sex education เป็นซีรีย์ที่มีจังหวะจะโคนในการเล่าที่เฉพาะตัวมากๆ มันแตกต่างจากซีรีย์วัยรุ่นไฮสคูลทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการชูประเด็นเรื่อง sex ที่ควรสามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย ,ความหลากหลายทางเพศ รวมไปถึงมุกสัปดน(bad joke) ภายในเรื่อง ที่ผมจัดให้อยู่ในระดับน้องๆ americanpie ซึ่งสุดท้ายก็เดินทางมาถึง ss4 ซึ่งเป็นบทสรุปของทุกตัวละครและทุกความสัมพันธ์ บอกตามตรงว่าค่อนข้างใจหาย แต่ก็ดีใจที่ไม่ต้องค้างเติ่งเหมือนที่เรารู้สึกใน ss1-2-3 ที่จบแต่ละทีผมแทบจะลงแดง สำหรับวันนี้ผมจะพูดเฉพาะ ss4 เป็นหลักละกัน
ประเด็นเรื่องความ woke |
กลุ่มตัวละครหลักได้ย้ายไปอยู่ cavendish college เป็นโรงเรียนที่อยู่ในทุ่งราเวนเดอร์ ที่ทุกคนไม่นินทากัน เคารพในตัวตนของอีกฝ่าย มองโลกในแง่ดี มีความหลากหลายทางเพศอย่างเปิดเผย ทั้งคนทื่เกย์ A-sexual, trans โรงเรียนมองนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีห้องนันทนาการมากมาย และหลังจากได้เห็นสิ่งเหล่านี้หลายคนคงคิดว่า
"มันดูโลกสวย ดูเกินจริง ดูดัดจริDจังฟะ" มันคงไม่มีโรงเรียนแบบนี้อยู่จริงๆซึ่งก็ถูกแล้ว แต่ความเจ๋งคือ sex education เป็นซีรีย์ที่ "รู้" ว่าตัวเองกำลังทำอะไร สิ่งที่เราคิดว่ามัน woke? โลกสวยไปป่าว? นั้นเป็นสิ่งที่ผกกได้คาดการณ์ไว้แล้ว และได้แสดงมุมมองต่อเรื่องนี้ ผ่านตัวละคร รูบี้ ที่ได้ขึ้นไปพูดในคืนงานระดมทุน ep8 "เธอไม่คิดว่าจะมีคนที่มองโลกในแง่ดี เห็นใจเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าร้ายคนอื่น จะมีอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เห็นคือความเสเเสร้ง และเมื่ออยู่ไปนานๆเข้า ถึงได้เข้าใจว่า ทุกคนก็ไม่สามารถเป็นคนแบบนั้นได้ 100% แต่ทุกคนก็พยายามทำเพื่อให้โลกนี้มันน่าอยู่มากขึ้น" ถือเป็นข้อความที่ซีรีย์ใช้บอกผู้คนที่รับชม ที่ทัชใจผมมาก
นอกจากนี้ยังเล่าถึงผลเสียถ้าเรามองโลกแง่ดีเกินไปด้วย เหมือนที่ตัวละครแอบบี้เป็น ที่พยายามพูดและคิดแต่เรื่องดีๆ แต่การไม่พูดไม่ใช่ว่าปัญหาจะหายไปมันจะยังคงอยู่และกัดกินเราและคนรอบข้างจากภายใน อย่างที่โอบอก " การที่คิดในแง่ดีมากเกินไปก็อาจจะ toxic ได้" อีกประเด็นที่หนังหยอดเข้ามาตั้งแต่ ep แรกๆ คือเรื่อง "ลิฟต์" ที่ซีรีย์เลือกสื่อได้แบบโคตระจะเห็นภาพ โรงเรียนให้ความสำคัญและสวัดิการนักเรียนมากมาย แต่กับไม่ให้ความสำคัญกับนักเรียนที่พิการ ซึ่งมันควรเป็นเรื่องพื้นฐาน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเรียกร้องเพื่อให้ได้มันมา โดยรวมเลยคิดว่า มันไม่ได้เป็นการยัดเยียดเลยแม้แต่น้อย แค่เป็นประเด็นที่ ss4 อยากนำเสนอก็เท่านั้น ความ woke ไม่ใช่เรื่องแย่ แค่ทำให้เหมาะสมก็พอ
การดำเนินเรื่อง |
ภาคนี้มีจังหวะการเล่าที่แตกต่างจาก ss ก่อนๆค่อนข้างมาก มีความสุขุมเรียบง่าย ไม่หวือหวา ความสัปดนก็ยังมีอยู่แต่ก็น้อยลง เมื่อก่อนจะโฟกัสโอทิสเป็นหลัก แต่ภาคนี้ดูเหมือนพยายามจะกระจายบทให้ตัวละครอื่นเกือบจะเท่าๆกัน จึงเป็นเหตุผลที่หลายๆคนชอบภาคนี้น้อยที่สุดในทั้ง 4 ซีซั่นและอาจจะเป็นสิ่งที่พลาดด้วย เพราะบางตัวละครก็ไม่ได้เเข็งแรงขนาดที่จะตรึงคนดูให้อยากตามเรื่องของเขาไป 2-3 ep ได้ เช่น พาร์ทของคาล ที่รับรู้เรื่องราวแต่ดูแล้วไม่อิน นี่ให้เป็นพาร์ทที่น่าเบื่อที่สุดเลย(ละดันเป็นพาร์ทที่เล่าเยอะซะด้วย) หรือพาร์ทเรื่องเนื้องอกของแจ็กสัน ที่เข้าใจว่าจะปูไปเรื่องพ่อของแจ็คสัน แต่ก็วนอยู่แค่เรื่องไข่ซะนานจนน่าเบื่อทั้งที่มันกระชับกว่านี้ได้ เมื่อเลือกที่จะเล่าหลายตัวละคร อีกจุดที่ยากคือการปูเรื่องราวและทำให้คนอยากติดตามรูทของตัวละครนั้นๆ(โดยเฉพาะตัวละครผู้ใหญ่ภายในเรื่อง เช่น พ่อของอดัม น้าของโอทิส ที่ช่วงๆแรกเบื่อพาร์ทของสองคนนี้มาก กว่าจะจูนติดก็อีพีท้ายๆแล้ว)
ใน ep แรกๆเราจะยังเห็นความเป็น "sex education" แบบที่หลายๆคนคิดถึง ทั้งความฮาต่างๆ แต่ช่วงกลางถึงท้ายเดินเรื่องค่อนข้างช้า จนเกือบจะเอื้อย ตั้งแต่งานศพแม่เมฟไปจนจบเรื่อง อย่างที่บอกว่าซีรีย์เลือกที่เล่าเรื่องแต่ละคนเป็นรูทๆไป ทำให้เนื้อเรื่องบางตัวละคร(อดัม)แทบจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวละครหลักตัวอื่นเลย ซึ่งอยากให้มันมีความเกี่ยวเนื่องมากกว่าแค่มาเจอเพื่อนเก่าที่งานศพเเม่เมฟ ส่วนอีพีสุดท้ายจบด้วยการที่เมฟไปเรียนต่อที่เมกา ชอบเพราะมันก็เรียลดีแหละ แต่ตอนจบแอบเหงาๆเคว้งๆไปหน่อย อยากให้จบด้วยความสนุกสนานเฮฮามากกว่า ถ้าให้ดีอยากให้ตัวละครเก่าโผล่มาให้หายคิดถึง แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ได้ทำให้ผม รู้สึกว่ามันเป็นซีรีส์ที่ห่วยหรือจืดแบบที่หลายๆคนพูดกัน แค่ซีซั่นนี้มีเรื่องที่อยากจะเล่าและสไตล์เป็นของตัวเอง เล่าถึงการค้นหาเป้าหมายชีวิต หรือการก้าวข้ามผ่านเรื่องฝังใจของแต่ละคน ค้นหาตัวตนที่แท้จริง ที่ทำออกมาได้ดี
ตัวละคร |
ตัวละครใหม่อย่างแอ็บบี้ที่เป็นสาวทรานและชาวคณะ ช่วยสร้างสีสันในเรื่องได้ดีมากๆ อย่างที่บอก first Imprestion คือรู้สึกว่ามันปลอม เฟครึปล่าว ไม่ใช่ลับหลังแอบไปเป็นตัวแม่ร้ายๆ แต่นั้นแหละซีรีย์คิดมาแล้วว่าเราต้องรู้สึกยังไงและมาตบหน้าเราในตอนสุดท้ายถึงความ woke และมองโลกในแง่ดีที่ากเกินไป สังเกตหลายๆรูทของตัวละครหลักแรกๆมักจะเล่าหน้าเบื่อมากๆแต่โชคดีที่ตอนจบขมวดปมและจบได้ดี แต่ถ้าใครที่อดทนได้ไม่นานก็คงเทไปแล้ว เช่นพาร์ทของเอริค ที่ขัดใจสุดคือมีพระเจ้าลงมาชี้ทาง? และเหมือนจะไม่ใช่แค่ภาพนิมิตรด้วย ซึ่งไอเรื่องอภินิหารหรือพระเจ้าเนี่ย ดูไม่เข้ากับบริบทหนังเท่าไหร่เลย บทของรูบี้ ก็เป็นตัวละครที่มีวิวัฒนาการชัดเจน ถ้าเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ซีซั่นหนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีแหละ แต่ส่วนตัวชอบรู้บี้แบบเฟียสๆตัวแม่มากกว่า ภาคนี้ดูเป็นคนจืดจางดูน่าสงสารมาก เข้าใจว่าจะเล่นปมวัยเด็ก แต่ก็ไม่ต้องให้นางไม่มีเพื่อนคบ เอาแต่เดินตามโอทิสต้อยๆก็ได้มั้ย ไม่รู้ว่านักแสดงติดถ่ายหนังอะไรอยู่รึปล่าวเพราะดูผอมมาก จนเหมือนคนมีอายุ รวมเลยเป็นตัวละครที่ดูดรอปลง ถึงแม้จะมีซีนเท่ๆและรืเป็นของตัวเองก็ตาม
[SEX EDUCATION SS4] เมื่อซีรีย์อยากจะwoke ยัดตัวละครกับโรงเรียนในทุ่งลาเวนเดอร์? | บ่นซีรีย์(สปอยนะจ๊ะ)
ประเด็นเรื่องความ woke |
กลุ่มตัวละครหลักได้ย้ายไปอยู่ cavendish college เป็นโรงเรียนที่อยู่ในทุ่งราเวนเดอร์ ที่ทุกคนไม่นินทากัน เคารพในตัวตนของอีกฝ่าย มองโลกในแง่ดี มีความหลากหลายทางเพศอย่างเปิดเผย ทั้งคนทื่เกย์ A-sexual, trans โรงเรียนมองนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีห้องนันทนาการมากมาย และหลังจากได้เห็นสิ่งเหล่านี้หลายคนคงคิดว่า "มันดูโลกสวย ดูเกินจริง ดูดัดจริDจังฟะ" มันคงไม่มีโรงเรียนแบบนี้อยู่จริงๆซึ่งก็ถูกแล้ว แต่ความเจ๋งคือ sex education เป็นซีรีย์ที่ "รู้" ว่าตัวเองกำลังทำอะไร สิ่งที่เราคิดว่ามัน woke? โลกสวยไปป่าว? นั้นเป็นสิ่งที่ผกกได้คาดการณ์ไว้แล้ว และได้แสดงมุมมองต่อเรื่องนี้ ผ่านตัวละคร รูบี้ ที่ได้ขึ้นไปพูดในคืนงานระดมทุน ep8 "เธอไม่คิดว่าจะมีคนที่มองโลกในแง่ดี เห็นใจเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าร้ายคนอื่น จะมีอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เห็นคือความเสเเสร้ง และเมื่ออยู่ไปนานๆเข้า ถึงได้เข้าใจว่า ทุกคนก็ไม่สามารถเป็นคนแบบนั้นได้ 100% แต่ทุกคนก็พยายามทำเพื่อให้โลกนี้มันน่าอยู่มากขึ้น" ถือเป็นข้อความที่ซีรีย์ใช้บอกผู้คนที่รับชม ที่ทัชใจผมมาก
นอกจากนี้ยังเล่าถึงผลเสียถ้าเรามองโลกแง่ดีเกินไปด้วย เหมือนที่ตัวละครแอบบี้เป็น ที่พยายามพูดและคิดแต่เรื่องดีๆ แต่การไม่พูดไม่ใช่ว่าปัญหาจะหายไปมันจะยังคงอยู่และกัดกินเราและคนรอบข้างจากภายใน อย่างที่โอบอก " การที่คิดในแง่ดีมากเกินไปก็อาจจะ toxic ได้" อีกประเด็นที่หนังหยอดเข้ามาตั้งแต่ ep แรกๆ คือเรื่อง "ลิฟต์" ที่ซีรีย์เลือกสื่อได้แบบโคตระจะเห็นภาพ โรงเรียนให้ความสำคัญและสวัดิการนักเรียนมากมาย แต่กับไม่ให้ความสำคัญกับนักเรียนที่พิการ ซึ่งมันควรเป็นเรื่องพื้นฐาน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเรียกร้องเพื่อให้ได้มันมา โดยรวมเลยคิดว่า มันไม่ได้เป็นการยัดเยียดเลยแม้แต่น้อย แค่เป็นประเด็นที่ ss4 อยากนำเสนอก็เท่านั้น ความ woke ไม่ใช่เรื่องแย่ แค่ทำให้เหมาะสมก็พอ
การดำเนินเรื่อง |
ภาคนี้มีจังหวะการเล่าที่แตกต่างจาก ss ก่อนๆค่อนข้างมาก มีความสุขุมเรียบง่าย ไม่หวือหวา ความสัปดนก็ยังมีอยู่แต่ก็น้อยลง เมื่อก่อนจะโฟกัสโอทิสเป็นหลัก แต่ภาคนี้ดูเหมือนพยายามจะกระจายบทให้ตัวละครอื่นเกือบจะเท่าๆกัน จึงเป็นเหตุผลที่หลายๆคนชอบภาคนี้น้อยที่สุดในทั้ง 4 ซีซั่นและอาจจะเป็นสิ่งที่พลาดด้วย เพราะบางตัวละครก็ไม่ได้เเข็งแรงขนาดที่จะตรึงคนดูให้อยากตามเรื่องของเขาไป 2-3 ep ได้ เช่น พาร์ทของคาล ที่รับรู้เรื่องราวแต่ดูแล้วไม่อิน นี่ให้เป็นพาร์ทที่น่าเบื่อที่สุดเลย(ละดันเป็นพาร์ทที่เล่าเยอะซะด้วย) หรือพาร์ทเรื่องเนื้องอกของแจ็กสัน ที่เข้าใจว่าจะปูไปเรื่องพ่อของแจ็คสัน แต่ก็วนอยู่แค่เรื่องไข่ซะนานจนน่าเบื่อทั้งที่มันกระชับกว่านี้ได้ เมื่อเลือกที่จะเล่าหลายตัวละคร อีกจุดที่ยากคือการปูเรื่องราวและทำให้คนอยากติดตามรูทของตัวละครนั้นๆ(โดยเฉพาะตัวละครผู้ใหญ่ภายในเรื่อง เช่น พ่อของอดัม น้าของโอทิส ที่ช่วงๆแรกเบื่อพาร์ทของสองคนนี้มาก กว่าจะจูนติดก็อีพีท้ายๆแล้ว)
ใน ep แรกๆเราจะยังเห็นความเป็น "sex education" แบบที่หลายๆคนคิดถึง ทั้งความฮาต่างๆ แต่ช่วงกลางถึงท้ายเดินเรื่องค่อนข้างช้า จนเกือบจะเอื้อย ตั้งแต่งานศพแม่เมฟไปจนจบเรื่อง อย่างที่บอกว่าซีรีย์เลือกที่เล่าเรื่องแต่ละคนเป็นรูทๆไป ทำให้เนื้อเรื่องบางตัวละคร(อดัม)แทบจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวละครหลักตัวอื่นเลย ซึ่งอยากให้มันมีความเกี่ยวเนื่องมากกว่าแค่มาเจอเพื่อนเก่าที่งานศพเเม่เมฟ ส่วนอีพีสุดท้ายจบด้วยการที่เมฟไปเรียนต่อที่เมกา ชอบเพราะมันก็เรียลดีแหละ แต่ตอนจบแอบเหงาๆเคว้งๆไปหน่อย อยากให้จบด้วยความสนุกสนานเฮฮามากกว่า ถ้าให้ดีอยากให้ตัวละครเก่าโผล่มาให้หายคิดถึง แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ได้ทำให้ผม รู้สึกว่ามันเป็นซีรีส์ที่ห่วยหรือจืดแบบที่หลายๆคนพูดกัน แค่ซีซั่นนี้มีเรื่องที่อยากจะเล่าและสไตล์เป็นของตัวเอง เล่าถึงการค้นหาเป้าหมายชีวิต หรือการก้าวข้ามผ่านเรื่องฝังใจของแต่ละคน ค้นหาตัวตนที่แท้จริง ที่ทำออกมาได้ดี
ตัวละคร |
ตัวละครใหม่อย่างแอ็บบี้ที่เป็นสาวทรานและชาวคณะ ช่วยสร้างสีสันในเรื่องได้ดีมากๆ อย่างที่บอก first Imprestion คือรู้สึกว่ามันปลอม เฟครึปล่าว ไม่ใช่ลับหลังแอบไปเป็นตัวแม่ร้ายๆ แต่นั้นแหละซีรีย์คิดมาแล้วว่าเราต้องรู้สึกยังไงและมาตบหน้าเราในตอนสุดท้ายถึงความ woke และมองโลกในแง่ดีที่ากเกินไป สังเกตหลายๆรูทของตัวละครหลักแรกๆมักจะเล่าหน้าเบื่อมากๆแต่โชคดีที่ตอนจบขมวดปมและจบได้ดี แต่ถ้าใครที่อดทนได้ไม่นานก็คงเทไปแล้ว เช่นพาร์ทของเอริค ที่ขัดใจสุดคือมีพระเจ้าลงมาชี้ทาง? และเหมือนจะไม่ใช่แค่ภาพนิมิตรด้วย ซึ่งไอเรื่องอภินิหารหรือพระเจ้าเนี่ย ดูไม่เข้ากับบริบทหนังเท่าไหร่เลย บทของรูบี้ ก็เป็นตัวละครที่มีวิวัฒนาการชัดเจน ถ้าเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ซีซั่นหนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีแหละ แต่ส่วนตัวชอบรู้บี้แบบเฟียสๆตัวแม่มากกว่า ภาคนี้ดูเป็นคนจืดจางดูน่าสงสารมาก เข้าใจว่าจะเล่นปมวัยเด็ก แต่ก็ไม่ต้องให้นางไม่มีเพื่อนคบ เอาแต่เดินตามโอทิสต้อยๆก็ได้มั้ย ไม่รู้ว่านักแสดงติดถ่ายหนังอะไรอยู่รึปล่าวเพราะดูผอมมาก จนเหมือนคนมีอายุ รวมเลยเป็นตัวละครที่ดูดรอปลง ถึงแม้จะมีซีนเท่ๆและรืเป็นของตัวเองก็ตาม