[CR] เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกกับ ทัวร์ และครอบครัวของเขา ตอนที่ 2

เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกกับ ทัวร์ และครอบครัวของเขา ตอนที่ 1 https://ppantip.com/topic/42290370

Day 3: คามิโคจิ (Kamikochi) –  ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) – เมืองกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman) – เมืองนาโกย่า (Nagoya) – ชอปปิ้งซาคาเอะ (Sakae)

     นั่งรถเกือบ 3 ชั่วโมงตั้งแต่ 8 โมงเช้าตามวิถีชีวิตทัวร์ ซึ่งไกด์เองก็ย้ำให้เข้าห้องน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส ฉะนั้นสเต็ปทุกครั้งของการจอดรถเลยจะเป็น จอดรถ-เข้าห้องน้ำ-ถ่ายรูป-กิน/ช็อปปิ้ง-ขึ้นรถไปต่อ (แอบเหมือนเข้าค่ายปรับพฤติกรรมชอบกลเลยค่ะ 555)
     สถานที่แรกสำหรับวันนี้คือ คามิโคจิ (Kamikochi) หรือ สถานที่ที่เทพเจ้าลงมาประทับ เป็นหุบเขาที่มุ่งสู่แนวเทือกเขา เจแปนแอลป์ (Jpan Alps) ตั้งอยู่ในเทือกเขาฮิดะ จังหวัดนากาโนะ
*ข้อมูลในส่วนหลังคือการอ่านเพิ่มเติมจากอากู๋และเว็บการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นเอาค่ะ (ใจเรามันร้องบอกว่าชื่อนี้น่าจะมีความหมายแหละน่า เลยไปดันทุรังค้นเพิ่มในจังหวะที่มีเน็ต//ระหว่างทางนั่งรถไปยังคามีโคจิจะมีการผ่านอุโมงค์และหุบเขาหลายครั้งทำให้สัญญาณเน็ตติดๆดับๆได้จนน่าหงุดหงิดเลยทีเดียวค่ะ) 
     ในช่วงกลางเดือนตุลาคมแบบนี้ ใบไม้เปลี่ยนสีที่คามิโคจิยังไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศและภาพที่เห็นจริงมันสวยกว่ารูปถ่ายมากๆเลยค่ะ ต้องปักหมุดรัวๆว่าวันหลังจะต้องมาเองให้ได้ เพราะเวลาที่ทัวร์ให้สำหรับจุดชมวิวไฮไลท์มีแค่ตรงสะพานกัปปะ (Kappa Bridge) และเดินเล่นรอบๆในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราที่ชอบธรรมชาติอยากเดินเล่นไกลๆ ได้แต่อิจฉาคนแต่งชุดเดินเทรลห้อยกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆไปพลางๆ 


 
รูปภาพคามิโคจิของคุณลุงจิตรกรข้างสะพานกัปปะ

     ย้ำกับตัวเองอีกที ว่าต้องมาตรงนี้ใหม่แบบค้างคืนด้วยตัวเองให้ได้! (แต่ราคาที่พักตากอากาศในอุทยาน หลักหมื่นบาทปลายๆอัพทั้งนั้นค่ะ//ใครไหวเชิญไปได้ก่อนเลยค่ะ 555)

     สถานที่ต่อมาในวันนี้ที่จะแวะคือหมู่บ้านชิราวาโกะ แต่ก่อนหน้านั้นเราได้แวะทานอาหารเที่ยงก่อนถึงหมู่บ้าน อาหารที่วันนี้ทัวร์พาแวะคือ ร้าน さくら街道みぼろ湖畔キャンプサイト ซึ่งเป็นร้านอาหารและร้านของฝากในตัว ไกด์เสริมให้ว่าเจ้าของร้านชอบคนไทยมากค่ะ และก็พูดไทยได้นิดหน่อยด้วย
ของขึ้นชื่อที่เราได้ทานกันคือ หมูย่างใบโอบะ เป็นหมูติดมัน หัวหอม และปลาตากแห้ง วางบนใบโอบะย่างบนเตา ในเซทเดียวกันจะมีปลาย่างที่กินได้ทั้งตัว ไก่คาราอาเกะทอด ข้าวญี่ปุ่น น้ำซุปมิโซะและเครื่องเคียง
     ส่วนตัวเราประทับใจกับร้านนี้ทั้งด้านรสชาติอาหาร และการบริการ (คุณป้าที่ทั้งทำอาหารและเสิร์ฟออกมาโค้ง+โบกมือลาลูกค้าจนสุดตาจริงๆ)  แต่ติดอย่างเดียวคืออาหารอาจจะไม่อิ่มสำหรับคนที่ทานเยอะค่ะ 

     เดินทางออกจากร้านอาหารเที่ยงไม่ทันไรก็มาถึงหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นสถานที่ขึ้นชื่อเป็นมรดกโลก ด้วยรูปทรงบ้านแบบโบราณที่ใช้การขัดกันของไม้แทนการตอกตะปู เป็นทรงที่มีชื่อเรียกว่า กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) ลักษณะเหมือนการพนมมือกัน ซึ่งเป็นรูปแบบบ้านที่ลดการทับถมของหิมะในช่วงฤดูหนาว 
     โดยทางไปหมู่บ้านจะต้องเดินข้ามผ่านสะพานไปอีกค่ะ ไม่สามารถนำรถเข้าไปในหมู่บ้านได้
     ซึ่งจะช่วงที่เรามาคือช่วงใบไม้ร่วง ที่ใบไม้ในบริเวณนี้ยังไม่ค่อยจะแดงด้วยซ้ำ แถมยังเป็นวันที่มีงานเทศกาล ทำให้ร้านค้าในหมู่บ้านส่วนใหญ่ปิด เพราะต้องไปออกร้านที่ศาลเจ้านั่นเองค่ะ
     ตัวศาลเจ้าอยู่คนละฝั่งกับบ้านสามหลังในหมู่บ้านชิราวาโกะ ตอนที่มาถึงได้ยินแค่เสียงกลองดังตึงๆ พี่ไกด์แนะนำให้ไปดูบ้านสามหลังในหมู่บ้านก่อน (ซึ่งดูแล้วก็ได้แต่ร้องในใจว่า ชั้นมาทำอะไรที่นี่???) พอปล่อยอิสระประมาณ 40 นาที เราเลยลากคุณแฟนไปตรงเสียงกลองดังทันที (ต่อมเผือกได้ถูกกระตุ้นแล้ว เราต้องไปให้สุดค่ะ 555)
     พอหาข้อมูลเพิ่มเติมทีหลังถึงได้รู้ว่าวันนี้มีงานเทศกาล เฉลิมฉลองเทศกาลสาเกโบราณโดบุโรคุ (Doburoku) ซึ่งปกติจะมีการจัดในช่วง 13-19 ตุลาคม ของทุกปี ในช่วงเช้าจะมีขบวนแห่ ส่วนตอนบ่ายจะเป็นการแสดง การเต้นรำพื้นบ้าน และในงานมีบูทบูชาสาเก(?) จ่าย 2,000 เยน จะได้สาเกในขวดไม้กลับไปด้วย 

     ในตอนนั้นเราก็มองเบลอแบบไม้รู้เรื่องต่อแถวซื้อทาโกยากิหนึ่งกล่อง แล้ววิ่งขึ้นรถทัวร์เป็นคู่สุดท้าย ในเวลาที่เฉียดฉิว (เลทไป 3 นาที ในกลุ่มที่ค่อนข้างตรงเวลาก็จะเขินๆ ปนรู้สึกผิดมากจริงๆค่ะ)
ส่วนทาโกะยากิของญี่ปุ่นจะเป็นแนวนุ่มนิ่ม ลูกใหญ่ ซอสเข้มข้น แต่ข้างในจะค่อนข้างจืดและร้อนมาก แบบกินแล้วลิ้นพองมากๆเลยค่ะ

     สถานที่เที่ยวต่อมาในวันนี้ที่เราแวะ คือ  กุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman) หรือเมืองแห่งน้ำ ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าที่มีรางน้ำไหล และมีการเลี้ยงปลาคาร์ฟในทางน้ำไหล เอาง่ายๆก็ท่อระบายน้ำนั่นเองค่ะ ประทับใจกับความน้ำใสไหลเย็นกระทั่งในทางระบายน้ำ ซึ่งใช้การสร้างทางระบายน้ำเยอะๆเพื่อลดการน้ำท่วม จนอดเปรียบเทียบกับที่เมืองไทยไม่ได้ที่เน้นการยกบ้าน/ถมที่สูงๆหนีน้ำแทน 


     ในช่วงเวลา 5 โมงเย็น ซึ่งปราสาทกุโจ ได้ปิดการเยี่ยมชมแล้ว ไกด์พาเที่ยวในเมือง ซึ่งร้านส่วนใหญ่จะปิดเงียบแล้วเช่นกัน แต่ร้านที่ไกด์พาเข้าชมคือร้านทำอาหารปลอม ซึ่งตามคำบอกเล่าของไกด์อาหารปลอมที่โชว์ตามหน้าร้านอาหาร หรือโมเดลอาหารจะเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ค่ะ 
     ร้าน Sample Kobo (さんぷる工房 本館) ขายอาหารปลอม พวกกุญแจ ที่วางโทรศัพท์ เหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากหรือใช้เองได้แค่ และในร้านเองมีจัดโซนถ่ายรูปกับของย้อนยุคจำลอง (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ)

     เมื่อได้เวลาไกด์ก็พาทุกคนขึ้นรถทัวร์เพื่อเข้าสู่ที่พักในเมืองนาโกย่า (Nagoya) 

     สำหรับวันนี้เป็นการหากินเองในมื้อที่ 2 (มื้อแรกจบลงที่เซเว่น แต่รอบนี้ต้องหามุกใหม่แล้วจริงๆค่ะ 555) แต่มีปัญหาเกิดขึ้นในทริป นั่นก็คือ คณะทัวร์เริ่มป่วยกัน จากการปรับร่างกายไม่ทัน (แอบเป็นทัวร์ลำบากท่านสูงวัยของบ้านแฟนนิดๆเลยค่ะ 555) ดังนั้นที่นาโกย่าเราจึงมีภารกิจพิเศษเพิ่มขึ้นมา นั่นคือ
     1.) ตามหารองเท้าให้คุณพ่อแฟนเนื่องจากคู่ที่เอามาเกิดยางเสื่อม และหลุดออกเป็นแผ่นๆ
     2.) ตามหายาแก้ไอให้พ่อแฟนที่ป่วยและคนอื่นๆในแก๊งเรา
     3.) แวะร้านดองกี้เพื่อช็อปปิ้งตามคำเรียกร้อง
     4.) หาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นวันนี้ 

     เวลาประมาณ 19.30 น. โดยประมาณ หลังจากเอาสัมภาระเก็บที่ห้องพักของ Hotel The B Nagoya เราก็ออกเดินตามตามแผนที่ที่ไกด์ให้มา ท่ามกลางสายฝนพรำๆ (ต้องบอกเลยว่าฝนที่ญี่ปุ่นตกได้หยุมหยิมน่ารำคาญแบบจะหนักก็ไม่หนัก จะว่าเดินลุยได้ก็ไม่ใช่) 
ห้องของ Hotel B ในรูปเป็นห้องที่ทัวร์จัดไว้ให้สำหรับคนเดียว เป็นเตียงขนาด 5 ฟุต

     สิ่งแรกที่ตัดสินใจคือตามหายาก่อนเพื่อคลายความกังวล พวกเราจึงออกเดินทางไปพร้อมกับไกด์เพื่อหาร้านยา แต่ดันติดเรื่องการรอคณะเดินทางที่ออกตัวช้า สุดท้ายเลยคลาดกับไกด์ตุปัดตุเปไปใต้ดินของสถานีซาคาเอะ (Sakae station) เจอร้านขายยาจากคำว่า くすり(ดีนะไม่ใช้คันจิ ไม่งั้นจะร้องไห้ละค่ะ 555) 
     หลังจากนั้นก็เป็นงานหยาบคือใช้กูเกิ้ลทรานสเลทจากรูปเอา+หาข้อมูลเบื้องต้นจากอากู๋ไปก่อนแล้ว เลยได้จ่ายเงินจลภารกิจแรกไปได้
ต่อมาในเวลาที่เกือบ 2 ทุ่ม เราเลยตัดสินใจพาทุกคนไปรับประทานอาหารก่อนจะไม่ไหวกัน (คนอื่นอาจจะไม่หิว แต่เราหิวไม่ไหวแล้วค่า)
ร้านที่เลือกไว้คือ คือร้านราเมงข้อสอบ หรือ อิจิรัน ราเมง (Ichiran Ramen) นั่นเอง

     โชคดีที่ตอนไปถึงคิวมีไม่เยอะ อาจจะเพราะฝนตกด้วยส่วนหนึ่ง เลยได้ทีนั่งค่อนข้างไวสำหรับคน 9 คน (มีบางงส่วนไม่ได้ออกมาเดินช่วงเย็นด้วยกันค่ะ) แน่นอนสำหรับคนที่ไม่เคยมาก็เลยจะล้งเล้งเสียงดังนิดหน่อย แต่พนักงานในร้านคอยช่วยตั้งแต่การสั่งกจนถึงการรับออร์เดอร์เลยค่ะ

     สำหรับร้านอิจิรัน ราเมงจะมีน้ำซุปแบบเดียวคือน้ำซุปกระดูกหมู เป็นราเมงสไตล์ฮากาตะ ที่มีต้นกำเนิดร้านจากจังหวัดฟุกุโอกะ สามารถเลือกความข้นข้นของน้ำซุป ประเภทหัวหอม ระดับความเผ็ด ความเหนียวนุ่มของตัวเส้นได้ รวมถึงสั่งแอดออนเพิ่มได้ด้วยเช่นกันค่ะ และถ้าซดน้ำซุปได้หมดถึงก้นชามจะมีข้อความลับอยู่ที่ตูดถ้วยด้วยค่ะ (แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น) 
     หลังทานเสร็จและกดปุ่มบอกพนักงานว่าเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางไปยังร้านดองกี้เพื่อช็อปปิ้งตามข้อเรียกร้องของทีมเที่ยว เมื่อเทียบกับไทยเลยต้องบอกว่าใหญ่กว่า มีหลายชั้นกว่า แต่วิบากกรรมของเรายังไม่หมดค่ะ 
     ต้นเรื่องเกิดจากการที่ทัวร์ครั้งนี้เราและแฟนตัดสินใจเช่าเป็น Pocket Wi-Fi 2 เครื่องโดยอยู่กับแฟนเครื่องหนึ่ง และอยู่กับญาติอีกคนในทีม อีกเครื่อง ฉะนั้นเมื่อแยกกันช็อปปิ้งในตึกเดียวกันแต่คนละชั้นเลยตามตัวลำบาก สุดท้ายเลยต้องให้แต่ละคนเอามือถือมาต่อไวไฟให้ เลยพอติดต่อกันได้ง่ายขึ้นค่ะ (เป็นเรื่องที่เราลืมนึกไปจริงๆ ว่าไม่ควรเป็น Pocket Wi-Fi เลยค่ะ)
ชื่อสินค้า:   ทัวร์ ซุปตาร์ HELLO WELCOME AUTUMN TO U
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่