สวัสดีค่ะ ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ระบายนะคะ
คือเราโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน เราได้มาอยู่ฝั่งพ่อ มีปู'กับย่าเลี้ยงมาจนโต (พ่ออยู่ในหมู่บ้านเดี่ยวกันแต่คนละบ้าน)
เราเป็นเด็กที่มีปัญหาด้านสายตา มองไม่เห็นตั้งแต่เกิด ตาเขด้วย โชคยังดีที่ได้รักษาที่ศิริราช จนมองเห็นแต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ และยังตาเขอยู่ ตอนรักษาน่าจะสักอนุบาลได้มั่ง
เราเหมือนคนที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่มีภูมิคุ้มกันทางโลก และภูมิคุ้มกันทางใจ ทำอะไึรจะโดนผู้ใหญ่ติ จนไม่มีความมั่นใจ ทำอะไรจะชอบทำตอนไม่มีคนอยู่ เช่น ทำกับข้าวล้างจาน กวาดบ้าน พอคนอื่นไม่เห็นตอนทำแต่เห็นตอนไม่ทำเราก็ถูกมองเป็นคนขี้เกียจ
เราไม่เคยถูกซัพพอร์ตทางใจเลย มีปัญหาก็แก้เองตลอด พ่อแม่ต่างมีครอบครัวใหม่ลูกคนใหม่ เราก็ไม่อยากรบกวนใคร พยายามพึ่งตัวเองให้มากที่สุด
เราชอบค้นหาตัวเอง เลยรู้ว่าอยากเรียนอะไร ทำงานอะไร แต่เหมือนพ่อกับทุกคนจะไม่เห็นด้วย เขาตอบรับสิ่งที่เราอยากทำด้วยความเงียบทุกครั้งที่เราเล่าให้ฟัง (มันเจ็บมากกก) เราเป็นช่างพูดช่างคุยชอบเล่าเรื่องทุกอย่างให้ที่บ้านฟัง แต่เหมือนเราจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้รู้เรื่องของพวกเขา
เราเดินหน้าทำตามฝันตัวเองมาตลอด โดยมีครูเป็นที่พึ่ง คณะที่เราอยากเข้ามีค่ายเปิดบ้านเราส่งใบสมัครไป ม.1-ม.5 ไม่ติด มาติด ม.6 ตอนนั้นดีใจมาก เราเลยไปบอกพ่อกับแม่เลี้ยงว่าจะไปค่าย แต่สิ่งที่ได้คือ เขาไม่อยากให้เราเรียนต่อ เขาจะเปิดร้านขายของให้ ตอนนั้นเสียใจมาก เดินร้องให้กลับบ้าน เหมือนความฝันพังลงกับตา เข้าใจคำว่าเจ็บที่หัวใจเป็นยังไงเลยอ่ะ เราเลยขอเขาว่าถ้าจะไม่ได้เรียนต่อขอแค่ได้ไปค่ายได้มั้ย เราไปเคยด้วยเงิน กยศ ที่กู้ไว้ โดยไม่ได้เงินจากที่บ้านสักบาท
เรายังเดินหน้าทำตามฝันตัวเอง โดยหวังว่าเขาคงจะยอมให้เรียน เราเข้าไปสอบคัดเลือกที่มหาลัยด้วยเงินตัวเอง เด็กต่างจังหวัดเข้ากรุงคนเดียวไปเลยจ้า ภูมิใจในตัวเองมากนะ 5555 จนเราสอบติด ความฝันที่เราก่อได้พังลงอีกครั้ง ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด ย่าก็ป่วยดูแลตัวเองไม่ได้ เขาให้เหตุผลว่าเราต้องดูแลย่า
ผ่านไป 1 ปี เราเลยลองสมัครเรียนที่ ราม เพราะค่าลงทะเบียนไม่แพงพ่อน่าจะส่งไหว เราเองจะได้เรียนไปด้วยดูแลย่าไปด้วยได้ เราไม่อยากทิ้งการเรียนเพราะคิดว่าในอนาคตจะไดหางานทำเลี้ยงตัวเองได้ และ และไม่ห่างจากฝันที่ตั้งใว้มากนัก เราแค่เปลี่ยนเส้นทางแต่ปลายทางยังเหมือนเดิม
เราเรียนไปได้ปีนึง พ่อก็ไม่สนใจ ไม่แม้จะถามเราด้วยซ้ำว่าเป็นยังไง ตอนนี้เราเลยไม่ได้เรียนต่อและเคว้งคว้างมาก ไม่เคยรู้สึไร้เป้าหมายขนาดนี้เลย เรากำลังออกจากเส้นทางฝันของตัวเองมาใกลมาก จนไม่รู้ว่าจะกลับไปได้อีกมั้ย
ตอนนี้เรายังอยู่ดูแลย่า และมีเงินจากการทำนายหน้า tiktok นิดหน่อย เราตั้งใจจะทำเก็บเงินไว้เป็นทุนในอนาคตในวันที่ย่าไม่อยู่จะได้มีเงินใช้ระหว่างหางานทำ เรามีหนังสือกับพอดแคสต์เยียวยาจิตใจ ยอมรับว่าใจพังมาก
เราก็แค่เด็กคนนึงที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ความเจ็บปวด ถูกบูลลึเรื่องตาเข ไม่เคยได้รู้จักความรักความอบอุ่นว่าเป็นยังไง เด็กคนนึงที่พยายามเติบโตอย่างสวยงามที่สุดเพื่อตัวเอง
เเราจะพยายามโอบกอดตัวเองและให้ความรักกับตัวเอง เราจะพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด เราจะไม่ส่งต่อบาดแผ่นที่มีให้คนอื่น เราจะเยียวยาหัวใจให้แข็งแรงและใช้ชีวิตต่อไป
เราอ่านหนังสือหาความรู้ไปเรื่อย ฝึกภาษาอังกฤษ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะไปทำอะไร รู้แค่ว่าเราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนนะคะ ขอให้ทุกคนมีหัวใจที่แข็งแรงนะ 💕
ขอกำลังใจหน่อยได้มั้ยคะ 😌
คือเราโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน เราได้มาอยู่ฝั่งพ่อ มีปู'กับย่าเลี้ยงมาจนโต (พ่ออยู่ในหมู่บ้านเดี่ยวกันแต่คนละบ้าน)
เราเป็นเด็กที่มีปัญหาด้านสายตา มองไม่เห็นตั้งแต่เกิด ตาเขด้วย โชคยังดีที่ได้รักษาที่ศิริราช จนมองเห็นแต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ และยังตาเขอยู่ ตอนรักษาน่าจะสักอนุบาลได้มั่ง
เราเหมือนคนที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่มีภูมิคุ้มกันทางโลก และภูมิคุ้มกันทางใจ ทำอะไึรจะโดนผู้ใหญ่ติ จนไม่มีความมั่นใจ ทำอะไรจะชอบทำตอนไม่มีคนอยู่ เช่น ทำกับข้าวล้างจาน กวาดบ้าน พอคนอื่นไม่เห็นตอนทำแต่เห็นตอนไม่ทำเราก็ถูกมองเป็นคนขี้เกียจ
เราไม่เคยถูกซัพพอร์ตทางใจเลย มีปัญหาก็แก้เองตลอด พ่อแม่ต่างมีครอบครัวใหม่ลูกคนใหม่ เราก็ไม่อยากรบกวนใคร พยายามพึ่งตัวเองให้มากที่สุด
เราชอบค้นหาตัวเอง เลยรู้ว่าอยากเรียนอะไร ทำงานอะไร แต่เหมือนพ่อกับทุกคนจะไม่เห็นด้วย เขาตอบรับสิ่งที่เราอยากทำด้วยความเงียบทุกครั้งที่เราเล่าให้ฟัง (มันเจ็บมากกก) เราเป็นช่างพูดช่างคุยชอบเล่าเรื่องทุกอย่างให้ที่บ้านฟัง แต่เหมือนเราจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้รู้เรื่องของพวกเขา
เราเดินหน้าทำตามฝันตัวเองมาตลอด โดยมีครูเป็นที่พึ่ง คณะที่เราอยากเข้ามีค่ายเปิดบ้านเราส่งใบสมัครไป ม.1-ม.5 ไม่ติด มาติด ม.6 ตอนนั้นดีใจมาก เราเลยไปบอกพ่อกับแม่เลี้ยงว่าจะไปค่าย แต่สิ่งที่ได้คือ เขาไม่อยากให้เราเรียนต่อ เขาจะเปิดร้านขายของให้ ตอนนั้นเสียใจมาก เดินร้องให้กลับบ้าน เหมือนความฝันพังลงกับตา เข้าใจคำว่าเจ็บที่หัวใจเป็นยังไงเลยอ่ะ เราเลยขอเขาว่าถ้าจะไม่ได้เรียนต่อขอแค่ได้ไปค่ายได้มั้ย เราไปเคยด้วยเงิน กยศ ที่กู้ไว้ โดยไม่ได้เงินจากที่บ้านสักบาท
เรายังเดินหน้าทำตามฝันตัวเอง โดยหวังว่าเขาคงจะยอมให้เรียน เราเข้าไปสอบคัดเลือกที่มหาลัยด้วยเงินตัวเอง เด็กต่างจังหวัดเข้ากรุงคนเดียวไปเลยจ้า ภูมิใจในตัวเองมากนะ 5555 จนเราสอบติด ความฝันที่เราก่อได้พังลงอีกครั้ง ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด ย่าก็ป่วยดูแลตัวเองไม่ได้ เขาให้เหตุผลว่าเราต้องดูแลย่า
ผ่านไป 1 ปี เราเลยลองสมัครเรียนที่ ราม เพราะค่าลงทะเบียนไม่แพงพ่อน่าจะส่งไหว เราเองจะได้เรียนไปด้วยดูแลย่าไปด้วยได้ เราไม่อยากทิ้งการเรียนเพราะคิดว่าในอนาคตจะไดหางานทำเลี้ยงตัวเองได้ และ และไม่ห่างจากฝันที่ตั้งใว้มากนัก เราแค่เปลี่ยนเส้นทางแต่ปลายทางยังเหมือนเดิม
เราเรียนไปได้ปีนึง พ่อก็ไม่สนใจ ไม่แม้จะถามเราด้วยซ้ำว่าเป็นยังไง ตอนนี้เราเลยไม่ได้เรียนต่อและเคว้งคว้างมาก ไม่เคยรู้สึไร้เป้าหมายขนาดนี้เลย เรากำลังออกจากเส้นทางฝันของตัวเองมาใกลมาก จนไม่รู้ว่าจะกลับไปได้อีกมั้ย
ตอนนี้เรายังอยู่ดูแลย่า และมีเงินจากการทำนายหน้า tiktok นิดหน่อย เราตั้งใจจะทำเก็บเงินไว้เป็นทุนในอนาคตในวันที่ย่าไม่อยู่จะได้มีเงินใช้ระหว่างหางานทำ เรามีหนังสือกับพอดแคสต์เยียวยาจิตใจ ยอมรับว่าใจพังมาก
เราก็แค่เด็กคนนึงที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ความเจ็บปวด ถูกบูลลึเรื่องตาเข ไม่เคยได้รู้จักความรักความอบอุ่นว่าเป็นยังไง เด็กคนนึงที่พยายามเติบโตอย่างสวยงามที่สุดเพื่อตัวเอง
เเราจะพยายามโอบกอดตัวเองและให้ความรักกับตัวเอง เราจะพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด เราจะไม่ส่งต่อบาดแผ่นที่มีให้คนอื่น เราจะเยียวยาหัวใจให้แข็งแรงและใช้ชีวิตต่อไป
เราอ่านหนังสือหาความรู้ไปเรื่อย ฝึกภาษาอังกฤษ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะไปทำอะไร รู้แค่ว่าเราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนนะคะ ขอให้ทุกคนมีหัวใจที่แข็งแรงนะ 💕