เราสงสัย ไม่รู้จะไปถามใครได้ คิดว่าเรื่องนี้ หรือต้องไปถามพระ

ถ้ามีกฏหมายทำแท้ง ในโรงพยาบาลรัฐบาลได้อย่างถูกกฏหมายแล้ว ไซร์ 

คนที่ทำแท้งให้ อย่างหมอ จะบาปมั้ยค่ะ??

ต้องทำเพราะหน้าที่ ทั้งๆที่ไม่อยากทำ หมอ หรือ แม่ที่ทำแท้งลูกค่ะ ที่ได้รับผลกรรม (บาป ที่ทำลายชีวิต) ในทางพุทธ เป็นก้อนเนื้อ มีเสียงหัวใจเต้น
ปฏิสนธิ เรียกว่ามีชีวิตแล้ว แต่อาจจะยังขาดจิตวิญญาณ หรือเกิดจิตวิญญาณ มาอยู่แล้วก็ไม่รู้ บอกไม่เหมือนกัน ในแต่ละตำรา

เอาเป็นว่า ในทางวิทย์ฯ พอปฏิสนธิ ก็เรียกว่ามีชีวิต ก่อเกิดแล้ว ถ้าไปทำแท้ง ยุติการตั้งท้อง ในทางวิทย์ฯ ก็แค่ก้อนเนื้อ ก้อนเลือด ก็แค่เอาออกไป

แต่ในทางพุทธ หมายถึงมีชีวิต ทำลาย ฆ่า ผิดศีลข้อ 1 เป็นบาป แล้วใครที่บาป??

สงสัย อยากทราบจริงๆ ใครพอจะอธิบายในเชิงพุทธศาสนา ให้เราฟังได้บ้างมั้ย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ทำแท้งบาปหรือไม่ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา   พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

กำเนิดมนุษย์ ท่านว่าไว้อย่างไร
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-prayuth/lp-prayuth-17-01.htm

ต่อไปนี้ก็มาดูเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ตามความในพระไตรปิฎกให้ชัดเจนขึ้นไปอีก ที่กล่าวไปแล้วเป็นพระวินัย คราวนี้เราไปดูในพระสูตรบ้าง เพื่อจะโยงหาเนื้อหาความสัมพันธ์กัน ที่จะช่วยให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น มีพระสูตรที่ตรัสถึงเรื่องกำเนิดของชีวิตมนุษย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เพราะการประชุมพร้อมแห่งองค์ประกอบ 3 ประการ ย่อมมีการหยั่งลงแห่งครรภ์”

การหยั่งลงแห่งครรภ์ หมายความว่ามีการเกิดขึ้นของสัตว์ที่เกิดในท้องมารดา ดูพุทธพจน์ต่อไปว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด มารดาบิดาร่วมกัน 1 มารดาอยู่ในฤดู (ช่วงเวลาไข่สุก) 1 และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่แล้ว 1 เพราะประชุมองค์ประกอบ 3 ประการอย่างนี้ ก็มีการก้าวลงแห่งครรภ์” (ม.มู.12/452/287)

ฉะนั้น คำว่า คันธัพพะ ตามมติของอรรถกถาก็หมายถึง ตัวสัตว์ผู้ไปเกิด เป็นศัพท์ที่เรียกคลุมๆ เพราะถ้าจะเรียกเป็นจิตเป็นวิญญาณก็จะเป็นการพูดศัพท์ลึกแบบอภิธรรมมากไป จึงพูดเป็นตัวสัตว์หยาบๆ ไปเลย หมายถึงผู้ที่จะไปเกิด ท่านแสดงไว้ในความหมายว่าอย่างนั้น พระอาจารย์ที่อธิบายท่านเรียกว่า อุปฺปชฺชนกสตฺโต

เป็นอันว่า มติของคัมภีร์ทั้งหลายแสดงไว้ชัดแล้ว ว่าท่านมุ่งเอาแค่ไหน คันธัพพะ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการเกิดของคนก็หมายถึงคนที่จะมาเกิด หรือสัตว์ที่มาเกิดในกรณีนั้น


จากหนังสือ ใคร...ให้คุณเกิด ?
https://ppantip.com/topic/36002342/comment13

อย่างไรก็ตามในหลักของพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า จะต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการคือ
๑. มาตา อุตุนี โหติ แปลว่า มารดามีระดู
๒. มาตาปิตโร สนฺนิปาตา โหนฺติ แปลว่า มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
๓. คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ แปลว่า มีสัตว์มาเกิด
ปรากฏว่าวิชาการทางโลกกล่าวถึงปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดเพียงประการที่ ๑ และ ๒ เท่านั้นคือ
๑. มารดามีระดู หมายถึง มีการตกไข่ (Ovualation) เกิดขึ้นในครรภ์มารดา

(ไม่ได้คัดลอก เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการตกไข่ )

๒. มารดาและบิดาอยู่ร่วมกัน หมายถึงจะต้องมีการปฏิสนธิคือมีสเปิร์มอันได้แก่เชื้ออสุจิจากพ่อ เข้าผสมกับเซลล์ไข่ของแม่
เสปิร์ม หรือเชื้อจากพ่อนั้น เกิดจากขบวนการ Spermatogenesis โดยการแบ่งแบบไมโอซิสของเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อภายในท่อสร้างสเปิร์ม (seminiferous tubule) ซึ่งอยู่ภายในถุงอัณฑะ (testis)

การแบ่งเกิดขึ้นเหมือนกับในเพศแม่ ต่างกันแต่เพียงว่า การแบ่งเซลล์ในเพศชายนั้นเริ่มต้นจากเซลล์ที่มีชื่อว่า spermatogoninum ซึ่งจะมีการแบ่งแบบไมโตซิสก่อนได้ ๒ เซลล์ ที่มีโครโมโซมเท่าเดิมคือ ๔๖ (๔๔ + XY) ต่อจากนั้นจะมีเพียงหนึ่งเซลล์เท่านั้นเจริญ (โต) ขึ้นเป็น primary spermatocyte ซึ่งเป็นเซลล์ที่แบ่งแบบไมโอซิส (ส่วนอีก ๑ เซลล์ยังคงเป็น spermatogoninum ตามเดิม ) การแบ่งของ primary spermatocyte นี้จะเกิดขึ้นติดต่อกัน ( ๒ ครั้ง) จนแล้วเสร็จได้เซลล์ ๔ เซลล์ ที่มีจำนวนโครโมโซมลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง คือ ๒๓ (๒๒ + X) หรือ ๒๓ (๒๒ + Y) ซึ่งเซลล์ที่ได้นี้ต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างสร้างหางเรียกว่าตัวสเปิร์ม (spermatozoa ) ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนที่เข้าผสมกับเซลล์ไข่นั่นเอง

การแบ่งเซลล์สืบพันธุ์ในเพศชายต่างกับเพศหญิง เพราะในเพศชายจะเริ่มต้นแบ่งแบบไมโตซิสจาก เซลล์ spermatogoninum ซึ่งมีการสร้างชดเชยอยู่ตลอดเวลา ทำให้ spermatogoninum ในเพศชายไม่มีวันหมด เพศชายจึงสามารถสร้างสเปิร์มได้ตลอดชีวิต ในขณะที่เพศหญิงนั้นเริ่มต้นจากการแบ่งแบบไมโอซิสของเซลล์ primary oocyte ซึ่งเมื่อแบ่งแล้วเซลล์ชนิดนี้จะหมดลงไปเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงวัยหนึ่ง ประมาณอายุ ๔๕ ปี เพศหญิงจึงไม่อาจสร้างไข่ได้อีกต่อไปและที่สำคัญการแบ่งเซลล์ในเพศชายนั้นจะเริ่มจาก spermatogoninum ที่มีจำนวนมาก จึงทำให้เซลล์สเปิร์มที่ได้มีจำนวนมากมาย ซึ่งในการปล่อยน้ำเชื้อของผู้ชายแต่ละครั้งจะมีสเปิร์มเข้าผสมจำนวนประมาณ ๓๐๐ – ๕๐๐ ล้านตัว แต่จะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่เข้าผสมกับไข่ได้ซึ่งเรียกการผสมนี้ว่า การปฏิสนธิ ( fertilization )

การปฏิสนธิ จึงหมายถึง กระบวนการที่มีสเปร์มเข้าไปรวมกับไข่ เมื่อผสมแล้วได้เป็นเซลล์ใหม่ที่มีชื่อว่า ไซโกต
ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิสนธิ คือ
๑.    ได้ไซโกต ที่มีโครโมโซมเป็น ๒ ชุด ( ๒n = diploid number คือ ๔๖ โครโมโซม )
๒.    เกิดความแตกต่างของลักษณะโครโมโซม ( variation ) เพราะชีวิตใหม่ที่อุบัติขึ้นมานี้ ได้รับโครโมโซมครึ่งหนึ่งจากพ่อ และอีกครึ่งหนึ่งจากแม่ ( n = haploid คือ ๒๓ โครโมโซม)
๓.    เกิดการกำหนดเพศ โดย sex chromosome ของตัวสเปิร์มเป็นตัวกำหนด ถ้าเป็น X- sperm เข้าผสมก็จะเป็นเพศหญิงแต่ถ้า Y- sperm เข้าผสมก็จะเป็นเพศชาย





ในขณะที่ประการที่สาม คือ มีสัตว์มาเกิด ซึ่งหมายถึงจะต้องมีจิตมาปฏิสนธินั้น  ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจทำการทดลอง และพิสูจน์ได้ ในขณะที่ปัจจัยข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่า ชีวิตนั้นจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ จะอยู่รอดได้เพียงใด และจะมีบทบาทของชีวิตอย่างไร เพราะจิตที่เกิดขึ้นมาในขณะปฏิสนธินั้น ย่อมพกพาเจตนาซึ่งมีอำนาจแห่งวิบากกรรมทั้งหลายที่ผู้นั้นได้กระทำติดตามมาด้วย และนี่คือประการที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาข้อหนึ่งที่จะทำให้คนเชื่อเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด



คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร ?
http://ppantip.com/topic/32113760/comment8

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่