JJNY : 5in1 พิธาให้กำลังใจครม.เศรษฐา│ร้องเปลี่ยนระบบทหาร│สื่อนอกตีข่าว│ตลาดที่อยู่อาศัยปี66 น่าห่วง│ประจำการ“ซาร์มัต”

พิธา ให้กำลังใจครม.เศรษฐา ทำตามสัจจะ ยึดมั่นสัญญากับประชาชน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4160083
 
 
‘พิธา’ ให้กำลังใจครม.เศรษฐา ทำตามสัจจะ ยึดมั่นสัญญากับประชาชน
 
เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่จังหวัดระยอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่ช่วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.ระยอง ถึง ครม.เศรษฐา 1 ว่าขอให้ยึดมั่นในคำมั่นสัญญา และสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชน ขอเป็นกำลังใจให้
 
เมื่อสอบถามถึงกรณีพระราชทานอภัยโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร นายพิธาตอบสั้นๆ ว่า เป็นสิทธิของคุณทักษิณที่มีสิทธิขออภัยโทษ ส่วนเรื่องที่ว่ามีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่ทุกคนควรมีเท่าเทียมกัน
 


ร้อง รัฐบาลใหม่ เปลี่ยนระบบทหารให้ดีขึ้น ทั้งปฏิรูป-พัฒนา ชี้ที่ผ่านมาล่าช้า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7846273

ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม รัฐบาลใหม่ เปลี่ยนแปลงระบบทหารให้ดีขึ้น ทั้งปฏิรูป-พัฒนา ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน
 
วันที่ 2 ก.ย.2566 นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบทหารให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และเป็นทหารอาชีพ
 
จากกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝากความหวัง รมว.กลาโหม คนใหม่ ให้”ปฏิรูป”กองทัพนั้น วันรุ่งขึ้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะ”พัฒนา”ไปร่วมกันกับกองทัพ โดยจะต้องดูกันตามความเหมาะสม และต้องพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพทั้งหมด ซึ่งทุกอย่างอยู่ในแผนการเจรจา
 
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาแถลงว่ามีประกาศนโยบายซึ่งสอดคล้องกับการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพปี 2560-2569 ทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดหน่วยให้มีขนาดเล็กลง ลดการใช้งบประมาณรายจ่ายของประเทศ การปรับลดอัตราทหารประจําการ โดยนํากําลังพลสํารองเข้ามาร่วมปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังดํารงสภาพความพร้อมรบให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน
 
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพที่ผ่านมาเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและล่าช้า ตลอดจนไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง เป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปฏิรูปและพัฒนาอย่างจริงจังให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
 
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตัวอย่างดังกรณี พลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโท สึกจากการเป็นพระภิกษุมาสมัครเป็นทหารเกณฑ์ ถูกซ้อมทรมานในค่ายทหารและเสียชีวิต ผ่านมา 13 ปีแล้วก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมและมีการแก้ไขเชิงระบบที่ชัดเจน
 
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หวังว่าจะมีเรื่องการปฏิรูปและพัฒนากองทัพอยู่ในนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาก่อนการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ได้ระบบทหารและกองทัพได้ทหารที่มีคุณภาพ เป็นนักประชาธิปไตย เป็นทหารอาชีพ เป็นทหารโดยสมัครใจ และเป็นทหารที่มีอนาคตมีความก้าวหน้าในอาชีพทหาร และได้รับการยอมรับตลอดจนความเชื่อถือจากสังคม
 
กรณีพลทหารวิเชียร เผือกสม เป็นพลทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/2554 สังกัด ร.151 พัน.3 ถูกกระทำการละเมิดซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่ทหารรวม 9 คน ณ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายจากการบาดเจ็บสาหัส ไตวายเฉียบพลัน และกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในวันที่ 5 มิถุนายน 2554
 
นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาปี 2 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เดินสายไปยื่นหนังสือติดตามความคืบหน้า ทวงความยุติธรรมให้กับน้าชายของเธอ
 
นริศราวัลย์ ถูกคู่กรณียศร้อยโท ซึ่งเป็นบุตรชายของนายทหารชั้นนายพล ที่เคยมีอิทธิพลสูงในกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งชุดจับกุมของตำรวจบุกมาจับกุมเธอถึงที่ทำงานในหน่วยงานราชการ โดยไม่มีการออกหมายเรียกมาก่อน แต่ต่อมาอัยการที่คำสั่งไม่ฟ้อง
 
ไม่รวมถึงการถูกข่มขู่คุกคาม ส่งกระสุนปืนในซองธูป ส่งคนปลอมตัวเป็นขายไอศครีมไปตามหาบ้าน หรือขับรถติดตาม
 
ต่อมาพนักงานอัยการศาลทหารเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายทหารยศร้อยโทกับเจ้าหน้าที่ทหารรวม 9 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นทหารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา
 
นริศราวัลย์ และครอบครัวสู้คดีมากว่า 13 ปี ล่าสุด วันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลนัดอ่านคำพิพากษา แต่ศาลมณฑลทหารบกที่ 46 จ.ปัตตานี เลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี โดยระบุว่า มีปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ประกอบกับศาลมีคดีต้องพิจารณาเป็นจำนวนมากจึงไม่สามารถทำคำพิพากษาให้แล้วเสร็จ และนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 25 ตุลาคม 2566

ขณะที่คดีแพ่งจบไปแล้วตั้งแต่ปี 2557 โดยศาลตัดสินให้กองทัพบกและสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกันชดเชยสินไหมให้กับครอบครัวเป็นเงิน 7 ล้านกว่าบาท



สื่อนอกตีข่าว ไทยได้ครม.ชุดใหม่ นายกฯเศรษฐา นั่งควบ ‘ขุนคลัง’ มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา
https://www.matichon.co.th/foreign/news_4159758

รอยเตอร์ตีข่าว ไทยได้ ครม.ชุดใหม่ นายกฯเศรษฐา นั่งควบ ‘ขุนคลัง’ มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา
 
เมื่อวันที่ 2 กันยายน สื่อต่างประเทศที่เกาะติดการเมืองไทยอย่างสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ยังได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังควบอีกตำแหน่ง ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วในวันที่ 2 กันยายนนี้ ในขณะที่นายเศรษฐา ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พยายามมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดำเนินการตามคำมั่นที่ได้หาเสียงไว้
 
รอยเตอร์ชี้ว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่ประสบภาวะถดถอยเนื่องจากการส่งออกและการลงทุนที่อ่อนแอ จะเป็นหนึ่งในภารกิจที่ใหญ่ที่สุดสำหรับมือใหม่ทางการเมืองอย่างนายเศรษฐา ที่ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากเกิดความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อมายาวนานหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
 
รอยเตอร์ระบุอีกว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งแล้วนั้น จะเห็นพรรคเพื่อไทยของนายเศรษฐา ที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชินวัตร กำกับดูแลงานกระทรวงกลาโหม คมนาคม พาณิชย์ สาธารณสุข และกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะคุมกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินนโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย รวมถึงการแจกเงิน 10,000 บาท ในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัล
 
รอยเตอร์ระบุด้วยว่า การก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างรวดเร็วของนายเศรษฐา การกลับมาอย่างราบรื่นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วระหว่างพรรคเพื่อไทยและอดีตพรรคคู่ปรับ ได้ทำให้เกิดการคาดเดาถึงการมีการทำข้อตกลงระหว่างนายทักษิณกับศัตรูของเขาท่ามกลางฝ่ายอนุรักษนิยมและกองทัพที่ทรงอำนาจในประเทศ ซึ่งนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น



ตลาดที่อยู่อาศัย ปี 66 น่าห่วง หนี้ครัวเรือน-ดอกเบี้ยพุ่ง ฉุดกำลังซื้อ
https://www.thansettakij.com/real-estate/574998

ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 ยังน่าห่วง หลังกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบกำลังซื้อประชาชน ขณะภาพรวมกิจกรรมการซื้อขายในตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลด
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับโจทย์ความต้องการซื้อที่จำกัดเนื่องจากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง 
 
รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้น และน่าจะยังยืนระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอาจหดตัวราว 7.8% ในปี2566
 
ตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน ภาพรวมกิจกรรมการซื้อขายในตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา แม้ตลาดยังพอมีปัจจัยบวกจากการกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติ 
 
รวมทั้งมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนองที่อยู่อาศัยสำหรับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท การจัดโปรโมชั่นอย่างหนักของผู้ประกอบการในการเร่งระบายที่อยู่อาศัยรอขาย แต่เนื่องจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยได้ถูกดูดซับไปในช่วงก่อนหน้าโดยเฉพาะในช่วงที่มีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV 
 
ขณะเดียวกันกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีหนี้ที่สูง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น มีผลต่อภาระผ่อนต่อเดือนและวงเงินสินเชื่อใหม่ "เบื้องต้นดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นในช่วง ก.ย.65 - ก.ค.66 มีผลต่อภาระผ่อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 13%" ส่งผลให้สถานการณ์ตลาดอยู่ในภาวะที่ซึมตัว
 
โดยพบว่า ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2566 การจองซื้อที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลหดตัวประมาณ 12% (YoY) ขณะที่ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลช่วงครึ่งปีแรกหดตัวประมาณ 3% (YoY)
 
อย่างไรก็ตามคาดหวังว่าในปี 67 ปัจจัยต่างๆ อาจจะนิ่งขึ้น และทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอาจพลิกกลับมาเติบโต 1.2%-4.6% ในปี 2567 
 
โดยยังต้องติดตามรายละเอียดและจังหวะเวลาของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเน้นการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางลงล่าง 
รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่อาจเกี่ยวเนื่องกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ หากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็น่าจะมีส่วนช่วยหนุนกิจกรรมการซื้อขายที่อยู่อาศัยในปี 2567
 
โจทย์ท้าทายที่สำคัญ 3 เรื่อง สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย
 
1. ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จากที่อยู่อาศัยสะสมรอขายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่คาอยู่ในระดับสูงกว่า 2 แสนหน่วยเป็นเวลานานกว่า 6 ปีแล้ว โดยในช่วงครึ่งแรกปี2566 ที่อยู่อาศัยสะสมรอขาย ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีจำนวน 2.2 แสนหน่วย ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลากว่า 3 ปีในการระบาย (กรณีที่ไม่มีการเปิดที่อยู่อาศัยใหม่เพิ่ม) ขณะเดียวกัน สัดส่วนจำนวนที่อยู่อาศัยรอขายต่อจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจากนิติบุคคลในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.4 เท่า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง (แม้ทั้งสองเครื่องชี้อาจจะมีความเหลื่อมด้านเวลาของการจองซื้อ/ผ่อนดาวน์/ก่อสร้าง ก่อนที่จะโอนกรรมสิทธิ์) จากยอดจองซื้อโครงการเปิดตัวใหม่ในช่วงหลังที่ต่ำลง ทำให้มีจำนวนที่อยู่อาศัยทยอยเข้ามาสะสมเพิ่มขึ้น และในบางพื้นที่ที่ผู้ประกอบการหันมาลงทุนโครงการใหม่ในช่วงเวลาใกล้กัน อีกทั้งส่วนหนึ่งยังเป็นผลจากการแข่งขันกับที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายในตลาดเป็นจำนวนมากและก็ได้รับการตอบรับจากตลาดดีขึ้นเช่นกันสะท้อนจากการโอนกรรมสิทธ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จากบุคคลธรรมดา ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ที่มีสัดส่วนกว่า 50% ของยอดโอนฯทั้งหมด (นิติบุคคล+บุคคลธรรมดา) เพิ่มขึ้นจากที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40% ในช่วงก่อนโควิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่