https://www.facebook.com/110724686157857/photos/a.111655522731440/439221526641503/?type=3
การรับศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
“ทุกคนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน
ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ
1. ศิษย์ชั้น 3 พยายามรักษาศีล 5 เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วน
ให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น 3 คือศิษย์ขนาดจิ๋ว
2. ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร
ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง
3. ศิษย์เอก มีปฏิปทาดังนี้
3.1 รักษาศีล 5 ครบถ้วนเป็นปกติ
3.2 เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไป
จากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นปกติ
ถ้าปฏิบัติได้ตามที่กล่าวนี้ มาพบหรือไม่มาพบ ขออนุญาตเป็นศิษย์หรือไม่ขออนุญาตก็ตาม ถ้าคิดว่าอยากจะ
เป็นศิษย์ ให้ทราบว่า อาตมารับเป็นศิษย์แล้วด้วยความเต็มใจ”
พระสุธรรมยานเถระ 25 ธ.ค.2527 (สมณศักดิ์ในขณะนั้น)
จากหนังสือประวัติครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานเคารพนับถือ
………………………………………………
วิธีการเก็บศิษย์ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1067
การขนศิษย์ไปนิพพาน
จาก "ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน"
โดย..วิถีแห่งธรรม โพสต์ในเว็บ www.tonkwamdee.com/forum/index.php?topic=8.0
"...พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีขั้นวิริยะธิกะใช้เวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และปรมัตถบารมีเต็มแล้วนั้น
ย่อมมีบริวารที่ปรารถนาจะเป็นสาวกร่วมกันมากมายมหาศาล และเมื่อพระมหาโพธิสัตว์ลงมาเกิดแต่ละชาตินั้น
บริวารส่วนใหญ่จะลงมาเกิดด้วยเพื่อสร้างบารมีให้เต็ม แต่จะมีบริวารอีกส่วนหนึ่งซึ่งอาจติดอยู่ในภพภูมิอื่นๆ
หรือลงมาเกิดไม่ทัน
ดังนั้นบริวารของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงตกค้างวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่บริวาร
ของสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นมา จนกว่าบารมีจะเต็มหรือมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ มา มาโปรด และได้ตามลงมา
เกิดด้วย เพื่อเร่งบำเพ็ญบารมีจนบรรลุอรหัตผลในพุทธกาลนั้นๆ
ผู้เขียนเคยถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า ท่านจะตัดตอนอยู่เก็บลูกศิษย์แค่ไหน [ ที่เหลือก็ฝากพระพุทธเจ้า
องค์ต่อไป ] ท่านตอบว่า
"ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่ !"
ท่านยืนยันว่าลูกศิษย์ของท่าน หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสี่ร้อยคนเศษนี้ ท่านพบหมดแล้ว [ ในภพภูมิต่างๆ ] ตั้งแต่
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๓ และส่วนใหญ่จะถึงนิพพานในชาตินี้ แต่ทุกคนจะถึงนิพพานหมดในชาติหน้า ท่านได้ยืนยัน
ความรู้นี้ไว้หลายแห่งด้วยกันกล่าวคือ
๑. ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดท่าซุง ท่านได้ให้จารึกไว้ในแผ่นทองบรรจุใต้แท่นพระประธาน
เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๙ ว่า
เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์
ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา
เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว ๒,๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
นามว่าศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว
๒. เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลานของท่านมีสุขคติเป็นที่ไป ท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ฝากลูกหลานของท่านไว้กับพระ พรหม
และเทพยดาทั้งหมดดังนี้
"ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข
พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้
ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉัน
ได้ทำไปแล้วทุกประการ แก่ลูกหลานของฉันทุกคน
เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความ
ปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน
มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว"
ถ้าเผอิญจะมีใครสงสัยในอธิษฐานบารมีขององค์ท่าน ก็ขอบอกกล่าวให้รู้ทั่วกันว่า อธิษฐานบารมีท่านเต็มมานานแล้ว
ตั้งแต่ก่อนชาติที่จะเกิดเป็น "พระร่วงวาจาสิทธิ์" ผู้สร้างเมืองศรีสัชนาลัยเสียอีก ท่านเคยสั่งลูกศิษย์ของท่านทุกคน
ไม่ให้แช่งใคร เพราะทุกคนเป็นลูกหลานพระร่วง แช่งคนแล้วจะมีผลตามนั้น
วิธีการเก็บของท่านเท่าที่ทราบมีอยู่ ๗ วิธีคือ
๑. การออกหมายเกณฑ์ คือการตั้งสัตยาธิษฐานว่า.....ถ้าผู้ใดเป็นเชื้อสายของท่าน เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด
ของท่าน หรือได้ฟังเทป หรือฟังวิทยุที่ท่านเทศน์ หรือได้อ่านได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่าน แล้วขอให้เกิดศรัทธา
ปสาทะจนต้องมาหาท่าน
๒. ฝากพระ พรหม หรือเทพยดา ให้ไปเข้าฝันตามตัวให้ หรือให้ไปบอกในสมาธิ
๓. ท่านไปเข้าฝันเอง ทำให้ต้องตามมาหาท่าน [ มีเรื่องเล่ากันหลายเรื่องแล้ว ] หรือไปสงเคราะห์ด้วยอภิญญา
๔. ตามเพื่อน ญาติ พี่น้อง หรือคนรัก มาวัดหรือซอยสายลม หรือที่อื่นๆ เพื่อมากราบท่าน แล้วก็มาติดใจหลวงพ่อ
๕. แสวงหาพระดีไปทั่วประเทศ พอมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงเข้าก็เลิกแสวงหา
๖. พอเห็นท่านครั้งแรกโดยบังเอิญก็ติดใจ ทำบุญด้วยทันที โดยไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร
คราวหนึ่ง ท่านขึ้นไปดอยตุงแล้วลงมาฉันก๋วยเตี๋ยวเพลอยู่ที่ร้านข้างถนน ที่อำเภอแม่สาย มีผู้หญิงอายุราว ๓๐ เศษ
คนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า ก็ไปซื้อลูกประคำมาถวายท่าน ท่านก็เอาประคำคล้องคอท่านทันที ( ตามปกติท่านจะไม่
คล้องลูกประคำ นอกจากเพื่อเจริญศรัทธาหมู่คณะเฉพาะงาน ) พวกเราก็ล้อท่าน ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า
" ท่านแม่มาบอกว่า น้องรักเขาถวาย คล้องให้กำลังใจเขาหน่อย "
๗. ท่านตามไปเก็บเอง เมื่อเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ทุกคนจะซาบซึ้งในมหากรุณาอันมหาศาลของท่านเอง โดยมิต้อง
ในที่นี้ เพราะท่านทำทุกๆ อย่าง เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานของท่านในทุกโอกาส.."
ธันวาคม 11, 2008, 10:27:31 AM : โดย..วิถีแห่งธรรม ?
หมายเหตุ:
ผู้ใช้นามว่า "วิธีแห่งธรรม" ได้รวบรวมเรื่องเกล็ดความรู้เหล่านี้ได้ดีมาก แต่ผู้หมายเหตุอยากจะขอเพิ่มเติม
สักเล็กน้อยเป็นข้อๆ ว่า
1 . หลวงพ่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าประเภท "วิริยะธิกะ" (คำที่ถูกต้องคือ "วิริยาธิกะ") หมายถึงมุ่งความเพียร
เป็นหลัก ความจริงหลวงพ่อท่านบอกพวกเรา เมื่อปี 2517 ที่บ้านสายลมว่า
"ถ้าข้าไม่ลาพุทธภูมิ พวกแกจะต้องตามไปเกิดอีก 7 ชาติ"
แต่ความจริงถ้าไม่ลาพุทธภูมิ พระมาบอกหลวงพ่อว่า บารมีจะเต็มตอนอายุ 60 ปี แต่เมื่อลาพุทธภูมิแล้วต้องทำกิจต่ออีก
12 ปี ห้ามตาย คนของคุณ..คนของท่านปู่พระอินทร์..คนของหลวงปู่ปาน..และคนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน ก็ยังมาไม่หมด
แล้วหลวงพ่อก็อยู่ต่อจนถึงปี 2527 (บันทึกการเล่าไว้ด้วย) ท่านบอกว่าสายของท่านมาครบแล้ว ส่วนคนของสมเด็จองค์
ปัจจุบันท่านเคยบอกว่า บางคนเวลาฝึกมโนมยิทธิ ยิ่งกว่าเรือเกลือ (หมายถึงไปได้ แต่ไปยาก คงจะเกิดนานเกินไปละมั้ง
ส่วนที่บอกว่าคนที่เหลือนั้น ไม่ได้ฝากองค์ปัจจุบันนะ..เข้าใจผิด แต่เป็นสายขององค์ท่านเอง)
ปี 2519 ได้เคยติดตามไปกับหลวงพ่อ ท่านเคยนำลูกศิษย์ไปพักที่เขื่อนยันฮี จังหวัดตาก หลังจากนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว
พระท่านมาพยากรณ์ว่า บางคนจะไปได้ในชาตินี้ บางคนต้องไปเกิดสมัยพระศรีอาริย์ แต่ท่านก็สรุปในตอนท้ายว่า
เวลานี้คนที่มานั่งอยู่ที่นี่ ที่ยังไม่มาอีกมากกว่านี้ ถ้าปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็จะไปได้ทุกคน
ไม่จำเป็นต้องรอไปชาติหน้า
ฉะนั้น ใครได้อ่านบันทึกของ "วิถีแห่งธรรม" นี้ อ่านแล้วมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็ต้องสรุปประเด็นให้เข้าใจดีๆ นะ
คนที่พบหลวงพ่อก่อนก็อาจจะไม่แน่นะ ตายแล้วอาจจะต้องเกิดอีก ถ้าหากยังประมาท อยู่ใกล้พระหรืออยู่ใกล้วัด
เกินไป แล้วปรามาสล่วงเกินกันโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็เป๋ไปที่อื่นต่ออีก กรรมบางอย่างเข้าบังตาบังใจ แล้วดลใจให้
ต่างทิฏฐิ เพราะไปได้ฟังคำสอนของที่ไม่จริง เวลานี้มีตัวอย่างเยอะแยะ
แม้แต่สายหลวงพ่อเองก็มี บางคนสอนว่าไม่จำเป็นต้องสร้างพระใหญ่ๆ ไม่จำเป็นต้องทำบุญที่ไหน มุ่งปฏิบัติทางจิตใจ
อย่างเดียว ทั้งที่วัดท่าซุงต้องซ่อมหลายแห่งในวัด และสร้างตึกสมบัติพ่อให้หรือสร้างพระนอนใหญ่ เพื่อตอบแทนพระคุณ
ครูบาอาจารย์ที่วัดสุขุมาราม เป็นต้น เมื่อผู้ที่รับฟังแล้วก็เชื่อถือ บางคนถึงกับบอกว่า ต่อไปนี้การทำบุญต้องเบาๆ ลงไป
บ้างนะ แต่ความจริงถ้าเศรษฐกิจไม่ดี การทำบุญก็ต้องดูความเหมาะสม อย่างนี้ก็น่าเห็นใจนะ
แต่ถึงกับพิมพ์หนังสือออกมาแจกกันด้วย ซึ่งมีข้อแนะนำบางประการ ฟังดูแล้วนึกว่าดี หากพิจารณาให้ดีๆ สมัยที่หลวงพ่อ
ยังมีชีวิตอยู่ กรณีที่พระท่านยังมาสั่งให้บูรณะพระอุโบสถ ด้วยการปิดทองคำเปลวที่หลังคาทั้งหลัง นี่แสดงว่าพระพุทธเจ้า
และหลวงพ่อก็ยังปรารถนาให้คนสร้างทานบารมีอยู่นะ
ฉะนั้น ผู้ที่พบหลวงพ่อภายหลัง หมายถึงพบภายหลังคนอื่นๆ หรือพบตอนหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วก๊ดี ถ้าไม่ประมาท
ไม่ก้าวก่ายเรื่องของสงฆ์ หมั่นทำความดี ทำบุญให้ทานตามที่หลวงพ่อสอน (ควรนำคำสอนบางข้อมาเปรียบเทียบกับ
คำสอนของหลวงพ่อด้วย แล้วก็มีคนเก่าบางคนดูหมิ่นอีกว่า ไม่ได้อะไรหรอก มัวแต่ทำเว็บนะ..ว่าเข้าไปนั่น) ทำจิตเข้า
ถึงกระแสพระนิพพาน อย่างน้อยได้ "พระโสดาบัน" หลวงพ่อยืนยันว่า
"ในเวลาใกล้ตาย..ได้ไปนิพพานแน่นอน..!!!"
2. ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดท่าซุง ท่านได้ให้จารึกไว้ในแผ่นทองบรรจุใต้แท่นพระประธาน เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๑๙ (ข้อมูลนี้คลาดเคลื่อน ความจริงหลวงพ่อได้บรรจุไว้ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2520)
3. เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความ
ปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน
มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว "
คำอธิษฐานตอนนี้ เป็นคำอธิษฐานที่ผู้หมายเหตุเป็นผู้เก็บบันทึกของท่านไว้เอง แล้วเป็นผู้เปิดเผยในหนังสือบางเล่ม
คือ สมัยนั้นหลวงพ่อยังพบลูกของท่านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มี คุณนนทา คุณสิริรัตน์ (ตุ๋ย) คุณวาสนา (หมู) คุณพิมพา
เป็นต้น หมายถึงท่านยังไม่พบลูกทั้งหมดประมาณแสนเศษนี่นะ และตอนนั้นก็ยังไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลัง
คำอธิษฐานของท่านในตอนนั้นกับตอนนี้ จึงต่างกรรมต่างวาระ ต่างบุคคลต่างเวลา เพราะอารมณ์ของคนต่างกัน
4. ส่วนที่ว่าท่านขึ้นไป "ดอยตุง" แล้วมีผู้หญิงอายุราว ๓๐ เศษคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า ก็ไปซื้อลูกประคำมาถวายท่าน
ท่านก็เอาประคำคล้องคอท่านทันที ( ตามปกติท่านจะไม่คล้องลูกประคำ นอกจากเพื่อเจริญศรัทธาหมู่คณะเฉพาะงาน )
การคล้องประคำของหลวงพ่อในที่สาธารณะครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ครั้งแรกของท่านจริงๆ ก็คือ ประมาณปี พ.ศ. 2517
หลวงพ่อได้เดินทางไปวัดพระบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ชาวกะเหรี่ยงได้เข้าไปถวายลูกประคำ หลวงพ่อรับแล้วท่านก็นำไป
สวมคอของท่านทันที ภาพที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ นั่นเป็นภาพที่วัดพระบาทห้วยต้ม
5. การออกหมายเกณฑ์ คือการตั้งสัตยาธิษฐานของหลวงพ่อ (ข้อนี้ก็เข้าใจคลาดเคลื่อน หลวงพ่อไม่ได้อธิษฐานแบบนั้น
ถ้าไปย้อนอ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" เมื่อปี 2515 ท่านปู่พระอินทร์ ต่างหาก ที่เป็นผู้รับอาสาจะกวาดต้อนคน
ของหลวงพ่อ คนของหลวงปูปาน คนของท่านปู่เอง และคนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และตอนท้ายใกล้มรณภาพ
พระศรีอาริย์ก็มาฝากคนของท่านอีก 3 แสนเศษ)
ในท้ายที่สุดนี้ การที่ได้เพิ่มเติมข้อมูลบางอย่าง เพื่อเป็นบรรทัดฐานไว้ หากผิดพลาดหรือล่วงเกินประการใด ผู้หมายเหตุ
ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย.
การรับศิษย์และวิธีการเก็บศิษย์ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
https://www.facebook.com/110724686157857/photos/a.111655522731440/439221526641503/?type=3
การรับศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
“ทุกคนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน
ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ
1. ศิษย์ชั้น 3 พยายามรักษาศีล 5 เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วน
ให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น 3 คือศิษย์ขนาดจิ๋ว
2. ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร
ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง
3. ศิษย์เอก มีปฏิปทาดังนี้
3.1 รักษาศีล 5 ครบถ้วนเป็นปกติ
3.2 เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไป
จากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นปกติ
ถ้าปฏิบัติได้ตามที่กล่าวนี้ มาพบหรือไม่มาพบ ขออนุญาตเป็นศิษย์หรือไม่ขออนุญาตก็ตาม ถ้าคิดว่าอยากจะ
เป็นศิษย์ ให้ทราบว่า อาตมารับเป็นศิษย์แล้วด้วยความเต็มใจ”
พระสุธรรมยานเถระ 25 ธ.ค.2527 (สมณศักดิ์ในขณะนั้น)
จากหนังสือประวัติครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานเคารพนับถือ
………………………………………………
วิธีการเก็บศิษย์ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1067
การขนศิษย์ไปนิพพาน
จาก "ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน"
โดย..วิถีแห่งธรรม โพสต์ในเว็บ www.tonkwamdee.com/forum/index.php?topic=8.0
"...พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีขั้นวิริยะธิกะใช้เวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และปรมัตถบารมีเต็มแล้วนั้น
ย่อมมีบริวารที่ปรารถนาจะเป็นสาวกร่วมกันมากมายมหาศาล และเมื่อพระมหาโพธิสัตว์ลงมาเกิดแต่ละชาตินั้น
บริวารส่วนใหญ่จะลงมาเกิดด้วยเพื่อสร้างบารมีให้เต็ม แต่จะมีบริวารอีกส่วนหนึ่งซึ่งอาจติดอยู่ในภพภูมิอื่นๆ
หรือลงมาเกิดไม่ทัน
ดังนั้นบริวารของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงตกค้างวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่บริวาร
ของสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นมา จนกว่าบารมีจะเต็มหรือมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ มา มาโปรด และได้ตามลงมา
เกิดด้วย เพื่อเร่งบำเพ็ญบารมีจนบรรลุอรหัตผลในพุทธกาลนั้นๆ
ผู้เขียนเคยถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า ท่านจะตัดตอนอยู่เก็บลูกศิษย์แค่ไหน [ ที่เหลือก็ฝากพระพุทธเจ้า
องค์ต่อไป ] ท่านตอบว่า
"ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่ !"
ท่านยืนยันว่าลูกศิษย์ของท่าน หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสี่ร้อยคนเศษนี้ ท่านพบหมดแล้ว [ ในภพภูมิต่างๆ ] ตั้งแต่
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๓ และส่วนใหญ่จะถึงนิพพานในชาตินี้ แต่ทุกคนจะถึงนิพพานหมดในชาติหน้า ท่านได้ยืนยัน
ความรู้นี้ไว้หลายแห่งด้วยกันกล่าวคือ
๑. ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดท่าซุง ท่านได้ให้จารึกไว้ในแผ่นทองบรรจุใต้แท่นพระประธาน
เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๙ ว่า
เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์
ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา
เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว ๒,๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช
นามว่าศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป
คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว
๒. เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลานของท่านมีสุขคติเป็นที่ไป ท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ฝากลูกหลานของท่านไว้กับพระ พรหม
และเทพยดาทั้งหมดดังนี้
"ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข
พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้
ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉัน
ได้ทำไปแล้วทุกประการ แก่ลูกหลานของฉันทุกคน
เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความ
ปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน
มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว"
ถ้าเผอิญจะมีใครสงสัยในอธิษฐานบารมีขององค์ท่าน ก็ขอบอกกล่าวให้รู้ทั่วกันว่า อธิษฐานบารมีท่านเต็มมานานแล้ว
ตั้งแต่ก่อนชาติที่จะเกิดเป็น "พระร่วงวาจาสิทธิ์" ผู้สร้างเมืองศรีสัชนาลัยเสียอีก ท่านเคยสั่งลูกศิษย์ของท่านทุกคน
ไม่ให้แช่งใคร เพราะทุกคนเป็นลูกหลานพระร่วง แช่งคนแล้วจะมีผลตามนั้น
วิธีการเก็บของท่านเท่าที่ทราบมีอยู่ ๗ วิธีคือ
๑. การออกหมายเกณฑ์ คือการตั้งสัตยาธิษฐานว่า.....ถ้าผู้ใดเป็นเชื้อสายของท่าน เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด
ของท่าน หรือได้ฟังเทป หรือฟังวิทยุที่ท่านเทศน์ หรือได้อ่านได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่าน แล้วขอให้เกิดศรัทธา
ปสาทะจนต้องมาหาท่าน
๒. ฝากพระ พรหม หรือเทพยดา ให้ไปเข้าฝันตามตัวให้ หรือให้ไปบอกในสมาธิ
๓. ท่านไปเข้าฝันเอง ทำให้ต้องตามมาหาท่าน [ มีเรื่องเล่ากันหลายเรื่องแล้ว ] หรือไปสงเคราะห์ด้วยอภิญญา
๔. ตามเพื่อน ญาติ พี่น้อง หรือคนรัก มาวัดหรือซอยสายลม หรือที่อื่นๆ เพื่อมากราบท่าน แล้วก็มาติดใจหลวงพ่อ
๕. แสวงหาพระดีไปทั่วประเทศ พอมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงเข้าก็เลิกแสวงหา
๖. พอเห็นท่านครั้งแรกโดยบังเอิญก็ติดใจ ทำบุญด้วยทันที โดยไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร
คราวหนึ่ง ท่านขึ้นไปดอยตุงแล้วลงมาฉันก๋วยเตี๋ยวเพลอยู่ที่ร้านข้างถนน ที่อำเภอแม่สาย มีผู้หญิงอายุราว ๓๐ เศษ
คนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า ก็ไปซื้อลูกประคำมาถวายท่าน ท่านก็เอาประคำคล้องคอท่านทันที ( ตามปกติท่านจะไม่
คล้องลูกประคำ นอกจากเพื่อเจริญศรัทธาหมู่คณะเฉพาะงาน ) พวกเราก็ล้อท่าน ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า
" ท่านแม่มาบอกว่า น้องรักเขาถวาย คล้องให้กำลังใจเขาหน่อย "
๗. ท่านตามไปเก็บเอง เมื่อเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ทุกคนจะซาบซึ้งในมหากรุณาอันมหาศาลของท่านเอง โดยมิต้อง
ในที่นี้ เพราะท่านทำทุกๆ อย่าง เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานของท่านในทุกโอกาส.."
ธันวาคม 11, 2008, 10:27:31 AM : โดย..วิถีแห่งธรรม ?
หมายเหตุ:
ผู้ใช้นามว่า "วิธีแห่งธรรม" ได้รวบรวมเรื่องเกล็ดความรู้เหล่านี้ได้ดีมาก แต่ผู้หมายเหตุอยากจะขอเพิ่มเติม
สักเล็กน้อยเป็นข้อๆ ว่า
1 . หลวงพ่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าประเภท "วิริยะธิกะ" (คำที่ถูกต้องคือ "วิริยาธิกะ") หมายถึงมุ่งความเพียร
เป็นหลัก ความจริงหลวงพ่อท่านบอกพวกเรา เมื่อปี 2517 ที่บ้านสายลมว่า
"ถ้าข้าไม่ลาพุทธภูมิ พวกแกจะต้องตามไปเกิดอีก 7 ชาติ"
แต่ความจริงถ้าไม่ลาพุทธภูมิ พระมาบอกหลวงพ่อว่า บารมีจะเต็มตอนอายุ 60 ปี แต่เมื่อลาพุทธภูมิแล้วต้องทำกิจต่ออีก
12 ปี ห้ามตาย คนของคุณ..คนของท่านปู่พระอินทร์..คนของหลวงปู่ปาน..และคนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน ก็ยังมาไม่หมด
แล้วหลวงพ่อก็อยู่ต่อจนถึงปี 2527 (บันทึกการเล่าไว้ด้วย) ท่านบอกว่าสายของท่านมาครบแล้ว ส่วนคนของสมเด็จองค์
ปัจจุบันท่านเคยบอกว่า บางคนเวลาฝึกมโนมยิทธิ ยิ่งกว่าเรือเกลือ (หมายถึงไปได้ แต่ไปยาก คงจะเกิดนานเกินไปละมั้ง
ส่วนที่บอกว่าคนที่เหลือนั้น ไม่ได้ฝากองค์ปัจจุบันนะ..เข้าใจผิด แต่เป็นสายขององค์ท่านเอง)
ปี 2519 ได้เคยติดตามไปกับหลวงพ่อ ท่านเคยนำลูกศิษย์ไปพักที่เขื่อนยันฮี จังหวัดตาก หลังจากนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว
พระท่านมาพยากรณ์ว่า บางคนจะไปได้ในชาตินี้ บางคนต้องไปเกิดสมัยพระศรีอาริย์ แต่ท่านก็สรุปในตอนท้ายว่า
เวลานี้คนที่มานั่งอยู่ที่นี่ ที่ยังไม่มาอีกมากกว่านี้ ถ้าปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็จะไปได้ทุกคน
ไม่จำเป็นต้องรอไปชาติหน้า
ฉะนั้น ใครได้อ่านบันทึกของ "วิถีแห่งธรรม" นี้ อ่านแล้วมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็ต้องสรุปประเด็นให้เข้าใจดีๆ นะ
คนที่พบหลวงพ่อก่อนก็อาจจะไม่แน่นะ ตายแล้วอาจจะต้องเกิดอีก ถ้าหากยังประมาท อยู่ใกล้พระหรืออยู่ใกล้วัด
เกินไป แล้วปรามาสล่วงเกินกันโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็เป๋ไปที่อื่นต่ออีก กรรมบางอย่างเข้าบังตาบังใจ แล้วดลใจให้
ต่างทิฏฐิ เพราะไปได้ฟังคำสอนของที่ไม่จริง เวลานี้มีตัวอย่างเยอะแยะ
แม้แต่สายหลวงพ่อเองก็มี บางคนสอนว่าไม่จำเป็นต้องสร้างพระใหญ่ๆ ไม่จำเป็นต้องทำบุญที่ไหน มุ่งปฏิบัติทางจิตใจ
อย่างเดียว ทั้งที่วัดท่าซุงต้องซ่อมหลายแห่งในวัด และสร้างตึกสมบัติพ่อให้หรือสร้างพระนอนใหญ่ เพื่อตอบแทนพระคุณ
ครูบาอาจารย์ที่วัดสุขุมาราม เป็นต้น เมื่อผู้ที่รับฟังแล้วก็เชื่อถือ บางคนถึงกับบอกว่า ต่อไปนี้การทำบุญต้องเบาๆ ลงไป
บ้างนะ แต่ความจริงถ้าเศรษฐกิจไม่ดี การทำบุญก็ต้องดูความเหมาะสม อย่างนี้ก็น่าเห็นใจนะ
แต่ถึงกับพิมพ์หนังสือออกมาแจกกันด้วย ซึ่งมีข้อแนะนำบางประการ ฟังดูแล้วนึกว่าดี หากพิจารณาให้ดีๆ สมัยที่หลวงพ่อ
ยังมีชีวิตอยู่ กรณีที่พระท่านยังมาสั่งให้บูรณะพระอุโบสถ ด้วยการปิดทองคำเปลวที่หลังคาทั้งหลัง นี่แสดงว่าพระพุทธเจ้า
และหลวงพ่อก็ยังปรารถนาให้คนสร้างทานบารมีอยู่นะ
ฉะนั้น ผู้ที่พบหลวงพ่อภายหลัง หมายถึงพบภายหลังคนอื่นๆ หรือพบตอนหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วก๊ดี ถ้าไม่ประมาท
ไม่ก้าวก่ายเรื่องของสงฆ์ หมั่นทำความดี ทำบุญให้ทานตามที่หลวงพ่อสอน (ควรนำคำสอนบางข้อมาเปรียบเทียบกับ
คำสอนของหลวงพ่อด้วย แล้วก็มีคนเก่าบางคนดูหมิ่นอีกว่า ไม่ได้อะไรหรอก มัวแต่ทำเว็บนะ..ว่าเข้าไปนั่น) ทำจิตเข้า
ถึงกระแสพระนิพพาน อย่างน้อยได้ "พระโสดาบัน" หลวงพ่อยืนยันว่า
"ในเวลาใกล้ตาย..ได้ไปนิพพานแน่นอน..!!!"
2. ในการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดท่าซุง ท่านได้ให้จารึกไว้ในแผ่นทองบรรจุใต้แท่นพระประธาน เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๑๙ (ข้อมูลนี้คลาดเคลื่อน ความจริงหลวงพ่อได้บรรจุไว้ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2520)
3. เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความ
ปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน
มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว "
คำอธิษฐานตอนนี้ เป็นคำอธิษฐานที่ผู้หมายเหตุเป็นผู้เก็บบันทึกของท่านไว้เอง แล้วเป็นผู้เปิดเผยในหนังสือบางเล่ม
คือ สมัยนั้นหลวงพ่อยังพบลูกของท่านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มี คุณนนทา คุณสิริรัตน์ (ตุ๋ย) คุณวาสนา (หมู) คุณพิมพา
เป็นต้น หมายถึงท่านยังไม่พบลูกทั้งหมดประมาณแสนเศษนี่นะ และตอนนั้นก็ยังไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลัง
คำอธิษฐานของท่านในตอนนั้นกับตอนนี้ จึงต่างกรรมต่างวาระ ต่างบุคคลต่างเวลา เพราะอารมณ์ของคนต่างกัน
4. ส่วนที่ว่าท่านขึ้นไป "ดอยตุง" แล้วมีผู้หญิงอายุราว ๓๐ เศษคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า ก็ไปซื้อลูกประคำมาถวายท่าน
ท่านก็เอาประคำคล้องคอท่านทันที ( ตามปกติท่านจะไม่คล้องลูกประคำ นอกจากเพื่อเจริญศรัทธาหมู่คณะเฉพาะงาน )
การคล้องประคำของหลวงพ่อในที่สาธารณะครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ครั้งแรกของท่านจริงๆ ก็คือ ประมาณปี พ.ศ. 2517
หลวงพ่อได้เดินทางไปวัดพระบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ชาวกะเหรี่ยงได้เข้าไปถวายลูกประคำ หลวงพ่อรับแล้วท่านก็นำไป
สวมคอของท่านทันที ภาพที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ นั่นเป็นภาพที่วัดพระบาทห้วยต้ม
5. การออกหมายเกณฑ์ คือการตั้งสัตยาธิษฐานของหลวงพ่อ (ข้อนี้ก็เข้าใจคลาดเคลื่อน หลวงพ่อไม่ได้อธิษฐานแบบนั้น
ถ้าไปย้อนอ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" เมื่อปี 2515 ท่านปู่พระอินทร์ ต่างหาก ที่เป็นผู้รับอาสาจะกวาดต้อนคน
ของหลวงพ่อ คนของหลวงปูปาน คนของท่านปู่เอง และคนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และตอนท้ายใกล้มรณภาพ
พระศรีอาริย์ก็มาฝากคนของท่านอีก 3 แสนเศษ)
ในท้ายที่สุดนี้ การที่ได้เพิ่มเติมข้อมูลบางอย่าง เพื่อเป็นบรรทัดฐานไว้ หากผิดพลาดหรือล่วงเกินประการใด ผู้หมายเหตุ
ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย.