การสืบเสาะ และ อุธรณ์ คดีอาญา พรบ.คอมและหมิ่นประมาท

สวัสดีค่ะ
- เราขอรบกวนปรึกษาผู้รู้ด้านกฎหมายค่ะ เราอายุ 38 เราถูกฟ้องคดี พรบ.คอม และ หมิ่นประมาณ โดยความผิดของเราคือ เรานำรูปของผู้หญิงที่คบซ้อนกับแฟนเราไปไปโพสลงอินสตาแกรม (แฟนไม่ได้แต่งงานกันและไม่ได้จดทะเบียนสมรส และตอนนี้เลิกกันไปแล้ว) เป็นอินสตาแกรมที่เราสร้างขึ้นใหม่ ใช้รูปโปรไฟล์และชื่อปลอม และโพสรูปของบุคคลนั้นลงไป โดยเป็นภาพอนาจารค่ะ (ภาพหน้าอกข้างหนึ่ง) และ เราแท็กชื่ออินสตราแกรมของบุคคลนั้นลงไปในด้วย แต่ไม่มีผู้ติดตามหรือผู้กดไลค์รูปภาพนั้น จนระยะเวลาผ่านไปเกือบปี เรามีโอกาสได้คุยกับคู่กรณี จนเราพูดคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับที่รูปภาพที่เราได้โพสลงไป เรารับว่าเราเป็นคนโพสภาพนั้น ลงในอินสตาแกรม พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น และ ขอโทษคู่ครณีไปในแชท แต่ ทางคู่กรณีไม่ยอมบอกว่าเราไม่จริงใจต่อการขอโทษ และ ทำให้คู่กรณีเกิดความเสียหาย จึงจ้างทนายฟ้องเรา โดยเรียกค่าเสียหาย 300,000 บาท 

- วันนัดไต่สวนมูลฟ้อง เรารับสารภาพทุกอย่าง และ ยินดี ทำตามคำเรียกร้องของทางคู่กรณี คือโพสรูปเราไหว้ขอโทษเขาลง โซเชียล ทางเฟสบุ๊ค และ อินสตาแกรม พร้อมแคปชั่นที่ทางคู่กรณีร่างให้ โดยโพสเป็นเวลา 7 วัน แต่ เราเข้าใจผิด เรากดลบเพื่อนออกเกือบหมด จาก 80 คน และ ไปตั้งค่าเป็นส่วนตัว จึงเกิดปัญหาอีกครั้ง เพราะคุ่กรณึไม่พอใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เราจึงทำการโพสลงโซเชียลใหม่อีก 7 วัน วันนั้นเรายื่นประกันตัว 50,000 โดยมีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ค้ำประกันให้

- ระหว่างรอการตัดสิน เราเยียวยาคู่กรณีโดยการวางเงินที่ศาล 10,000 และ ชำระให้คู่กรณี เดือนละ 5,000 บาท ตั้งแต่เดือน มีนาคม - กรกฎาคม รวมเป็นเงิน 35,000 บาท แต่ ระหว่างนั้น เรามีการโพสแขวะกันไปมาในโซเชียลตลอด แต่ไม่ได้ระบุชื่อ เนื่องจากคู่กรณีโพสเกี่ยวกับคดีความลงในเฟสบุ๊ค เพื่อนๆของคู่กรณีเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยด่าว่าเรา (แต่ไม่ได้ระบุชื่อ) พาดพิงถึงบุพการีเรา รวมถึงขู่จะทำร้ายร่างกายเถอเจอเรา โดยทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเรา แต่เรารู้ว่านั่นคือเรา การพาดพิงบุพการีเรา ทำให้เราโกรธ เราจึงโพสลงอินสตาแกรม ประมาณว่าอย่าพูดถึงบุพการีของเรา (เราจำไม่ได้ในเนื่อความทั้งหมดที่เราโพสไป) 

- วันที่ศาลนัดตัดสินคดี ศาลบอกว่าเราไม่สำนึกผิดเพราะลบจำนวนเพื่อนในอินสตาแกรมลง และ ยังมีการโพสแขวะกัน ศาลบอกว่าถ้าอยู่ข้างนอกมากแล้วว่างก็ให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ โดยสั่งจำคุกเรา 1 ปี ปรับเป็นเงิน 100,000 บาท ทนายช่วยทำเรื่องให้เราใส่กำไล EM ที่ข้อเท้า และทำเรื่องยื่นอุธรณ์ ตั้งแต่ สิงหาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน 

- ศาลอุธรณ์สั่งสืบเสาะ และ พินิจ เกี่ยวกับเรา เนื่องจาก เป็นความผิดครั้งแรก เราให้การรับสารภาพ มีบุตรที่ต้องดูและ 2 คน (เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว) แต่มีแม่ที่แก่ชรา โดยลูกๆของเรา อยู่กับแม่เราที่ต่างจังหวัด มีเพียงเราคนเดียวที่ส่งเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด แม่เราไม่ได้ทำงาน ลูกๆเราอยู่ ชั้น ป.5 และ ม.2 ส่วนเราทำงานอยู่กรุงเทพ เงินเดือน 17,000 และเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รักษามาประมาณ 4 ปี เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ล้างท้องนอนโรงพยาบาล กินยาฆ่าตัวตายเกือบทุกเดือน หนักสุดคือไปถึงโรงพยาบาลแล้วไม่รู้สึกตัวอีกเลย จนเช้าอีกวันตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก และถูกมัดมือ เท้า ติดเตียง  เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากทำงานไม่ได้ บางครั้งเขียนหนังสือไม่ได้ (คู่กรณีเราก็เป็นโรคซึมเศร้า และ เป็นไบโพล่า) และ ทางคุมประพฤษติเรียกเราเข้าไปให้ปากคำเกี่ยวกับการกระทำความผิดของเรา และ ให้แม่เราที่อยู่ต่างหวัดไปให้การเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับ นิสัย และความเป็นอยู่ของทางครอบครัว เจ้าหน้าที่ถามแม่เราว่าจะให้ลูกเข้าคุกมั้ย ซึ่งแม่เราตอบว่าไม่ วันเดียวก็ไม่ให้เข้า 

- วันนัดฟังผลสืบเสาะ ศาลอ่านเกี่ยวกับต้นเหตุของการทำความผิด ว่าเราทำผิดอะไรบ้าง ส่งผลกระทบต่อคู่กรณีอย่างไรบ้าง และ ทางคู่กรณีเรียกค่าเสียหายเพิ่มอีก 80,000 บาท เนื่องจากคู่กรณีกินยาฆ่าตัวตาย และท้ายของประโยคที่ศาลอ่านคือ เรามีฐานะยากจน มีบุตรที่ต้องดูและ และไม่เคยทำความผิดมาก่อน เราเซ็นรับทราบและกลับ 

- ตอนนี้ขั้นตอนอยู่ระหว่างยื่นเรื่องกลับไปที่ศาลอุธรณ์ เพื่อทำการตัดสินความผิดของเรา

- เราหยุดจ่ายเงินให้คู่กรณีตั้งแต่วันที่ศาลสั่งจำคุกและเราใส่กำไล EM ทนายบอกให้หยุดจ่ายแล้วรอให้ทางคู่กรณีฟ้องทางแพ่ง

- ตั้งแต่มีคดีความ เราต้องหยุดจ่ายบัตรเครดิต 2 ใบ ที่เรามี เพื่อนำเงินมาผ่อนจ่ายให้ทนาย ค่าเดินทางทนาย และ ค่ากำไล EM ทำให้ตอนนี้เราโดนฟ้องแพ่งเรื่องบัตรเครดิตด้วย

*** สรุปคือคู่กรณีของเราไม่ยอมความใดๆ เลย เราอยากรู้ว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่เราจะได้การตัดสินให้รอลงอาญา แทนการจำคุก 1 ปี รบกวนผู้รู้ให้คำแนะนำเราทีค่ะ ยอมรับค่ะว่าทำไปโดยไม่คิด แต่ที่ผ่านมาก็พยายามขอโทษคู่กรณีมาตลอด เราห่วงอนาคตลูกกับแม่ค่ะ ถ้าไม่มีเราพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่กันยังไง ***
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ในมุมทนาย ผมมองว่าเคสน้ี 50/50 เพราะว่าเรื่องนี้ส่วนนึงเป็นดุลพินิจขององค์คณะศาลอุทธรณ์ว่าท่านมีมุมมองกับข้อเท็จจริงอย่างไร บางท่านอ่านรายงานสืบเสาะแล้วอาจจะเห็นใจ แต่บางท่านก็ไม่อาจจะหักล้างกับพฤติการณ์ภายหลังกระทำผิดที่ได้มีการโต้เถียงกันไปมาได้ครับ ศาลอาจจะมองว่าคุณ จขกท. ไม่ได้สำนึกผิดจริงตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ก็ได้ หรืออาจจะมองว่าด้วยภาระหน้าที่ของคุณ จขกท. หากพิพากษาให้จำคุกก็เป็นร้ายต่อครอบครัวและสังคมมากกว่า  อยากให้จขกท.ทำใจให้สบาย ถ้าหากทำบุญแล้วจะสบายใจก็แนะนำให้ทำบุญนะครับ อะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับผลของมัน ขอให้โชคดีนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่