เหตุเกิดที่ประจวบฯ (Re post) โดย ดรัสวันต์

กระทู้คำถาม


(เครดิตภาพจาก กูเกิ้ล)


จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปลายปี 2535

         ประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดที่มีชายฝั่งทะเลยาวที่สุดในประเทศไทย และมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายทั้งทะเล ภูเขา น้ำตก อย่างที่ได้ฉายาว่า
4 ป่า 5 เขา 9 ทะเล  แต่คนส่วนใหญ่มักจะกระจุกตัวเที่ยวแค่หัวหิน ทั้งๆ ที่ประจวบฯ ยังมีชายหาดอื่นที่สวยงามและสงบเงียบให้ได้ไปเที่ยวชมอีกมากมาย

        ครั้งนี้ก็เหมือนกันที่ทีมเพื่อนๆ ของพิมพาตั้งใจจะใช้ช่วงวันหยุดยาวไปเที่ยวหัวหิน 

       “หัวหินอีกแล้ว” พิมพาทำเสียงเบื่อจัด

       “ก็มันใกล้ ที่พักก็ฟรี ของกินก็เพียบ” นภาวรรณให้เหตุผล

       “หยุดตั้งหลายวัน เราน่าจะไปเที่ยวไกลๆ หน่อยก็ได้ อยู่หัวหินตั้งหลายวันทำไร ตื่นขึ้นมาก็กิน แล้วก็กิน แล้วก็ช้อปปิ้ง”

       “แล้วพิมอยากไปไหนล่ะ” แก้วกาญจ์พยายามประนีประนอม

       “ที่มันไกลกว่าหัวหินหน่อยก็ได้ เรามีเวลาตั้ง 4 วัน 3 คืนแบบนี้”

      “สิงคโปร์เลยเป็นไง” นภาวรรณประชด

      “ตา-หลกแล้ว” พิมพาลากเสียงและค้อนคนประชด

      “ประจวบฯ ไหม ไม่ใกล้ไม่ไกล” จริญญาเสนอทางออกที่ทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้นมา

      “ค่อยน่าสนหน่อย” พิมพาเริ่มยิ้มออก

      “เป็นว่าคืนแรกเราค้างหัวหิน แล้วคืนต่อไปค้างประจวบฯ หนึ่งคืน แล้วกลับมาค้างที่หัวหินคืนสุดท้าย” แก้วกาญจ์เจ้าของคอนโดมิเนียมที่หัวหินช่วยสรุป

      “จะยุ่งยากจัดกระเป๋าไหมนั่น”

      “ก็ไม่เห็นต้องเรื่องมาก ในเมื่อหัวหินเราพักคอนโดฯ ยัยแก้ว เราทิ้งเสื้อผ้าส่วนใหญ่ไว้ที่นั่น แล้วเอาเฉพาะที่จะค้างหนึ่งคืนใส่กระเป๋าเล็กไปประจวบฯ” จริญญาตอบแล้วหันมาบอกพิมพาว่า “เราไม่ได้ไปเที่ยวประจวบฯ ด้วยกันนานมากแล้วนะพิม ยังจำตอนเด็กๆ ที่ครอบครัวเราเคยไปเที่ยวด้วยกันได้ไหม สนุกมากเลยนะ”

      พิมพายิ้มพยักหน้าตาเป็นประกายยามนึกถึงทริปท่องเที่ยวที่แสนสนุกในวัยเยาว์

      เมื่อตกลงกันดังนั้น ทั้งสี่สาวก็เตรียมการโดยพิมพาจัดการจองบ้านพักที่ประจวบฯ และจัดโปรแกรมท่องเที่ยวว่าจะไปที่ไหนบ้าง 
 

      สี่สาวออกเดินทางในตอนสายของวันหยุดยาววันแรก แม้การจราจรจะคับคั่ง แต่คนส่วนใหญ่ก็เดินทางกันไปก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งหัวหินก็ไม่ไกลมาก ทั้งหมดจึงไม่รีบร้อน ค่อยๆ ไป แวะกินแวะเที่ยวไปตลอดทาง
   
      รถตรวจการคันใหญ่ของแก้วกาญจ์ กว้างขวางพอสำหรับผู้หญิงตัวไม่ใหญ่ทั้งสี่คน แถมยังมีที่ว่างสำหรับกระเป๋าเดินทางอีกด้วย

      คืนแรกที่ทั้งหมดค้างที่คอนโดมิเนียมหรูของแก้วกาญจ์ที่หัวหินนั้น เป็นปกติที่ทีมนี้มาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ทุกคนตั้งใจจะมาพักผ่อนนอนเล่นคุยกันมากกว่าจะมาท่องเที่ยวชมความงามของหัวหินเพราะมากันบ่อยแล้ว อย่างดีก็ไปหาของอร่อยๆ ทาน กับไปเดินเล่นตลาดนัด

     “พรุ่งนี้เราจะไปประจวบฯ กี่โมง”

     “สายๆ ก็ได้ เราแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ กะว่าไปถึงที่นั่นตอนเที่ยง เราจะได้ไปกินกลางวันกันที่ร้านประมง หน้าหาดไง” 

     จริญญาตอบ เพราะมีเธอกับพิมพาเท่านั้นที่เคยไปเที่ยวที่นั่นมาก่อน

     “ใช่ๆ ร้านนี้อร่อยมาก อาหารทะเลเขาสดมาก กุ้งตัวโตๆ นะ เอามาผัดเผ็ดกับชะอม อร่อยสุดๆ ” พิมพาโน้มน้าวให้เพื่อนๆ พากันน้ำลายไหล

     แล้ววันรุ่งขึ้นทั้งหมดก็เดินทางมาถึงตัวเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ร้านอาหารที่ตั้งใจมารับประทานนั้น ตั้งอยู่หน้าหาดที่มีเขื่อนคอนกรีตกั้นสูงระดับเข่า เพื่อป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเพราะเวลาที่น้ำทะเลขึ้น น้ำจะท่วมสูงจนไม่เหลือพื้นที่หาดทราย และหากเป็นวันที่คลื่นลมแรงน้ำทะเลก็จะซัดกระแทกขอบเขื่อนนี้ขึ้นมา

     “นี่หรือหาดประจวบฯ ไม่เห็นสวยเลย” คนที่เพิ่งเคยมาครั้งแรกกล่าวอย่างผิดหวัง “จะแปลกแตกต่างอยู่หน่อยก็ตรงมีภูเขาลูกนั้น” นภาวรรณเคยชินกับทะเลที่เวิ้งว้างอย่างหัวหินมากกว่า เธอมองภูเขาทรงแหลมสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านขวาของหาดเป็นทัศนียภาพที่แปลกตายิ่งนัก

     “เดี๋ยวซิ เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวหาดที่สวยๆ” พิมพาปลอบ  

      “ใช่ นี่เราแค่มากินอาหารอร่อย” แล้วทั้งสี่ก็พากันเดินเข้าไปยังร้านอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานปลาที่ยื่นออกไปในทะเล จนชวนให้คิดไปว่า หากเรือประมงเข้าเทียบท่า ของสดๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา จากทะเลจะถูกลำเลียงผ่านร้านอาหารแห่งนี้ไปสู่ตลาดและส่วนหนึ่งถูกส่งเข้าครัวของร้านเป็นแน่แท้

     หลังจากอาหารที่สั่งไว้เริ่มมาเสิร์ฟ และทั้งสี่ได้ลิ้มลองความเลิศรสนั้นอย่างพึงใจแล้ว ก็มีคำถามขึ้นว่า

     “แล้วที่พักล่ะ เราจะพักที่ไหน อย่าบอกนะว่าเป็นบ้านบังกะโลที่เห็นอยู่ตรงนั้น” นภาวรรณชี้ไปที่บังกะโลไม้รูปทรงโบราณราวยุค 50  ซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่หน้าหาดหลายสิบหลัง

     พิมพาหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เพราะมันใช่อย่างที่นภาวรรณสงสัยจริงๆ

     “ใช่ ฉันจองบ้านพักนี้ไว้” พิมพาตอบเสียงอ่อยๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนสาวไฮโซของเธอจะต้องร้องยี้

      “พักบังกะโลไม้เนี่ยน่ะหรือ” 

      จริงอย่างที่พิมพาคาดเดาว่านภาวรรณจะต้องไม่พอใจ เพราะชีวิตเธอต้องอยู่ดีกินดีพักหรูหรามาตลอด

      จริญญามองหน้าเพื่อนทั้งสอง โดยเฉพาะพิมพาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนสาวว่าทำไมถึงเลือกบังกะโลรุ่นเก่าของเทศบาลเมืองแห่งนี้

      “บังกะโลรูปทรงเก่าแบบบ้านไม้โบราณก็จริง แต่เขาปรับปรุงทาสีใหม่ ดูดีออก เธอต้องเข้าใจซิว่าเขาต้องการอนุรักษ์ของเก่า ดูอย่างโรงแรมรถไฟหัวหินซิ ฝรั่งชอบไปพักมากๆ เลย”

     พิมพาพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลที่เพื่อนช่วยยกมาอ้างให้เธอ

     “บังกะโลนี้ ฉันเคยมาพักตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยากมาระลึกถึงความสนุกสนานตอนนั้น จริงไหมริญ” พิมพาบอกเหตุผลของเธอ แล้วหันไปพยักเพยิดกับจริญญาเพื่อนรัก

     “เอาเถอะ พักแค่คืนเดียว เปลี่ยนบรรยากาศมาพักที่แปลกๆ บ้างก็ดีนะ ทำให้นึกถึงละครเรื่อง วนิดา ผู้หญิงสมัยนั้นนุ่งกระโปรงบานลายดอกไม้สวยดีออก” แก้วกาญจ์กล่าวชักจูงใจให้ทุกคนรู้สึกรื่นรมย์

     หลังจากอาหารมื้อกลางวันที่แสนเอร็ดอร่อย ทั้งหมดพากันไปเข้าที่พัก บ้านบังกะโลแบบโบราณยกพื้นใต้ถุนสูงด้วยบันได 8 ขั้น แต่ละคนต่างพากันไปสำรวจที่นอนและห้องน้ำซึ่งสุขภัณฑ์ได้รับการเปลี่ยนให้เป็นรุ่นใหม่

      “น่าอยู่ออก” แก้วกาญจ์มองอย่าละลานตา โดยเฉพาะม่านครึ่งหน้าต่างที่เป็นลูกไม้ปักฉลุ ยามที่ลมทะเลพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านก็จะปลิวสะบัด

     “ลมเย็นดีจังเลย แบบนี้คงไม่ต้องเปิดแอร์”

      “มีแอร์ที่ไหนล่ะ มีแต่พัดลม” นภาวรรณชี้ขึ้นไปบนเพดานที่มีพัดลมชนิดแขวนติดตั้งอยู่ พยายามสะกดความไม่พอใจไว้เพราะเห็นแก่เพื่อนทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วเธออยากจะกลับไปหัวหินมากกว่า บังกะโลแห่งนี้ไม่ต่างจากโรงแรมจิ้งหรีดในความรู้สึกของเธอ

      ส่วนพิมพา มองไปรอบตัว เตียงนอนใหญ่ 2 เตียงที่วางคู่กันหันทางด้านศีรษะไปยังทะเลหน้าบ้าน  ภาพเก่าๆ ในวัยเด็กย้อนกลับมาสู่หญิงสาวอีกครั้ง

      พิมพายิ้ม แล้วค่อยๆ ทอดเอนตัวลงนอนบนฟูก จำได้ถึงครั้งหนึ่งที่เธอมากับญาติๆ คือครอบครัวของลุงกับป้าพร้อมกับลูกๆ อีก 3 คน เด็กๆ รวม 4 คนนอนเรียงกันบนฟูกหนาที่ปูบนพื้นไม้ แรกๆ ก็นอนเล่นหยอกล้อกันตามประสาพี่ๆ น้องๆ จนในที่สุดก็หลับไป

      เสียงหนึ่งปลุกเด็กหญิงพิมพาขึ้นมากลางดึก  เธอพยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้น เหมือนมีใครตะโกนอะไรแว่วๆ มาตามถนนที่ทอดผ่านหน้าบ้านซึ่งคั่นระหว่างบ้านกับชายทะเล

     เสียงนั้นค่อยๆ ชัดขึ้น คล้ายคนตะโกนพูดอะไรสักอย่าง 

     ‘ฆ่ามัน ! ฆ่า ฆ่า ข่มขืน ฮา  ฮา ฮา’ เป็นเสียงของผู้ชายที่แผดออกมาด้วยความสะใจ

     พิมพาสะดุ้งนอนตัวแข็ง พยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอีกครั้ง

     ‘ฆ่า ข่มขืน ! ฆ่ามัน ฆ่า’ เสียงตะโกนซ้ำๆ นั้น ชัดเจนขึ้นทุกขณะ แสดงว่าคนๆ นี้กำลังเดินใกล้เข้ามา ยิ่งเป็นเวลากลางดึกที่สงัดเงียบเช่นนี้ ดูกึกก้องชวนขนลุก

     ‘ข่มขืน ฆ่ามัน ! ฆ่า ฆ่า ฮา ฮา’

      เด็กหญิงไม่กล้าขยับตัว ได้แต่กรอกตามองไปข้างตัวที่มีลูกพี่ลูกน้องนอนหลับอยู่ ทำไมไม่มีใครตื่นขึ้นมาสักคน เสียงตะโกนนั้นออกจะดังลั่น และตอนนี้....

     ...เสียงฝีเท้าของมันกำลังก้าวขึ้นบันไดบ้านมาแล้ว เธอได้แต่หลับตาแน่น นึกภาวนาว่ากลอนประตูบ้านคงจะแน่นหนาพอที่จะป้องกันไม่ให้ไอ้คนโรคจิตที่เดินตะโกนถ้อยคำสยดสยองนี้เข้ามาในบ้านได้

       ‘ฮา ฮา ฆ่า ฆ่า ฆ่ามัน !’ เสียงนั้นดังอยู่หน้าบ้านตรงหัวนอนของเธอพอดี เธอจำได้ว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอจะรู้สึกกลัวมากมายเท่าครั้งนี้  จนอยากจะกลั้นใจตายไปซะเลยตอนนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่