ย้อนกลับไปในปี พศ 2547 ในขณะนั้นผมอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 6 อืม...
จะมีใครไหมที่เคยถูกเพื่อนร่วมชั้น ดูถูกดูแคลนและถูกนำเปรียบเทียบกับใครสักคนในห้องเดียวกัน
ในแต่ละวันที่ผ่านมา ตั้งแต่ชั้น ป 3 4 5 เวลาที่เดินแถวไปทานข้าวที่โรงอาหาร
ในสมัยนู้นคือครูจะแจกคูปองให้เด็กแต่ละครไปกินข้าว โดยจะปล่อยให้ชั้นอนุบาลไปก่อนแล้วเรียงตามลำดับชั้นมาเรื่อยๆ
พอถึงชั้นปีที่ 6 ในขณะเดินแถวแลกอาหารกลางวัน ในตอนนี้จะไม่มีครูมายืนคุม พอใกล้จะถึงคิวผม มันจะมีพวกหัวโข่งเดินมาข้างหลัง
จากนั้นมันก็จะคอยพลักผมออกจากแถวให้ไปต่อท้ายแถวใหม่เสมอ ผมมักจะเป็นคนท้ายๆ หรือสุดท้ายเสมอที่ได้แลกอาหารกลางวัน
มันเป็นการถูกกระทำ ที่ก่อให้เกิดความอัดอั้นในใจ เพราะเราตัวเล็ก ผอม ดูอ่อนปวกเปียก เลยมักเป็นเป้าหมายให้คนกลั่นแกล้งเสมอ
จนทำให้ผมกลายเป็นคนเงียบเข้ากับใครไม่ได้เลยและไม่คิดจะเข้าหาใครด้วย มองทุกๆคนเป็นดั่งสัตว์เดรฉานที่น่ารังเกียจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
และในภาคเรียนที่ 2 ในขณะที่วันนึง ผมไม่ได้ทำการบ้าน ซึ่งมันก็บ่อยแหละที่ผมไม่ได้ทำการบ้านมาส่ง แต่ในวันนั้นเอง ในวันที่ฝนตก
ผมที่ไม่ได้กินข้าวเช้า ซึ่งแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำที่ผมไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนมาโรงเรียน
เนื่องจากคุณแม่ ที่มักจะตื่นสาย และเป็นพวกเสพติดงานบ้าน ในแต่ละวันที่ต้องไปโรงเรียนก่อน 8 โมงเช้า ท่านมักจะตื่นมา ในช่วงเวลา 7.20 -7.50
ทำให้เวลามันมีไม่มากพอที่จะทำอาหาร แต่ถ้าคิดดีๆ มันก็พอจะมีเวลาอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ ด้วยระยะทางไปโรงเรียน มันแค่ 2-300 เมตรเท่านั้น
แต่คุณแม่ผมมักเลือกที่จะตื่นมา กวาดบ้าน กวาดใบไม้หน้าบ้านก่อนเสมอ คือถ้าผมไม่เรียก ไม่ขอให้ทำอาหารก่อน
ก็คงไม่มีเลยสักวันที่จะได้กินข้าวเช้า ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็มักจะกลับมาหาอะไรให้กินในเวลาไล่ๆ 8 โมงเช้าแล้ว เป็นประจำ
ทำให้ผมเลือกที่จะเดินไป รร เลยแทนที่จะอยู่รอกินข้าวแล้วไปเรียนสาย ในวันนั้นเองที่ผมไม่ได้ทำการบ้านมาส่งในคาบเช้า
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครูที่มาสอนในวันนั้นเกิดกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่า ซึ่ง ผมจะเรียกเขาคนนั้นว่า มัน ก็แล้วกัน
มันได้ทำการตะโกนเรียกชื่อผม ด้วยท่าทางที่ขึงขังและรุนแรง ปานว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตก็มิปาน ( ไอ้ทิด (ชื่อสมมุติของผม) การบ้านอยู่ไหน )
ผมก็ตกใจเนาะ ก็เลยไม่ได้ตอบมันไปด้วยความกลัว พอผมไม่ตอบและนิ่งเงียบสักพัก ทันใดนั้นเอง มันก็ไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมาให้ออกจากห้องเรียนแล้วไปนั่งเรียนกับชั้น ป.5 แทน ทั้งๆที่ผมอยู่ ป.6 (กลับไปอยู่ ป.5เลย ไป๊.....) ท่ามกลางเพื่อนร่วมห้องที่เงียบสงัด ผมก็ต้องลุกขึ้น เก็บกระเป๋าเก็บข้าวของ แล้วเดินย้อนกลับไป แล้วไปนั่งในชั้น ป.5 โดยที่ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเลยสักนิด ซึ่งในเวลานั้น ครูชั้น ป.5 ไม่อยู่ด้วย
และในเวลาไม่นานนัก ด้วยความที่ผม รีบมา รร โดยไม่ได้กินข้าวเช้า คุณแม่ก็ได้ทำข้าวกล่อง แล้วนำมาให้ที่หน้าห้องเรียน
พอผมเห็นท่าน ผมก็เดินออกไปรับข้าวกล่อง เมื่อแม่ผมเห็นผมเดินออกมาจากห้อง ป.5 ท่านก็ถามทำไมไปอยู่ในห้อง ป.5 ล่ะ
ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน ก็ได้แต่บอกว่า ไปหาเพื่อนเนาะ และผมก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเดินกลับเข้าห้อง ป.5 ไป
ในวันนั้น มันคือวันที่ ความเคียดแค้นที่มีต่อไอ้ครูคนนั้นได้ฝังลึกเข้าไปในจิตวิญญานเลยทีเดียว จนถึงวันนี้ ก็ยังรู้สึกเกลียดมันทุกครั้งที่ได้เจอ
เมื่อเรียนจบและเข้าสู่ชั้นมัธยมในโรงเรียนใหม่ สิ่งต่างๆที่เจอมาใน รร เก่าชั้นประถม มันได้เปลี่ยนบุคลิกผมไปตลอดกาล ผมกลายเป็นคนที่ชอบเก็บตัว
และชอบอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนๆ บางวันก็หนีเรียนไปแอบหลับ แอบนอนในที่เงียบๆ ห่างไกลผู้คนเป็นประจำ จนมาถึงชั้นมัธยมปีที่ 2
จู่ๆวันนึง หน้าเสาธงช่วงเวลาเคารพธงชาติ บรรดาครูก็ได้ประกาศว่า วันนี้จะมีการตรวจฉี่ พวกเขาได้นำตำรวจมากมายมาคุมเพื่อที่จะเรียกตัวนักเรียนที่น่าสงสัยมาตรวจ ซึ่ง มันก็มีชื่อผมอยู่ในนั้น แม้ผมจะเป็นคนที่ ไม่เคยคิดจะสูบบุหรี่ หรือแตะต้องเหล้าเบียร์เลยสักครั้งเดียว
แต่การที่ผมชอบปลีกตัวอยู่คนเดียว ชอบหนีเรียนไปแอบหลับที่ต่างๆ มันก็ทำให้ผมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในบรรดาครูที่จัดรายชื่อเข้าตรวจฉี่
นั่นทำให้เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้รู้สึกถึงความเกลียดชังต่อบรรดาครูทุกคนในโรงเรียน
การอยู่คนเดียว การหลักเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน มันหมายความว่าผมอาจเป็นคนเสพยา อย่างงั้นหรือ ถึงได้จับผมส่งตรวจฉี่
อีกทั้ง รร มีสิทธิ์อะไรในการนำตำรวจเข้ามาเรียกตรวจฉี่นักเรียน ต่อหน้าคนทั้ง รร มันสร้างความอับอาย สร้างปมในใจให้ผมเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้น ไม่นานมันก็เกิดเป็นปมที่ทำให้ถูกคนใน รร เอามาล้อแสร้งถามเวลาเจอผม เสพจริงรึเปล่า จนท้ายที่สุด ผมก็เริ่มที่จะหยุดไป รร
ส่วนความสัมพันธ์ที่บ้านในครอบครัวก็ย่ำแย่ ทำให้ผมไม่เคยพูดอะไรให้ใครฟังเลย พอผมเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง คุณแม่ก็จะพยามมางัดประตู
ทุบประตู ทำทุกอย่างเพื่อที่จะลากผมกลับไปเรียน เมื่อถึงจุดแตกหัก ผมก็ได้หนีออกจากบ้าน ไปแอบซุกตัวนอนตามกระท่อมตามไร่นา
ตามป่าเขาอยู่หลายวัน บางวันก็ต้องดื่มน้ำคลอง บางวันก็แอบขุดมัน หักข้าวโพดดิบของชาวสวนมาประทังชีวิต พยามหลีกหนีทุกคนที่เข้าใกล้
จนในที่สุด วันนึงขณะที่นอนหลับอยู่ก็ถูกเจอตัวแล้วจับกลับมา แล้วก็ไม่เคยกลับไปเรียนอีกเลย
โรงเรียน กลายเป็นดั่งขุมนรก สำหรับผมไปแล้ว
การพูดคุย การเข้าสังคม สำหรับผม มันกลายเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเปิดประตูออกจากห้องเพื่อหาอะไรกินซะอีก
โรงเรียนบุคลากรขยะ
บ . ถ ( โรงเรียน บ้าน... )
ถ . ป . ว ( โรงเรียน วัดถ้ำ...วิทยาคม )
ประสบการณ์อันเลวร้ายในวัยเรียน
จะมีใครไหมที่เคยถูกเพื่อนร่วมชั้น ดูถูกดูแคลนและถูกนำเปรียบเทียบกับใครสักคนในห้องเดียวกัน
ในแต่ละวันที่ผ่านมา ตั้งแต่ชั้น ป 3 4 5 เวลาที่เดินแถวไปทานข้าวที่โรงอาหาร
ในสมัยนู้นคือครูจะแจกคูปองให้เด็กแต่ละครไปกินข้าว โดยจะปล่อยให้ชั้นอนุบาลไปก่อนแล้วเรียงตามลำดับชั้นมาเรื่อยๆ
พอถึงชั้นปีที่ 6 ในขณะเดินแถวแลกอาหารกลางวัน ในตอนนี้จะไม่มีครูมายืนคุม พอใกล้จะถึงคิวผม มันจะมีพวกหัวโข่งเดินมาข้างหลัง
จากนั้นมันก็จะคอยพลักผมออกจากแถวให้ไปต่อท้ายแถวใหม่เสมอ ผมมักจะเป็นคนท้ายๆ หรือสุดท้ายเสมอที่ได้แลกอาหารกลางวัน
มันเป็นการถูกกระทำ ที่ก่อให้เกิดความอัดอั้นในใจ เพราะเราตัวเล็ก ผอม ดูอ่อนปวกเปียก เลยมักเป็นเป้าหมายให้คนกลั่นแกล้งเสมอ
จนทำให้ผมกลายเป็นคนเงียบเข้ากับใครไม่ได้เลยและไม่คิดจะเข้าหาใครด้วย มองทุกๆคนเป็นดั่งสัตว์เดรฉานที่น่ารังเกียจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
และในภาคเรียนที่ 2 ในขณะที่วันนึง ผมไม่ได้ทำการบ้าน ซึ่งมันก็บ่อยแหละที่ผมไม่ได้ทำการบ้านมาส่ง แต่ในวันนั้นเอง ในวันที่ฝนตก
ผมที่ไม่ได้กินข้าวเช้า ซึ่งแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำที่ผมไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนมาโรงเรียน
เนื่องจากคุณแม่ ที่มักจะตื่นสาย และเป็นพวกเสพติดงานบ้าน ในแต่ละวันที่ต้องไปโรงเรียนก่อน 8 โมงเช้า ท่านมักจะตื่นมา ในช่วงเวลา 7.20 -7.50
ทำให้เวลามันมีไม่มากพอที่จะทำอาหาร แต่ถ้าคิดดีๆ มันก็พอจะมีเวลาอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ ด้วยระยะทางไปโรงเรียน มันแค่ 2-300 เมตรเท่านั้น
แต่คุณแม่ผมมักเลือกที่จะตื่นมา กวาดบ้าน กวาดใบไม้หน้าบ้านก่อนเสมอ คือถ้าผมไม่เรียก ไม่ขอให้ทำอาหารก่อน
ก็คงไม่มีเลยสักวันที่จะได้กินข้าวเช้า ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็มักจะกลับมาหาอะไรให้กินในเวลาไล่ๆ 8 โมงเช้าแล้ว เป็นประจำ
ทำให้ผมเลือกที่จะเดินไป รร เลยแทนที่จะอยู่รอกินข้าวแล้วไปเรียนสาย ในวันนั้นเองที่ผมไม่ได้ทำการบ้านมาส่งในคาบเช้า
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครูที่มาสอนในวันนั้นเกิดกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่า ซึ่ง ผมจะเรียกเขาคนนั้นว่า มัน ก็แล้วกัน
มันได้ทำการตะโกนเรียกชื่อผม ด้วยท่าทางที่ขึงขังและรุนแรง ปานว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตก็มิปาน ( ไอ้ทิด (ชื่อสมมุติของผม) การบ้านอยู่ไหน )
ผมก็ตกใจเนาะ ก็เลยไม่ได้ตอบมันไปด้วยความกลัว พอผมไม่ตอบและนิ่งเงียบสักพัก ทันใดนั้นเอง มันก็ไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมาให้ออกจากห้องเรียนแล้วไปนั่งเรียนกับชั้น ป.5 แทน ทั้งๆที่ผมอยู่ ป.6 (กลับไปอยู่ ป.5เลย ไป๊.....) ท่ามกลางเพื่อนร่วมห้องที่เงียบสงัด ผมก็ต้องลุกขึ้น เก็บกระเป๋าเก็บข้าวของ แล้วเดินย้อนกลับไป แล้วไปนั่งในชั้น ป.5 โดยที่ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเลยสักนิด ซึ่งในเวลานั้น ครูชั้น ป.5 ไม่อยู่ด้วย
และในเวลาไม่นานนัก ด้วยความที่ผม รีบมา รร โดยไม่ได้กินข้าวเช้า คุณแม่ก็ได้ทำข้าวกล่อง แล้วนำมาให้ที่หน้าห้องเรียน
พอผมเห็นท่าน ผมก็เดินออกไปรับข้าวกล่อง เมื่อแม่ผมเห็นผมเดินออกมาจากห้อง ป.5 ท่านก็ถามทำไมไปอยู่ในห้อง ป.5 ล่ะ
ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน ก็ได้แต่บอกว่า ไปหาเพื่อนเนาะ และผมก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเดินกลับเข้าห้อง ป.5 ไป
ในวันนั้น มันคือวันที่ ความเคียดแค้นที่มีต่อไอ้ครูคนนั้นได้ฝังลึกเข้าไปในจิตวิญญานเลยทีเดียว จนถึงวันนี้ ก็ยังรู้สึกเกลียดมันทุกครั้งที่ได้เจอ
เมื่อเรียนจบและเข้าสู่ชั้นมัธยมในโรงเรียนใหม่ สิ่งต่างๆที่เจอมาใน รร เก่าชั้นประถม มันได้เปลี่ยนบุคลิกผมไปตลอดกาล ผมกลายเป็นคนที่ชอบเก็บตัว
และชอบอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนๆ บางวันก็หนีเรียนไปแอบหลับ แอบนอนในที่เงียบๆ ห่างไกลผู้คนเป็นประจำ จนมาถึงชั้นมัธยมปีที่ 2
จู่ๆวันนึง หน้าเสาธงช่วงเวลาเคารพธงชาติ บรรดาครูก็ได้ประกาศว่า วันนี้จะมีการตรวจฉี่ พวกเขาได้นำตำรวจมากมายมาคุมเพื่อที่จะเรียกตัวนักเรียนที่น่าสงสัยมาตรวจ ซึ่ง มันก็มีชื่อผมอยู่ในนั้น แม้ผมจะเป็นคนที่ ไม่เคยคิดจะสูบบุหรี่ หรือแตะต้องเหล้าเบียร์เลยสักครั้งเดียว
แต่การที่ผมชอบปลีกตัวอยู่คนเดียว ชอบหนีเรียนไปแอบหลับที่ต่างๆ มันก็ทำให้ผมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในบรรดาครูที่จัดรายชื่อเข้าตรวจฉี่
นั่นทำให้เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้รู้สึกถึงความเกลียดชังต่อบรรดาครูทุกคนในโรงเรียน
การอยู่คนเดียว การหลักเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน มันหมายความว่าผมอาจเป็นคนเสพยา อย่างงั้นหรือ ถึงได้จับผมส่งตรวจฉี่
อีกทั้ง รร มีสิทธิ์อะไรในการนำตำรวจเข้ามาเรียกตรวจฉี่นักเรียน ต่อหน้าคนทั้ง รร มันสร้างความอับอาย สร้างปมในใจให้ผมเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้น ไม่นานมันก็เกิดเป็นปมที่ทำให้ถูกคนใน รร เอามาล้อแสร้งถามเวลาเจอผม เสพจริงรึเปล่า จนท้ายที่สุด ผมก็เริ่มที่จะหยุดไป รร
ส่วนความสัมพันธ์ที่บ้านในครอบครัวก็ย่ำแย่ ทำให้ผมไม่เคยพูดอะไรให้ใครฟังเลย พอผมเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง คุณแม่ก็จะพยามมางัดประตู
ทุบประตู ทำทุกอย่างเพื่อที่จะลากผมกลับไปเรียน เมื่อถึงจุดแตกหัก ผมก็ได้หนีออกจากบ้าน ไปแอบซุกตัวนอนตามกระท่อมตามไร่นา
ตามป่าเขาอยู่หลายวัน บางวันก็ต้องดื่มน้ำคลอง บางวันก็แอบขุดมัน หักข้าวโพดดิบของชาวสวนมาประทังชีวิต พยามหลีกหนีทุกคนที่เข้าใกล้
จนในที่สุด วันนึงขณะที่นอนหลับอยู่ก็ถูกเจอตัวแล้วจับกลับมา แล้วก็ไม่เคยกลับไปเรียนอีกเลย
โรงเรียน กลายเป็นดั่งขุมนรก สำหรับผมไปแล้ว
การพูดคุย การเข้าสังคม สำหรับผม มันกลายเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเปิดประตูออกจากห้องเพื่อหาอะไรกินซะอีก
โรงเรียนบุคลากรขยะ
บ . ถ ( โรงเรียน บ้าน... )
ถ . ป . ว ( โรงเรียน วัดถ้ำ...วิทยาคม )