แข็งแรงจะได้เก็บไว้เป็นมรดกให้หลานที่เลี้ยง แต่สุดท้ายพี่ก็อ้างแต่ว่าเราได้บ้าน(ที่เสื่อมโทรมตามอายุ)แล้ว อย่างอื่นก็ไม่ต้องเอา แล้วถามหน่อยเถอะแล้วจะให้เอาอะไรไปเป็นมรดกให้หลานที่เลี้ยง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะเลี้ยงไหมอีก ไหนจะหลานเขยหลานสะใภ้ที่มีในอนาคตเขาจะมีเมตตาดูแลเราแค่ไหน ขนาดพี่น้องที่ถีบหัวกันออกมาแท้ๆยังเป็นแบบนึ้ เขาก็กลัวแต่เราไปเป็นภาระ ตอนป่วยก็กลัวจะเป็นจนจะติดเตียงให้ดูแล ตอนจะตายก็ยังกลัวจะไม่มีเงินมาเลี้ยงชาวบ้านกลัวขายขี้หน้า บอกให้เก็บเงินไว้บ้างนะ อยากตะโกนใส่หน้าว่าจะขายนากูนั่นมาซื้อโลงใส่ศพ ซื้อข้าวเลี้ยงชาวบ้าน แต่ก็ทำได้แค่เงียบเพราะคิดว่าเขาคือครอบครัวที่วันหนึ่งอาจจะได้พึ่งพิง พ่อที่มีก็เหมือนไม่มี ไม่ปากมีเสียง ไม่ออกความเห็นใดๆ เรื่องตลกร้ายอีกอย่างคือตอนที่เขา2คนจะแย่งที่ดินกันกลับอยากมาอยากได้เสียงที่3,อย่างเราเราไปตัดสิน ซึ่งเรายอมจนแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังจะให้เราไปออกเสียงเพื่อให้หนึ่งในสองคนนั้นเกลียดเราอีกหรอ
หลังกลับมาจากบ้านเราร้องไห้ทุกวันเลย เราไม่รู้ว่าเราจะสู้ไปทำไม จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร เมื่อหันหลังกลับก็เจอแต่ความว่างเปล่าเหมือนที่ตรงนั้นมันไม่มีที่สำหรับเรา เหมือนเราเป็นคนนอกสำหรับพวกเขา ถ้าย้อนกลับไปได้เราจะไม่พยายามเข้มแข็ง จะไม่พยายามเก่ง จะอ่อนแอ จะเกาะพวกเขาอยู่แบบนั้นเหมือนที่พวกเขาเคยคิด เราโทษว่ามันเป็นความผิดเรานะ ที่พยายามสู้ พยายามเก่ง จนถีบตัวเองออกมาห่างจากพวกเขา ทำให้เขามองว่าเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งๆที่จริงๆแล้วก็ยังอยากพึ่งพาพวกเขาอยู่แต่ด้วยความไม่อยากเป็นภาระจึงไม่เคยร้องขอควาทช่วยเหลือ
เรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่อยากมีมันแล้ววันพรุ่งนี้ ไม่อยากสู้กับอะไรอีกแล้ว อยากจากไปอย่างสงบนะเพราะไม่รู้ว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ทุกวันนี้มันจะทรุดลงจนไปเป็นภาระของของพวกเขาเมื่อไหร่ เรากลายเป็นคนคิดมาก มากขึ้นทุกวันเจออะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้แล้วทั้งที่เมื่อก่อนเข้มแข็งมาก
อยากตายนะแต่ไม่อยากทำร้ายตัวเอง แต่ถ้ามันจะถึงจุดที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจริงไปเราคงต้องหาวิธีที่ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด
ระบายยาวหน่อย แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน หัวข้อกระทู้อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาเพราะเราไม่เคยไปพิมพ์เล่าเรื่องแบบนี้ที่ไหนเลย ไม่เคยเล่าสิ่งที่เจอใหัใครฟัง มีแต่ยิ้มให้กับทุกเรื่องผ่านมาในชีวิต 🙂
คนเราจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร
เมื่ออาทิตย์ก่อนเรากลับบ้านที่ต่างจังหวัดมา แล้วเราได้พลังงานลบมาเต็มเลย ตั้งแต่กลับมาจากบ้านยังไม่มีวันไหนที่ไม่ร้องไห้เลย
ในครอบครัวเราเริ่มแรกมีพ่อแม่พี่น้องเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ แต่หลังจากที่แม่เราเสียชีวิตทุกอย่างกลับตาลปัตร เรารู้สึกเหมือนไม่มีใครแล้วในชีวิตนี้ พ่อก็แต่งงานใหม่ พี่ๆก็มีครอบครัวของตัวเอง ส่วนตัวเรารู้สึกเคว้งคว้างสุดๆ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็นานพอสมควร เราเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด พูดง่ายๆก็คนพิการนั่นแหละ
หลังจากตั้งสติได้เริ่มรับรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ เพราะเราไม่มีแม่คอยโอบอุ้มไว้เหมือนเดิมแล้ว จะพึ่งพาพ่อ ก็นั่นแหละ จะพึ่งพาพี่ๆเขาก็มีภาระกันเยอะแล้ว เลยตัดสินพาร่างกายที่ไม่สมประกอบของตัวเองนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯพักกับเพื่อนสมัยเรียนปวช จนได้ง่ายทำ ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาก็เกือบ10แล้ว
เหตุการณ์ล่าสุดที่เราเจอคือเราป่วย ต้องเข้า รพ เป็นอาทิตย์ สาเหตุก็มาจากร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเรานี่แหละที่มันไม่เคยได้รับการรักษาเลย ด้วยความเป็นคนบ้านนอก พอเห็นว่าไม่สมบูรณ์ปกติเหมือนคนทั่วไปก็เป็นคนพิการไป ไม่ได้หาสาเหตุของมัน ไม่ได้หาหมอเฉพาะทางเพื่อรักษา จนอายุมากขึ้น จากที่พอเดินได้ ก็เริ่มทรงตัวไม่ค่อยอยู่ จากที่เคยช่วยเหลือตัวเองได้ก็แย่ลง แต่เราก็ยังกัดฟันสู้เพื่อที่จะดิ้นรนทำงานต่อไป เพราะหลังจากที่เราได้รับการรักษาอาการก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ก็ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะล้มไม่ได้ ก็คือไม่มีคำถามจากพี่หรือพ่อเลยที่จะถามว่ากลับมาอยู่บ้านไหม มีแต่บอกให้สู้ เหมือนกลัวเราไปเป็นภาระ
จนล่าสุดอาทิตย์ก่อนเราได้กลับไปเยี่ยมบ้าน เพราะไม่มีใครมาเยี่ยมเราเลยตอนป่วย (น้อยใจนิดๆแต่ก็พอเข้าใจได้ว่ามันไกล) พี่เราก็พูดถึงแต่เรื่องประกัน เงินทำศพ มรดกบลาๆ
ตอนนี้พี่เขาก็ทำบ้านเขาใหม่ เขาบอกว่าอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง เพราะบ้านที่อยู่ทุกวันนี้เป็นของเรา เรานี่นิ่งไปสักพัก เราไม่เคยคิดเลยนะว่าบ้านนั้นมันเป็นของเราคนเดียว ด้วยความที่เราก็รู้ตัวเราจะไม่มีครอบครัวหรอก ก็คงอาศัยอยู่กับพี่น้องลูกหลานในบ้านนี้แหละ แต่คนอื่นเขาไม่คิดแบบเราไง มารู้แบบนี้เรายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นไปอีก อยู่กรุงเทพก็อยู่คนเดียว กลับมาบ้านก็ยังต้องอยู่คนเดียวอีกหรือ พอเราถามว่าแล้วเราจะอยู่กับใครล่ะ เขาก็บอกเลือกเอาหลานสักคนไปแล้วกัน แต่ต้องมีมรดกให้เขานะ แล้วก็ต้องดูหลานเขยหรือหลานสะใภ้ด้วยนะว่าเขายินดีจะดูแลเรารึเปล่า คิดในใจสมบัติทุกวันนี้ก็แทบจะยกให้แล้วไม่ใช่หรือ ไร่นา บ้านช่อง ก็ให้เขาอยู่ ทำกินกับ มันเป็นของเราก็แค่ในนาม แต่คนทำประโยชน์จริงๆก็คือพวกเขาไม่ใช่หรือ นี่ข้าวก็ไม่เคยได้กินด้วยสักเม็ดนอกจากตอนกลับบ้าน ป่าสวนที่แม่บอกให้แบ่งสาม เขาก็ขายแบ่งกัน2พี่น้อง เราก็ไม่ว่าเราคิดพี่เกิดก่อน ช่วยพ่อแม่ทำงานมาเยอะกว่าก็ให้เขาไป พอเราถามถึงไร่ก็ว่าจะไม่ให้เราเพราะเราได้บ้านแล้ว พอถามถึงสวนใกล้บ้านก็บอกว่าพ่อจะขาย สรุปเราได้บ้านกับที่นาที่เขาแบ่งให้แค่นั้น ทั้งๆที่ก่อนแม่จะเสียก็สั่งเสียไว้ดิบดีว่าให้น้องเยอะหน่อย มันไม่แข็งแรงจะได้เก็บไว้เป็นมรดกให้หลานที่เลี้ยง แต่สุดท้ายพี่ก็อ้างแต่ว่าเราได้บ้าน(ที่เสื่อมโทรมตามอายุ)แล้ว อย่างอื่นก็ไม่ต้องเอา แล้วถามหน่อยเถอะแล้วจะให้เอาอะไรไปเป็นมรดกให้หลานที่เลี้ยง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะเลี้ยงไหมอีก ไหนจะหลานเขยหลานสะใภ้ที่มีในอนาคตเขาจะมีเมตตาดูแลเราแค่ไหน ขนาดพี่น้องที่ถีบหัวกันออกมาแท้ๆยังเป็นแบบนึ้ เขาก็กลัวแต่เราไปเป็นภาระ ตอนป่วยก็กลัวจะเป็นจนจะติดเตียงให้ดูแล ตอนจะตายก็ยังกลัวจะไม่มีเงินมาเลี้ยงชาวบ้านกลัวขายขี้หน้า บอกให้เก็บเงินไว้บ้างนะ อยากตะโกนใส่หน้าว่าจะขายนากูนั่นมาซื้อโลงใส่ศพ ซื้อข้าวเลี้ยงชาวบ้าน แต่ก็ทำได้แค่เงียบเพราะคิดว่าเขาคือครอบครัวที่วันหนึ่งอาจจะได้พึ่งพิง พ่อที่มีก็เหมือนไม่มี ไม่ปากมีเสียง ไม่ออกความเห็นใดๆ เรื่องตลกร้ายอีกอย่างคือตอนที่เขา2คนจะแย่งที่ดินกันกลับอยากมาอยากได้เสียงที่3,อย่างเราเราไปตัดสิน ซึ่งเรายอมจนแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังจะให้เราไปออกเสียงเพื่อให้หนึ่งในสองคนนั้นเกลียดเราอีกหรอ
หลังกลับมาจากบ้านเราร้องไห้ทุกวันเลย เราไม่รู้ว่าเราจะสู้ไปทำไม จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร เมื่อหันหลังกลับก็เจอแต่ความว่างเปล่าเหมือนที่ตรงนั้นมันไม่มีที่สำหรับเรา เหมือนเราเป็นคนนอกสำหรับพวกเขา ถ้าย้อนกลับไปได้เราจะไม่พยายามเข้มแข็ง จะไม่พยายามเก่ง จะอ่อนแอ จะเกาะพวกเขาอยู่แบบนั้นเหมือนที่พวกเขาเคยคิด เราโทษว่ามันเป็นความผิดเรานะ ที่พยายามสู้ พยายามเก่ง จนถีบตัวเองออกมาห่างจากพวกเขา ทำให้เขามองว่าเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งๆที่จริงๆแล้วก็ยังอยากพึ่งพาพวกเขาอยู่แต่ด้วยความไม่อยากเป็นภาระจึงไม่เคยร้องขอควาทช่วยเหลือ
เรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่อยากมีมันแล้ววันพรุ่งนี้ ไม่อยากสู้กับอะไรอีกแล้ว อยากจากไปอย่างสงบนะเพราะไม่รู้ว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ทุกวันนี้มันจะทรุดลงจนไปเป็นภาระของของพวกเขาเมื่อไหร่ เรากลายเป็นคนคิดมาก มากขึ้นทุกวันเจออะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้แล้วทั้งที่เมื่อก่อนเข้มแข็งมาก
อยากตายนะแต่ไม่อยากทำร้ายตัวเอง แต่ถ้ามันจะถึงจุดที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจริงไปเราคงต้องหาวิธีที่ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด
ระบายยาวหน่อย แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน หัวข้อกระทู้อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาเพราะเราไม่เคยไปพิมพ์เล่าเรื่องแบบนี้ที่ไหนเลย ไม่เคยเล่าสิ่งที่เจอใหัใครฟัง มีแต่ยิ้มให้กับทุกเรื่องผ่านมาในชีวิต 🙂