คอนโดประเภทการันตีค่าเช่า เช่น 6,7%ต่อปี
คอนโดแบบนี้ ส่วนใหญ่ เขาจะบวกราคาเข้าไปเรียบร้อยแล้วครับ เท่ากับว่าเขาเอาราคาที่บวกนี้ มาทยอยคืนให้ผู้ซื้อ โดยระหว่างนั้นอาจจะไม่มีผู้เช่าเลย หรือปล่อยเช่าในราคาที่ถูกมากๆ ยังไง developer ก็ได้กำไรอยู่ดี
ที่นี้ลองคิดตามดูนะครับว่า เมื่อพ้นจากระยะการันตีค่าเช่า คุณอาจมีทางเลือก 2 ทางคือ
1.ให้เขาทำปล่อยเช่าให้ต่อไป โดยแบ่งค่าเช่ากัน
2.คุณปล่อยเช่าเอง
แต่ในเมื่อคอนโดที่คุณซื้อ ราคาแพงกว่าราคาตลาด,แพงกว่าคู่แข่ง
แปลว่าคุณจะต้องปล่อยเช่าในราคาพอๆกับคนอื่น(เพื่อให้แข่งขันได้)แต่ต้นทุนคุณสูงกว่า
ดังนั้น ผลตอบแทนที่ได้(yield)ก็จะต่ำกว่าโดยอัตโนมัติ
ในขณะที่ เมื่อวันหนึ่งที่คุณต้องการขาย
คุณก็จะขายยากกว่าคนอื่น เพราะต้นทุนคุณแพงกว่า
สำหรับคนที่ต้องการ passive income แบบตรงไปตรงมา วิธีที่ผมแนะนำคือ ให้ซื้อพร้อมผู้เช่าครับ เป็นเหมือนกับไพ่ที่ถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว เพราะคุณจะรู้เลยว่า คอนโดนี้ ห้องอื่นๆปล่อยเช่าได้เฉลี่ยอยู่ที่เท่าไร,occupancy(เปอร์เซนต์ห้องที่ปล่อยเช่าได้)เป็นยังไง,ได้ yield แบบแท้ๆ กี่%,สัญญาเช่าเป็นยังไง,ผู้เช่าเป็นใคร ทำงานอะไร มีแนวโน้มจะอยู่ต่ออีกนานแค่ไหน
ยกตัวอย่างจากตัวผมเอง
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมประกาศขายพร้อมผู้เช่า โดยห้องนี้มีผู้เช่าเป็นนักศึกษาพระจอมเกล้าธนบุรี ปี 1 เป็นผู้หญิงอยู่กัน2คน ค่าเช่ารับสุทธิอยู่ที่ 6,700 บาท(ผู้เช่าจ่ายค่าส่วนกลางเอง เดือนละ 600)
ขายไปในราคา 1,080,000
เท่ากับได้ yield อยู่ที่ 7.44%
คนซื้อผ่อนเดือนละ 5,500 บาท
เท่ากับ cash flow เป็นบวก โดยไม่ต้องทำอะไรเลยเดือนละ 1,200 บาท
แต่ไม่ใช่แค่นั้นครับ เพราะยอดผ่อน 5,500 นั้น ส่วนที่จ่ายจริง คือดอกเบี้ย แค่ 2,700(ส่วนที่เหลือเป็นเงินต้น ซึ่งก็คือเงินที่เราทยอยออมให้ตัวเอง ไม่ใช่ต้นทุนค่าใช้จ่าย)
แปลว่าในแต่ละเดือนลงทุนจริงๆแค่ 2,700 รับ 6,700 ได้กำไร 4,000(148% ทุกเดือน)
ทีนี้ถามว่า ในเมื่อผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าดีขนาดนี้ แล้วทำไมผมไม่เก็บไว้เอง
คำตอบคือ ผมเก็บไว้เองมาหลายปีแล้วครับ
และอยากซื้อเพิ่ม แต่วงเงินในการกู้ผมเต็ม
ผมจึงจำเป็นต้องขายของเก่าออก เพื่อจะได้มีเงินมาซื้อของใหม่ หมุนไปเรื่อยๆ
เท่ากับว่า win-win ทั้งคู่
ปัจจุบัน คอนโดทุกห้องของผม มีคนเช่าเต็ม
ยังคิดอยู่เลย ว่าอาจจะขายเพิ่มอีกสักห้อง555
ปล.แก้ไขคำผิดครับ
คำแนะนำสำหรับคอนโดประเภทการันตีค่าเช่า
คอนโดแบบนี้ ส่วนใหญ่ เขาจะบวกราคาเข้าไปเรียบร้อยแล้วครับ เท่ากับว่าเขาเอาราคาที่บวกนี้ มาทยอยคืนให้ผู้ซื้อ โดยระหว่างนั้นอาจจะไม่มีผู้เช่าเลย หรือปล่อยเช่าในราคาที่ถูกมากๆ ยังไง developer ก็ได้กำไรอยู่ดี
ที่นี้ลองคิดตามดูนะครับว่า เมื่อพ้นจากระยะการันตีค่าเช่า คุณอาจมีทางเลือก 2 ทางคือ
1.ให้เขาทำปล่อยเช่าให้ต่อไป โดยแบ่งค่าเช่ากัน
2.คุณปล่อยเช่าเอง
แต่ในเมื่อคอนโดที่คุณซื้อ ราคาแพงกว่าราคาตลาด,แพงกว่าคู่แข่ง
แปลว่าคุณจะต้องปล่อยเช่าในราคาพอๆกับคนอื่น(เพื่อให้แข่งขันได้)แต่ต้นทุนคุณสูงกว่า
ดังนั้น ผลตอบแทนที่ได้(yield)ก็จะต่ำกว่าโดยอัตโนมัติ
ในขณะที่ เมื่อวันหนึ่งที่คุณต้องการขาย
คุณก็จะขายยากกว่าคนอื่น เพราะต้นทุนคุณแพงกว่า
สำหรับคนที่ต้องการ passive income แบบตรงไปตรงมา วิธีที่ผมแนะนำคือ ให้ซื้อพร้อมผู้เช่าครับ เป็นเหมือนกับไพ่ที่ถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว เพราะคุณจะรู้เลยว่า คอนโดนี้ ห้องอื่นๆปล่อยเช่าได้เฉลี่ยอยู่ที่เท่าไร,occupancy(เปอร์เซนต์ห้องที่ปล่อยเช่าได้)เป็นยังไง,ได้ yield แบบแท้ๆ กี่%,สัญญาเช่าเป็นยังไง,ผู้เช่าเป็นใคร ทำงานอะไร มีแนวโน้มจะอยู่ต่ออีกนานแค่ไหน
ยกตัวอย่างจากตัวผมเอง
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมประกาศขายพร้อมผู้เช่า โดยห้องนี้มีผู้เช่าเป็นนักศึกษาพระจอมเกล้าธนบุรี ปี 1 เป็นผู้หญิงอยู่กัน2คน ค่าเช่ารับสุทธิอยู่ที่ 6,700 บาท(ผู้เช่าจ่ายค่าส่วนกลางเอง เดือนละ 600)
ขายไปในราคา 1,080,000
เท่ากับได้ yield อยู่ที่ 7.44%
คนซื้อผ่อนเดือนละ 5,500 บาท
เท่ากับ cash flow เป็นบวก โดยไม่ต้องทำอะไรเลยเดือนละ 1,200 บาท
แต่ไม่ใช่แค่นั้นครับ เพราะยอดผ่อน 5,500 นั้น ส่วนที่จ่ายจริง คือดอกเบี้ย แค่ 2,700(ส่วนที่เหลือเป็นเงินต้น ซึ่งก็คือเงินที่เราทยอยออมให้ตัวเอง ไม่ใช่ต้นทุนค่าใช้จ่าย)
แปลว่าในแต่ละเดือนลงทุนจริงๆแค่ 2,700 รับ 6,700 ได้กำไร 4,000(148% ทุกเดือน)
ทีนี้ถามว่า ในเมื่อผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าดีขนาดนี้ แล้วทำไมผมไม่เก็บไว้เอง
คำตอบคือ ผมเก็บไว้เองมาหลายปีแล้วครับ
และอยากซื้อเพิ่ม แต่วงเงินในการกู้ผมเต็ม
ผมจึงจำเป็นต้องขายของเก่าออก เพื่อจะได้มีเงินมาซื้อของใหม่ หมุนไปเรื่อยๆ
เท่ากับว่า win-win ทั้งคู่
ปัจจุบัน คอนโดทุกห้องของผม มีคนเช่าเต็ม
ยังคิดอยู่เลย ว่าอาจจะขายเพิ่มอีกสักห้อง555
ปล.แก้ไขคำผิดครับ