ผมเป็นลูกที่แย่มากไหมครับ ที่ไม่อยากทำกิจการของครอบครัว (ยาว)

ขออนุญาตไม่ให้แชร์กระทู้นี้ต่อไปใน platform อื่นๆนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ ขออภัยด้วยที่เนื้อหายาวมาก ๆ ครับ จากกระทู้ถาม กลายเป็นเล่าเกริ่นซะไกล ถือซะว่าผมขอโอกาสระบายนะครับขี้แง
ครจะแสดงความเห็นว่ายังไง ตามสบายเลยนะครับ ผมจะขออ่านเงียบๆและไม่แย้งอะไรครับ นอกเสียจากเป็นการถามคำถามเพิ่มเติมครับ

ถ้าอยากอ่านเรื่องราวเกริ่นนำตั้งแต่ต้น กดอ่านในสปอยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

- ผมหางานทำในกทม. ไม่ถึงเดือนก็ได้งานตำแหน่ง customer service ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อีกหนึ่งด้านที่ผมสนใจครับ ซึ่งผมค่อนข้างโอเคกับงานนี้มาก มีบางจุดที่ไม่ชอบ แต่ก็ยังไปต่อได้เรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นงานที่ท้าทาย และสนุกกับการใช้ความสามารถของตนเองครับ 

- ผมทำงานในกทม. บริษัทข้างต้นได้ ปีครึ่ง ผมก็ได้รับข่าวร้ายว่า แม่แท้ ๆ ผม (อายุ 52ปี) เป็นมะเร็งระยะที่ 2 ต้องการให้ลาออกจากงาน มาช่วยดูกิจการระหว่างแม่รักษาตัว ผมก็ลาออกแต่โดยดีครับ กลับมาช่วยดูแลร้านขายโทรศัพท์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้าน ช่วงที่ผมกลับมาดูแลร้านเกือบ 1 ปี
       - ผมเปลี่ยนและพัฒนาระบบในร้านหลายอย่าง จากงานกระดาษเป็นการใช้เทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ในร้าน
       - ใช้ระบบสต็อก หรือระบบที่สามารถช่วยให้ตรวจสอบยอดขายได้แบบ real time ลดโอกาสที่พนักงานในร้านจะทุจริต 
       - ผมใช้ความรู้จากงานร้านค้าปลีกที่เคยทำที่สิงคโปร์  ทำให้โดยรวมงานในร้านเป็นสัดเป็นส่วนและอ้างอิงข้อมูลได้มากขึ้น
       - ผมสามารถซ่อมมือถือที่เกิดปัญหาจากตัวซอฟต์แวร์ได้ 

- จนแม่แท้ๆผมหายจากมะเร็ง เริ่มกลับมาแข็งแรง แม่เริ่มพูดเรื่องอยากให้ผมทำกิจการนี้ต่อ ผมก็เครียดไม่กล้าตอบแม่ตรงๆ เพราะรู้ว่าตอบไปแม่ก็จะเครียด และส่งผลต่อโรคมะเร็งอาจจะกลับมาอีก แต่สุดท้ายแม่ก็คุยทักถึงเรื่องนี้บ่อยเรื่อยๆ จนผมต้องตอบไปว่า ไม่ชอบเนื่องด้วยอะไรหลายๆอย่าง เช่นบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าผมไม่สบายใจที่จะทำมัน เพราะไม่เป็นธรรมกับลูกค้า  ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ครับ เพราะพ่อเลี้ยงผมเป็นคนกำหนด และแม่แท้ๆผมจะไม่ขัดและยอมพ่อเลี้ยงอยู่เสมอ ไหนจะต้องซิกแซกเรื่องภาษี  อีกทั้งงานในร้านผมจะไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลด้านภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ที่ผมถนัดและชอบเลย มันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเรียนศึกษามาแต่เด็กสุดท้ายถ้าไม่ได้ใช้ มันก็จะค่อยๆหายไป (ไหนจะเรื่องที่ต้องเข้าหาคนใหญ่ คนโต เอากระเช้าไปสวัสดี ไปให้เพื่อพึ่งบารมี ซึ่งผมไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดกับแม่ในจุดนี้ไป)

- เวลาผ่านไปแม่ยิ่งกดดันผมเข้าไปอีก ด้วยการกู้เงินก้อนใหญ่และตัดสินใจซื้อที่ใหม่ (ตัดสินใจกันเองกับพ่อเลี้ยง) และจะขยายสาขา โดยที่ไม่เคยเล่าให้ผมฟังก่อนเลยว่าจะซื้อ แค่เล่าว่าไปตระเวนดูที่เฉยๆ และบอกผมว่าตอนนี้ต้องช่วยกันสู้แล้วนะ จะให้ผมไปดูแลกิจการร้านโทรศัพท์สาขาใหม่ เขาจะเป็นคนส่งเงินกู้ธนาคารเอง จนกระทั่งกิจการที่นั่นรุ่งเรือง จะยกกิจการสาขานั้นให้ผมและผมเป็นคนส่งเงินกู้ต่อ
และพูดต่อว่าถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ผมจะต้องทำงานในร้านเป็นทุกอย่าง จะได้ประหยัดเรื่องจ้างพนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งส่วนที่ผมทำไม่ได้ เช่น
- การซ่อมเครื่องแบบฮาร์ดแวร์ที่ต้องมีการแกะอะไหล่แกะเครื่อง ผมต้องเรียนใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งผมไม่ชอบงานลักษณะนี้
- การขับรถกระบะเกียร์ manual ไปส่งของ ผมไปเรียนขับมาแล้วแต่ก็ขับไม่ได้ เพราะกลัวเนื่องจากฝังใจตอนเกือบเกิดอุบัติเหตุตอนเรียนขับ (ผมขับได้แต่รถเกียร์ auto)  ผมบอกแม่ไป แม่ก็บอกว่าผมเป็นคนไม่สู้งาน

- ผมบอกแม่ว่า ตอนนี้ผมชอบทำงานที่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจงแบบลูกจ้าง ผมอายุ 29 ปี ยังอยากทำงานในสายที่ผมชอบอยู่ เงินเดือนไม่เยอะแบบเจ้าของกิจการก็จริง แต่ผมก็มีความสุขและพอใช้ เหลือเก็บ ผมยอมรับว่าก็อยากได้เงินเยอะกว่านี้ แต่ถ้าจะให้เงินเดือนเยอะเป็นลูกจ้างก็ต้องใช้เวลา อีกทั้งที่กทม.ผมยังได้มีโอกาสอยู่กับแฟนผม
ผมบอกอีกว่าผมก็ชอบที่จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่ใช่ธุรกิจประเภทนี้ และไม่ใช่ตอนนี้ สุดท้ายถ้าผมไปไหนไม่รอดผมก็จะกลับมาช่วยกิจการ แต่ตอนนี้ผมยังมีโอกาส ผมขอลองไปทำที่ผมชอบก่อน อีกทั้งแม่ก็มีพนักงานที่ทำงานมากับแม่ร่วม 5 ปีถึง 3 คน ก็ยังช่วยแม่ทำงานได้ (ในใจเข้าใจว่ายังไงก็ไม่สามารถไว้ใจเป็นหูเป็นตาเท่าลูกแท้ๆได้อยู่ดี) แล้วก็ยังมีน้องชาย(แม่กับพ่อเลี้ยง)ที่เรียนมหาลัยปี1 แต่เหมือนจะไปไม่รอด เพราะไม่ถนัดสายวิชาการ หากน้องออกมาก็ช่วยแม่ได้ แล้วผมได้พูดตรงๆไปอีกซึ่งเป็นคำที่แรงพอสมควรคือ "ผมไม่อยากให้ใครมากำหนดชีวิตผม" (ผมเสียใจที่พูดคำนี้ออกไปมากๆ แต่มันก็เป็นคำที่เก็บกดอยู่ในใจผมมาเป็นเดือนๆ)

- แม่ผมก็พูดแบบเสียใจว่า แม่เข้าใจ แต่ก็พูดเพราะหวังดี ตอนนี้แม่ต้องการคนช่วยเหลือเลยอยากให้ลูกเป็นคนช่วย อีกทั้งอยากให้ผมเป็นเจ้าของกิจการจะได้รวย เผื่อเขาเป็นอะไรไป เขาไม่มั่นใจว่าพ่อเลี้ยงจะยังเกื้อกูลผมเหมือนตอนแม่มีชีวิตอยู่ไหม ผมก็ตอบกลับไปตรงๆว่า ผมไม่ใช่คนที่เก่ง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความสามารถขนาดจำเป็นต้องพึ่งพ่อเลี้ยงเพื่อให้ชีวิตสำเร็จเท่านั้น (จากใจจริง ผมเคารพเขานะครับ แต่เรื่องงานผมไม่อยากให้เขามาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่นัก) 

-ซึ่งระหว่างที่เราคุยเปิดอกกัน อยู่ดีๆแม่ก็โทรเรียกให้พ่อเลี้ยงมานั่งคุยด้วย ซึ่งเขาก็เข้าใจแม่ แต่ก็สนับสนุนให้ผมเลือกตามใจตัวเองเช่นกัน พอแม่ผมเห็นพ่อเลี้ยงพูดแบบนี้ก็เริ่มอ่อนลง และบอกว่าจะพยายามทำใจ ยอมรับกับทางเลือกของผม

ผมเป็นลูกที่แย่มากไหมครับ? ที่จะเลือกใจร้าย จะไม่ช่วยเหลือแม่เท่าที่แม่ต้องการ เลือกที่จะไม่เป็นแบบที่แม่ต้องการ ทุกวันนี้ผมมั่นใจนะว่าผมได้ใช้ความสามารถที่มีช่วยกิจการแม่อย่างเต็มที่ในส่วนของผมแล้ว ใจนึงผมรู้สึกเป็นคนเห็นแก่ตัวครับที่จะทำให้แม่เครียดกว่าเดิมอาจกลับมาป่วยอีก แต่ใจนึงผมก็มีความคิดว่าชีวิตนี้ผมก็ควรจะมีสิทธิ์เลือกทางเดินของผมเองไม่ใช่หรอ ผมเครียดคิดวนไปวนมาร่วม 3 เดือนแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่