คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อเรื่องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เพราะตัวก็ลำบาก แล้วคนรุ่นเก่าคิดอย่างไรครับสมัยที่ยังเป็นวัยทำงานครับ

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่เชื่อเรื่องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ อาจจะไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่ก็คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตกับเงินเดือนที่สวนทางกับค่าครองชีพก็ลำบากแล้วจึงรู้สึกว่าอนาคตก็เป็นสิ่งที่ส่วนหนึ่งพ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบตัวเองเหมือนกัน 
เลยอยากถามคนรุ่นเก่าสมัยสำหรับเด็กจบใหม่ทั่วไปไหมเงินเดือนพอไหม หรือค่าครองชีพสมัยนั้นมันไม่ได้ห่างจากเงินเดือนสมัยนั้น หรือมันก็ไม่พอแหละแต่อยุ่ได้ ด้วยความภูมิใจ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เราเถียงแม่สักคำยังไม่เคย
ทำหน้าบึ้งใส่ก็ไม่มีสักครั้ง
เราเทิดทูนบูชาแม่ยิ่งว่าใครในโลก  
ตั้งใจไว้เต็มที่ ถ้าเรียนจบแล้วแม่เราต้องสบาย
แต่แม่ดันไม่อยู่ให้เลี้ยง

ถ้าแม่ยังอยู่ เราคงไม่เป็นฟรีแลนซ์
คงไปหาสอบงานราชการเพื่อความมั่นคงระยะยาว และเพื่อสวัสดิการที่แม่จะได้รับ
แม่อยากให้เป็นอะไรจะเป็นให้หมด

แม่เราเลี้ยงเรามาดีมาก พยายามอดทนทุกอย่างเพื่อเราและพี่ชาย
เราจดจำและซาบซึ้งมากค่ะ
เรายินดีตอบแทน
ตอนเด็กเวลาไปแข่งวิชาการชนะมา ได้เงินรางวัล เราให้แม่หมดเลยค่ะ


แต่คนอื่นที่บริบทครอบครัวไม่เหมือนเรา เขาคงรู้สึกแตกต่างไป
บางครอบครัวก็เลี้ยงลูกมาแบบไม่ใส่ใจ ใช้ความรุนแรงกับลูก
คนรุ่นเก่าบางคนเขาก็ไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่นะคะ


โลกก็แบบนี้
เราที่ต้องการให้แม่อยู่กับเรา ต้องการเลี้ยงดูแม่
แต่แม่เรากลับจากไป
แต่บางคนเขาไม่อยากให้แม่เขาอยู่ ไม่ต้องการดูแลแม่
เขากลับยังมีแม่อยู่กับเขา
ความคิดเห็นที่ 22
คนรุ่นใหม่ไม่ใช่ไม่อยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ค่ะ เค้าแค่ต่อต้าน "ความคาดหวัง" คือไม่โอเคกับการถูกฝากฝังว่าเรียนจบต้องตอบแทนบุญคุณกันนะ เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนพ่อแม่มีลูกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มากกว่ามีลูกเพราะอยากมี ทุกคนล้วนอยากมีพ่อแม่ที่รักและดูแลเราแบบไม่มีเงื่อนไข

พอดีเรามีพ่อกับแม่ที่ปลูกฝังเรามาแบบคนละขั้ว พ่อคอยย้ำมาทั้งชีวิตว่าต้องเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณ เพราะที่มีลูกนี่ก็เพื่อให้มาดูแลตอนแก่ ส่วนแม่ดูแลเราอย่างดีและไม่เคยขอให้ต้องมาเลี้ยงดูตอบแทนแกเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราไม่ให้ใจพ่อเลย ดูแลแกตามสมควร ขณะที่กับแม่เราดูแลออกมาจากความรู้สึก ดังนั้นอยากจะบอกว่าการให้ที่มาพร้อมเงื่อนไขว่าต้องตอบแทนในอนาคต กับการให้อย่างไม่มีเงื่อนไขใด คุณค่ามันต่างกันมากจริง ๆ นะ

ขอให้เชื่อในแรงสะท้อนของความรักค่ะ ถ้าพ่อแม่ให้ความรักและเลี้ยงดูลูกดีโดยปราศจากคำพูดที่แสดงความคาดหวังการตอบแทน ลูกจะไม่กังขาในความรักของคุณ ถึงเวลาเค้าจะพยายามดูแลคุณเองเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเหตุผลที่เค้าดูแลก็จะไม่ใช่เพราะคุณเคยเลี้ยงดูเค้ามาด้วย แต่เพราะคุณคือคนที่เค้ารัก

อย่างไรก็ตามด้วยความที่คนสมัยใหม่เกิดมา พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงมาให้ลำบาก พอมีงานทำเลยไม่สามารถใช้ชีวิตแบบยอมลำบากเพื่อส่งเงินเดือนกว่าครึ่งให้พ่อแม่เหมือนที่คนยุคก่อนหลายคนทำกันได้ การดูแลพ่อแม่จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถรับไม้กลายเป็นเสาหลักได้ทันทีที่มีงานทำ

ให้เวลาหน่อยนะคะ ดูกันยาว ๆ อย่าเพิ่งเหมารวมว่ายุคนี้มีแนวคิดว่าไม่ต้องตอบแทนหรือดูแลพ่อแม่ก็ได้ จิตใจคนรุ่นใหม่ไม่ได้เสื่อมถอยขนาดนั้น ขณะเดียวกันการวางแผนดูแลตัวเองได้ตอนแก่ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำไม่ว่าจะยุคไหน ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเพราะลูกอาจเลี้ยงดูไม่ได้ แต่ชีวิตมันมีความเสี่ยงมากมาย เช่น ลูกอาจจะตายก่อนพ่อแม่ก็ได้ เป็นต้น

จริง ๆ คนที่ไม่อยากดูแลพ่อแม่มีทุกยุคแหละ แค่ยุคนี้มันมีโซเชียลที่เสียงทุกคนดังได้เหมือน ๆ กัน และทัศนคติแย่ ๆ จะดังเป็นพิเศษเพราะมันสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งที่บางทีมันเป็นแค่ความคิดจากคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นเอง
ความคิดเห็นที่ 12
ยิ่งที คนสมัยใหม่ขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งยึดถือยึดติดวัตถุกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ
และนี่แหละ เป็นสาเหตุที่บอกได้ว่า ทำไมคนยิ่งรุ่นใหม่ขึ้น ถึงบูชาเงินทองกันมากขึ้นอย่างชัดเจน

เมื่อบูชา "เงิน" เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตแล้ว
พวกเขาพยายามตัดทุกอย่าง ที่พวกเขาต้องจ่ายเงินให้ ออกไปจากชีวิต
และนำพากับทุกสรรพสิ่ง ที่จะช่วยให้เขามีเงินเยอะๆได้ง่ายที่สุด
ความคิดเห็นที่ 9
พ่อแม่บางคนก็ไม่ได้ต้องการการตอบแทนด้วยเงินนะ
แค่ดูแลถามไถ่ให้รู้สึกว่าไม่โดนทอดทิ้งก็พอแล้ว
สมัยก่อนตัวเองเป็นลูกก็ได้พ่อแม่ทีดี ไม่เคยเรียกร้องอะไร
มีแต่ลูกๆช่วยกันดูแลจนสิ้นลมไป
สิ่งที่ตัวเองปฎิบัติกับปู่ย่าตายายเขา เด็กๆเห็นก็ซึมซับกันไป
ทุกวันนี้ก็ได้ลูกๆคอยดูแลถามไถ่ แค่นี้ก็ดีแล้ว
ความคิดเห็นที่ 1
อยากฝากไว้ว่าเราทุกคนสร้างอนาคตของตัวเราเองด้วยการกระทำของเราเองในปัจจุบัน อนาคตมาถึงก็อย่าโวย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่