ขออนุญาตไม่ให้แชร์กระทู้นี้ต่อไปใน platform อื่นๆนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ ขออภัยด้วยที่เนื้อหายาวมาก ๆ ครับ จากกระทู้ถาม กลายเป็นเล่าเกริ่นซะไกล ถือซะว่าผมขอโอกาสระบายนะครับ
ใ
ครจะแสดงความเห็นว่ายังไง ตามสบายเลยนะครับ ผมจะขออ่านเงียบๆและไม่แย้งอะไรครับ นอกเสียจากเป็นการถามคำถามเพิ่มเติมครับ
ถ้าอยากอ่านเรื่องราวเกริ่นนำตั้งแต่ต้น กดอ่านในสปอยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ต้องขอเล่าย้อนไปตั้งแต่สมัยช่วงก่อนเข้าเรียนมหาลัย จะพยายามรวบรัด เข้าประเด็นให้ไวมากที่สุดครับ
- สมัยมหาลัยผมเลือกเรียนในสาขาและสอบได้ในมหาลัยที่ผมอยากเรียน เป็นมหาลัยทางภาคเหนือกึ่งรัฐกึ่งเอกชน ผมตั้งใจเตรียมตัวมากครับ เลยดีใจสุด ๆ ที่สอบเข้าได้ ประกอบกับก่อนหน้านั้นผมได้รับคำบอกเล่าจากผู้ปกครองทั้งฝั่งพ่อและแม่ (แยกทางกัน) ว่าจะสนับสนุนที่ผมเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าสาขาอะไร ขอให้ชอบจะสนับสนุนเต็มที่
- แต่ผลปรากฎว่าฝั่งพ่อแท้ ๆ ฐานะกลาง ๆ บอกส่งไม่ไหว และก็ไม่ใช่มหาลัยรัฐแท้ด้วย (ส่วนตัวรู้สึกว่าพ่อค่อนข้างมีอคติกับมหาลัยเอกชนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) ฝั่งแม่ที่ค่อนข้างฐานะดีครับเป็นเจ้าของกิจการให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้ไปเรียนเช่นกัน เพราะอยู่ไกลจากบ้านเกิดภาคกลาง เป็นอะไรมา ไปหาไม่สะดวก
- ผมเลยเลือกที่จะเบนเข็มมาที่มหาลัยในกรุงเทพครับ แต่ฝั่งแม่แท้ปฎิเสธอีก เพราะกลัวปัญหาเด็กยกพวกตีกันแล้วผมจะโดนลูกหลง (สมัยนั้นข่าวออกบ่อยครับ) ส่วนฝั่งพ่อก็ได้รับการสนับสนุนจากแม่เลี้ยงของผมว่าไม่ให้เรียนด้วยเหตุผลเหมือนกัน ที่ทั้งสองท่านกังวลเพราะผมเป็นคนทำอะไรช้า หรือคิดอะไรบางครั้งจะช้าครับ รู้สึกเองเหมือนกันว่าอยู่ดีๆเหมือนสมองมัน blank ไปซะงั้น อาจจะเป็นเพราะสมัยตอนเด็กผมเคยไข้ขึ้นสูงแล้วชัก หยุดหายใจไป สมองขาดออกซิเจน แต่หมอช่วยกลับมาได้ ในตอนเด็กผมเลยต้องกินยากันชักเสมอ ผลข้างเคียงหลังกินยาคือทำให้รู้สึกง่วงๆ เบลอ ๆ ไปเกือบทั้งวัน
- ผมก็สู้ไม้สุดท้าย ว่าจะเรียนที่เดิมที่ภาคเหนืออย่างที่ตั้งใจ โดยจะกู้เรียน และทำงานระหว่างเรียนไปด้วย ส่งตัวเอง แต่แม่เลี้ยงผมก็ไม่ยอมอีก บอกเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย มันจะไปเรียนได้เต็มที่ยังไง ผมก็ยอมครับ บอกตรงๆเพราะผมกลัวแม่เลี้ยงผมมาก เขาดุ และทุบตีประจำ ผมอาจจะดื้อเองด้วยแหละ
- ผมพยายามขอแม่แท้ๆอีกครั้งว่าให้ผมเรียนที่มหาลัยทางเหนือได้ไหม ผมอยากเรียนจริงๆ แต่เขาก็ยังปฎิเสธ ผมก็เสียใจครับ ปกติแม่แท้ๆจะเป็นคนใจดีที่สุดสำหรับผมเลยนะ ขออะไรซื้อให้บ่อยๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับผลครับ คิดว่าบางคนเขาต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้ได้เรียน เรามีคนส่งเรียนอย่าไปคิดอะไรเยอะ
- จนผมได้เรียนในมหาลัยใกล้บ้านเกิด แต่เลือกคนละสาขากับที่อยากเรียนในมหาลัยแรก เพราะมหาลัยนี้ไม่มีสาขาทางด้านนั้นครับ ผลปรากฎว่าเรียนไปจนปี 2 รู้ว่าตัดสินใจพลาด เราไม่ได้ชอบด้านนี้จริงๆ ชอบแค่ตรงเราได้เรียนเน้นภาษาอังกฤษแต่ก็ไม่ได้เข้มแบบอักษรศาสตร์ ซึ่งผมก็ไม่ได้ซิ่ว
- ระหว่างเรียนผมเคยขอแม่แท้ๆไป work and travel ด้วย แม่แท้ๆสนับสนุนแต่ติดตรงฝั่งพ่อเลี้ยงไม่สนับสนุนเพราะบอกว่าผมไปก็เอาตัวไม่รอดหรอก จนผมเรียนจบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 มา ก่อนหน้านั้นผมโดดเรียน โดดสอบบางคาบ เพื่อไปทำเรื่องทุนฝึกงานต่างประเทศ ต้องวิ่งทำเรื่องตรวจสุขภาพที่ รพ. ไปมาหลายรอบ เพราะเอกสารไม่ผ่านบ้าง ต้องไปสัมภาษณ์กับคณะบดีทางมหาลัย บอกตรง ๆ ว่าภาษาอังกฤษผมก็ไม่ได้ดี อยู่แค่ระดับดีกว่ามาตรฐานขึ้นมาระดับนึง ก็มีปล่อยไก่ หน้าแตกตอนสัมภาษณ์บ้าง ก็ขำกลบเกลื่อนไป แต่ในใจอายแทบอยากจะทรุดแผ่นดินหนี สุดท้ายผมก็ได้ทุนไปฝึกงานต่างประเทศแถบบ้านเรานี่แหละครับ ไปได้ไม่ไกล แต่ก็ด้วยความสามารถตัวเองนะ ไม่เสียตังด้วย อยู่ที่นั่นผมเอาตัวรอดได้ครับ และประสบการณ์ที่นั่นก็ทำให้ภาษาอังกฤษผมพัฒนาขึ้นมาก ๆ
- ผมเรียนจบมาช่วงว่างงานก็ช่วยกิจการที่บ้านแม่แท้ๆครับ เป็นร้านขายโทรศัพท์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สักครึ่งปีก็ได้งานที่ไม่ได้ตรงสายที่เรียน แต่เป็นงานที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นงานร้านค้าปลีกแบรนด์นึงครับ โชคดีแฟนต่างชาติเขาแนะนำผมให้กับบริษัท พอสัมภาษณ์แล้วบริษัทรับผม
- ผมเลยได้ไปทำงานที่สิงคโปร์ เครียดและกดดันมากครับ แรกๆแค่ลูกค้าพูดเบอร์โทรฯเป็นภาษาอังกฤษรัวๆ ผมต้องใช้เวลาประมวลผลถอดเป็นภาษาไทยในหัว ไหนจะเรื่องสำเนียงหลากหลายสำเนียงอีก อย่าว่าเลย แค่สำเนียงภาษาอังกฤษบางคำสไตล์ไทยผม ลูกค้าก็ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจ เพื่อนร่วมงานด้วยกันฟังยังแอบขำเลยบางที แต่สุดท้ายก็ปรับตัวได้นะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีก ตอนนั้นผมถึงขั้นฝัน ละเมอพูดเป็นภาษาอังกฤษเลยนะ และชอบฝันร้ายว่าเจอสถานการณ์ยากๆระหว่างคิดเงินที่แคชเชียร์กับลูกค้าบ่อยมากครับ นับว่าเป็นงานที่เหนื่อยทั้งสมองทั้งร่างกายเลยครับ ยืนทั้งวัน ยกของหนัก และดูเงิน + ยอดขายในร้าน
- ผมทำงานอยู่ที่นั่น ร่วมปีครึ่ง ก็ยื่นลาออกจะขอกลับไทย แต่ทาง HR เสนอตำแหน่ง customer service ให้ลองทำ ผมเลยอยู่ต่อและลองทำดูเป็นประสบการณ์ ทำได้อยู่ 3 เดือนก็ลาออกครับ เพราะ มีพนักงานแผนก customer service 3 คน รวมผมแล้วที่คอยรับโทรศัพท์ลูกค้าทั้งประเทศ และก็ต้องตอบ เคลียร์เคสผ่านช่องทาง E-mail ด้วย แต่ละวันมีอีเมลล์เข้ามาใหม่ประมาณ 200+ ฉบับครับ แค่ตอนผมเข้าไปใหม่ ๆ ก็มีเมลล์จากลูกค้าค้างเพียบในระบบตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้ว การติดต่อลูกค้ากลับไปทั้งๆที่เขาติดต่อเรามาเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ก็จะเริ่มต้นด้วยการโดนวีนเป็นภาษาอังกฤษถือเป็นเรื่องธรรมดาเลยครับ
- ผมกลับมาไทย ช่วงว่างงานก็ช่วยทำงานกิจการในร้าน จนพ่อเลี้ยงผมมีความคิดอยากเปิดธุรกิจร้านอาหาร เลยอยากส่งผมไปเรียนทำอาหาร เพื่อให้มาช่วยตรงนี้ ประกอบกับปกติผมชอบทำอาหารอยู่แล้วครับ เลยคิดว่าลองดูไม่เสียหาย ก็ใช้เวลาเรียน + ฝึกงานใน กทม. ร่วมปีครึ่ง ผมก็ค้นพบว่าพบไม่ได้ชอบทำงานในครัวแบบเป็นอาชีพ เพราะต้องเร็ว และสกิลผมก็ไม่ได้อยู่ในระดับนั้น ผมชอบทำอาหารแค่เป็นงานอดิเรกแบบทำกินเองมากกว่า อีกทั้งจู่ ๆ พ่อเลี้ยงผมก็หยุดพูดถึงความคิดเรื่องเปิดร้านอาหารไป (ต่อนอก spoil ครับ)
- ผมหางานทำในกทม. ไม่ถึงเดือนก็ได้งานตำแหน่ง customer service ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อีกหนึ่งด้านที่ผมสนใจครับ ซึ่งผมค่อนข้างโอเคกับงานนี้มาก มีบางจุดที่ไม่ชอบ แต่ก็ยังไปต่อได้เรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นงานที่ท้าทาย และสนุกกับการใช้ความสามารถของตนเองครับ
- ผมทำงานในกทม. บริษัทข้างต้นได้ ปีครึ่ง ผมก็ได้รับข่าวร้ายว่า แม่แท้ ๆ ผม (อายุ 52ปี) เป็นมะเร็งระยะที่ 2 ต้องการให้ลาออกจากงาน มาช่วยดูกิจการระหว่างแม่รักษาตัว ผมก็ลาออกแต่โดยดีครับ กลับมาช่วยดูแลร้านขายโทรศัพท์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้าน ช่วงที่ผมกลับมาดูแลร้านเกือบ 1 ปี
- ผมเปลี่ยนและพัฒนาระบบในร้านหลายอย่าง จากงานกระดาษเป็นการใช้เทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ในร้าน
- ใช้ระบบสต็อก หรือระบบที่สามารถช่วยให้ตรวจสอบยอดขายได้แบบ real time ลดโอกาสที่พนักงานในร้านจะทุจริต
- ผมใช้ความรู้จากงานร้านค้าปลีกที่เคยทำที่สิงคโปร์ ทำให้โดยรวมงานในร้านเป็นสัดเป็นส่วนและอ้างอิงข้อมูลได้มากขึ้น
- ผมสามารถซ่อมมือถือที่เกิดปัญหาจากตัวซอฟต์แวร์ได้
- จนแม่แท้ๆผมหายจากมะเร็ง เริ่มกลับมาแข็งแรง แม่เริ่มพูดเรื่องอยากให้ผมทำกิจการนี้ต่อ ผมก็เครียดไม่กล้าตอบแม่ตรงๆ เพราะรู้ว่าตอบไปแม่ก็จะเครียด และส่งผลต่อโรคมะเร็งอาจจะกลับมาอีก แต่สุดท้ายแม่ก็คุยทักถึงเรื่องนี้บ่อยเรื่อยๆ จนผมต้องตอบไปว่า ไม่ชอบเนื่องด้วยอะไรหลายๆอย่าง เช่นบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าผมไม่สบายใจที่จะทำมัน เพราะไม่เป็นธรรมกับลูกค้า ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ครับ เพราะพ่อเลี้ยงผมเป็นคนกำหนด และแม่แท้ๆผมจะไม่ขัดและยอมพ่อเลี้ยงอยู่เสมอ ไหนจะต้องซิกแซกเรื่องภาษี อีกทั้งงานในร้านผมจะไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลด้านภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ที่ผมถนัดและชอบเลย มันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเรียนศึกษามาแต่เด็กสุดท้ายถ้าไม่ได้ใช้ มันก็จะค่อยๆหายไป (ไหนจะเรื่องที่ต้องเข้าหาคนใหญ่ คนโต เอากระเช้าไปสวัสดี ไปให้เพื่อพึ่งบารมี ซึ่งผมไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดกับแม่ในจุดนี้ไป)
- เวลาผ่านไปแม่ยิ่งกดดันผมเข้าไปอีก ด้วยการกู้เงินก้อนใหญ่และตัดสินใจซื้อที่ใหม่ (ตัดสินใจกันเองกับพ่อเลี้ยง) และจะขยายสาขา โดยที่ไม่เคยเล่าให้ผมฟังก่อนเลยว่าจะซื้อ แค่เล่าว่าไปตระเวนดูที่เฉยๆ และบอกผมว่าตอนนี้ต้องช่วยกันสู้แล้วนะ จะให้ผมไปดูแลกิจการร้านโทรศัพท์สาขาใหม่ เขาจะเป็นคนส่งเงินกู้ธนาคารเอง จนกระทั่งกิจการที่นั่นรุ่งเรือง จะยกกิจการสาขานั้นให้ผมและผมเป็นคนส่งเงินกู้ต่อ
และพูดต่อว่าถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ผมจะต้องทำงานในร้านเป็นทุกอย่าง จะได้ประหยัดเรื่องจ้างพนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งส่วนที่ผมทำไม่ได้ เช่น
- การซ่อมเครื่องแบบฮาร์ดแวร์ที่ต้องมีการแกะอะไหล่แกะเครื่อง ผมต้องเรียนใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งผมไม่ชอบงานลักษณะนี้
- การขับรถกระบะเกียร์ manual ไปส่งของ ผมไปเรียนขับมาแล้วแต่ก็ขับไม่ได้ เพราะกลัวเนื่องจากฝังใจตอนเกือบเกิดอุบัติเหตุตอนเรียนขับ (ผมขับได้แต่รถเกียร์ auto) ผมบอกแม่ไป แม่ก็บอกว่าผมเป็นคนไม่สู้งาน
- ผมบอกแม่ว่า ตอนนี้ผมชอบทำงานที่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจงแบบลูกจ้าง ผมอายุ 29 ปี ยังอยากทำงานในสายที่ผมชอบอยู่ เงินเดือนไม่เยอะแบบเจ้าของกิจการก็จริง แต่ผมก็มีความสุขและพอใช้ เหลือเก็บ ผมยอมรับว่าก็อยากได้เงินเยอะกว่านี้ แต่ถ้าจะให้เงินเดือนเยอะเป็นลูกจ้างก็ต้องใช้เวลา อีกทั้งที่กทม.ผมยังได้มีโอกาสอยู่กับแฟนผม
ผมบอกอีกว่าผมก็ชอบที่จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่ใช่ธุรกิจประเภทนี้ และไม่ใช่ตอนนี้ สุดท้ายถ้าผมไปไหนไม่รอดผมก็จะกลับมาช่วยกิจการ แต่ตอนนี้ผมยังมีโอกาส ผมขอลองไปทำที่ผมชอบก่อน อีกทั้งแม่ก็มีพนักงานที่ทำงานมากับแม่ร่วม 5 ปีถึง 3 คน ก็ยังช่วยแม่ทำงานได้ (ในใจเข้าใจว่ายังไงก็ไม่สามารถไว้ใจเป็นหูเป็นตาเท่าลูกแท้ๆได้อยู่ดี) แล้วก็ยังมีน้องชาย(แม่กับพ่อเลี้ยง)ที่เรียนมหาลัยปี1 แต่เหมือนจะไปไม่รอด เพราะไม่ถนัดสายวิชาการ หากน้องออกมาก็ช่วยแม่ได้ แล้วผมได้พูดตรงๆไปอีกซึ่งเป็นคำที่แรงพอสมควรคือ "ผมไม่อยากให้ใครมากำหนดชีวิตผม" (ผมเสียใจที่พูดคำนี้ออกไปมากๆ แต่มันก็เป็นคำที่เก็บกดอยู่ในใจผมมาเป็นเดือนๆ)
- แม่ผมก็พูดแบบเสียใจว่า แม่เข้าใจ แต่ก็พูดเพราะหวังดี ตอนนี้แม่ต้องการคนช่วยเหลือเลยอยากให้ลูกเป็นคนช่วย อีกทั้งอยากให้ผมเป็นเจ้าของกิจการจะได้รวย เผื่อเขาเป็นอะไรไป เขาไม่มั่นใจว่าพ่อเลี้ยงจะยังเกื้อกูลผมเหมือนตอนแม่มีชีวิตอยู่ไหม ผมก็ตอบกลับไปตรงๆว่า ผมไม่ใช่คนที่เก่ง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความสามารถขนาดจำเป็นต้องพึ่งพ่อเลี้ยงเพื่อให้ชีวิตสำเร็จเท่านั้น (จากใจจริง ผมเคารพเขานะครับ แต่เรื่องงานผมไม่อยากให้เขามาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่นัก)
-ซึ่งระหว่างที่เราคุยเปิดอกกัน อยู่ดีๆแม่ก็โทรเรียกให้พ่อเลี้ยงมานั่งคุยด้วย ซึ่งเขาก็เข้าใจแม่ แต่ก็สนับสนุนให้ผมเลือกตามใจตัวเองเช่นกัน พอแม่ผมเห็นพ่อเลี้ยงพูดแบบนี้ก็เริ่มอ่อนลง และบอกว่าจะพยายามทำใจ ยอมรับกับทางเลือกของผม
ผมเป็นลูกที่แย่มากไหมครับ? ที่จะเลือกใจร้าย จะไม่ช่วยเหลือแม่เท่าที่แม่ต้องการ เลือกที่จะไม่เป็นแบบที่แม่ต้องการ ทุกวันนี้ผมมั่นใจนะว่าผมได้ใช้ความสามารถที่มีช่วยกิจการแม่อย่างเต็มที่ในส่วนของผมแล้ว ใจนึงผมรู้สึกเป็นคนเห็นแก่ตัวครับที่จะทำให้แม่เครียดกว่าเดิมอาจกลับมาป่วยอีก แต่ใจนึงผมก็มีความคิดว่าชีวิตนี้ผมก็ควรจะมีสิทธิ์เลือกทางเดินของผมเองไม่ใช่หรอ ผมเครียดคิดวนไปวนมาร่วม 3 เดือนแล้ว
ผมเป็นลูกที่แย่มากไหมครับ ที่ไม่อยากทำกิจการของครอบครัว (ยาว)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ ขออภัยด้วยที่เนื้อหายาวมาก ๆ ครับ จากกระทู้ถาม กลายเป็นเล่าเกริ่นซะไกล ถือซะว่าผมขอโอกาสระบายนะครับ
ใครจะแสดงความเห็นว่ายังไง ตามสบายเลยนะครับ ผมจะขออ่านเงียบๆและไม่แย้งอะไรครับ นอกเสียจากเป็นการถามคำถามเพิ่มเติมครับ
ถ้าอยากอ่านเรื่องราวเกริ่นนำตั้งแต่ต้น กดอ่านในสปอยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ผมหางานทำในกทม. ไม่ถึงเดือนก็ได้งานตำแหน่ง customer service ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อีกหนึ่งด้านที่ผมสนใจครับ ซึ่งผมค่อนข้างโอเคกับงานนี้มาก มีบางจุดที่ไม่ชอบ แต่ก็ยังไปต่อได้เรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นงานที่ท้าทาย และสนุกกับการใช้ความสามารถของตนเองครับ
- ผมทำงานในกทม. บริษัทข้างต้นได้ ปีครึ่ง ผมก็ได้รับข่าวร้ายว่า แม่แท้ ๆ ผม (อายุ 52ปี) เป็นมะเร็งระยะที่ 2 ต้องการให้ลาออกจากงาน มาช่วยดูกิจการระหว่างแม่รักษาตัว ผมก็ลาออกแต่โดยดีครับ กลับมาช่วยดูแลร้านขายโทรศัพท์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้าน ช่วงที่ผมกลับมาดูแลร้านเกือบ 1 ปี
- ผมเปลี่ยนและพัฒนาระบบในร้านหลายอย่าง จากงานกระดาษเป็นการใช้เทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ในร้าน
- ใช้ระบบสต็อก หรือระบบที่สามารถช่วยให้ตรวจสอบยอดขายได้แบบ real time ลดโอกาสที่พนักงานในร้านจะทุจริต
- ผมใช้ความรู้จากงานร้านค้าปลีกที่เคยทำที่สิงคโปร์ ทำให้โดยรวมงานในร้านเป็นสัดเป็นส่วนและอ้างอิงข้อมูลได้มากขึ้น
- ผมสามารถซ่อมมือถือที่เกิดปัญหาจากตัวซอฟต์แวร์ได้
- จนแม่แท้ๆผมหายจากมะเร็ง เริ่มกลับมาแข็งแรง แม่เริ่มพูดเรื่องอยากให้ผมทำกิจการนี้ต่อ ผมก็เครียดไม่กล้าตอบแม่ตรงๆ เพราะรู้ว่าตอบไปแม่ก็จะเครียด และส่งผลต่อโรคมะเร็งอาจจะกลับมาอีก แต่สุดท้ายแม่ก็คุยทักถึงเรื่องนี้บ่อยเรื่อยๆ จนผมต้องตอบไปว่า ไม่ชอบเนื่องด้วยอะไรหลายๆอย่าง เช่นบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าผมไม่สบายใจที่จะทำมัน เพราะไม่เป็นธรรมกับลูกค้า ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ครับ เพราะพ่อเลี้ยงผมเป็นคนกำหนด และแม่แท้ๆผมจะไม่ขัดและยอมพ่อเลี้ยงอยู่เสมอ ไหนจะต้องซิกแซกเรื่องภาษี อีกทั้งงานในร้านผมจะไม่มีโอกาสได้ใช้สกิลด้านภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ที่ผมถนัดและชอบเลย มันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเรียนศึกษามาแต่เด็กสุดท้ายถ้าไม่ได้ใช้ มันก็จะค่อยๆหายไป (ไหนจะเรื่องที่ต้องเข้าหาคนใหญ่ คนโต เอากระเช้าไปสวัสดี ไปให้เพื่อพึ่งบารมี ซึ่งผมไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดกับแม่ในจุดนี้ไป)
- เวลาผ่านไปแม่ยิ่งกดดันผมเข้าไปอีก ด้วยการกู้เงินก้อนใหญ่และตัดสินใจซื้อที่ใหม่ (ตัดสินใจกันเองกับพ่อเลี้ยง) และจะขยายสาขา โดยที่ไม่เคยเล่าให้ผมฟังก่อนเลยว่าจะซื้อ แค่เล่าว่าไปตระเวนดูที่เฉยๆ และบอกผมว่าตอนนี้ต้องช่วยกันสู้แล้วนะ จะให้ผมไปดูแลกิจการร้านโทรศัพท์สาขาใหม่ เขาจะเป็นคนส่งเงินกู้ธนาคารเอง จนกระทั่งกิจการที่นั่นรุ่งเรือง จะยกกิจการสาขานั้นให้ผมและผมเป็นคนส่งเงินกู้ต่อ
และพูดต่อว่าถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ผมจะต้องทำงานในร้านเป็นทุกอย่าง จะได้ประหยัดเรื่องจ้างพนักงาน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งส่วนที่ผมทำไม่ได้ เช่น
- การซ่อมเครื่องแบบฮาร์ดแวร์ที่ต้องมีการแกะอะไหล่แกะเครื่อง ผมต้องเรียนใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งผมไม่ชอบงานลักษณะนี้
- การขับรถกระบะเกียร์ manual ไปส่งของ ผมไปเรียนขับมาแล้วแต่ก็ขับไม่ได้ เพราะกลัวเนื่องจากฝังใจตอนเกือบเกิดอุบัติเหตุตอนเรียนขับ (ผมขับได้แต่รถเกียร์ auto) ผมบอกแม่ไป แม่ก็บอกว่าผมเป็นคนไม่สู้งาน
- ผมบอกแม่ว่า ตอนนี้ผมชอบทำงานที่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจงแบบลูกจ้าง ผมอายุ 29 ปี ยังอยากทำงานในสายที่ผมชอบอยู่ เงินเดือนไม่เยอะแบบเจ้าของกิจการก็จริง แต่ผมก็มีความสุขและพอใช้ เหลือเก็บ ผมยอมรับว่าก็อยากได้เงินเยอะกว่านี้ แต่ถ้าจะให้เงินเดือนเยอะเป็นลูกจ้างก็ต้องใช้เวลา อีกทั้งที่กทม.ผมยังได้มีโอกาสอยู่กับแฟนผม
ผมบอกอีกว่าผมก็ชอบที่จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่ใช่ธุรกิจประเภทนี้ และไม่ใช่ตอนนี้ สุดท้ายถ้าผมไปไหนไม่รอดผมก็จะกลับมาช่วยกิจการ แต่ตอนนี้ผมยังมีโอกาส ผมขอลองไปทำที่ผมชอบก่อน อีกทั้งแม่ก็มีพนักงานที่ทำงานมากับแม่ร่วม 5 ปีถึง 3 คน ก็ยังช่วยแม่ทำงานได้ (ในใจเข้าใจว่ายังไงก็ไม่สามารถไว้ใจเป็นหูเป็นตาเท่าลูกแท้ๆได้อยู่ดี) แล้วก็ยังมีน้องชาย(แม่กับพ่อเลี้ยง)ที่เรียนมหาลัยปี1 แต่เหมือนจะไปไม่รอด เพราะไม่ถนัดสายวิชาการ หากน้องออกมาก็ช่วยแม่ได้ แล้วผมได้พูดตรงๆไปอีกซึ่งเป็นคำที่แรงพอสมควรคือ "ผมไม่อยากให้ใครมากำหนดชีวิตผม" (ผมเสียใจที่พูดคำนี้ออกไปมากๆ แต่มันก็เป็นคำที่เก็บกดอยู่ในใจผมมาเป็นเดือนๆ)
- แม่ผมก็พูดแบบเสียใจว่า แม่เข้าใจ แต่ก็พูดเพราะหวังดี ตอนนี้แม่ต้องการคนช่วยเหลือเลยอยากให้ลูกเป็นคนช่วย อีกทั้งอยากให้ผมเป็นเจ้าของกิจการจะได้รวย เผื่อเขาเป็นอะไรไป เขาไม่มั่นใจว่าพ่อเลี้ยงจะยังเกื้อกูลผมเหมือนตอนแม่มีชีวิตอยู่ไหม ผมก็ตอบกลับไปตรงๆว่า ผมไม่ใช่คนที่เก่ง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความสามารถขนาดจำเป็นต้องพึ่งพ่อเลี้ยงเพื่อให้ชีวิตสำเร็จเท่านั้น (จากใจจริง ผมเคารพเขานะครับ แต่เรื่องงานผมไม่อยากให้เขามาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่นัก)
-ซึ่งระหว่างที่เราคุยเปิดอกกัน อยู่ดีๆแม่ก็โทรเรียกให้พ่อเลี้ยงมานั่งคุยด้วย ซึ่งเขาก็เข้าใจแม่ แต่ก็สนับสนุนให้ผมเลือกตามใจตัวเองเช่นกัน พอแม่ผมเห็นพ่อเลี้ยงพูดแบบนี้ก็เริ่มอ่อนลง และบอกว่าจะพยายามทำใจ ยอมรับกับทางเลือกของผม
ผมเป็นลูกที่แย่มากไหมครับ? ที่จะเลือกใจร้าย จะไม่ช่วยเหลือแม่เท่าที่แม่ต้องการ เลือกที่จะไม่เป็นแบบที่แม่ต้องการ ทุกวันนี้ผมมั่นใจนะว่าผมได้ใช้ความสามารถที่มีช่วยกิจการแม่อย่างเต็มที่ในส่วนของผมแล้ว ใจนึงผมรู้สึกเป็นคนเห็นแก่ตัวครับที่จะทำให้แม่เครียดกว่าเดิมอาจกลับมาป่วยอีก แต่ใจนึงผมก็มีความคิดว่าชีวิตนี้ผมก็ควรจะมีสิทธิ์เลือกทางเดินของผมเองไม่ใช่หรอ ผมเครียดคิดวนไปวนมาร่วม 3 เดือนแล้ว