ขอเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเรียนจบมา และหางานทำดีๆได้เงินเดือนเยอะพอสมควร ใช้เงินแบบกินหรูอยู่สบาย ในความกินหรูอยู่สบายเราคือต้องมีพ่อแม่และพี่ด้วย วันหยุดชวนแม่ไปกินข้าวห้าง วันไหนอยากไปกินอาหารดีๆถ่ายรูปกับพ่อแม่ ก็ไปเลยโดยไม่คิด หรืออยากชวนแม่บินไปกินข้าวที่ กรุงเทพร้านอาหารหรูๆ ก็ไปเลยส่วนใหญ่จะไปกับแม่ เพราะพ่อทำงาน เราจะไม่มีเงินเก็บเพราะหมดไปกับแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ประมาณ 4-5 ปี และแต่งงานมีสามี ตอนพึ่งแต่งงานปีแรก พวกเรามีความสุขกันมาใช้ชีวิตกินหรูอยู่สบาย โดยมีพ่อแม่ก็สุขสบายไปด้วย โรงแรมก็ต้องไป 5 ดาว เอาเป็นว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย เรื่องเงินสามีแล้วแต่เราจะใช้ เราเป็นคนเก็บเงิน หลังจากนั้นเราออกจากงานไปอยู่บ้านสามี สามีและเราลงทุนเปิดร้านอาหาร ที่ต่างจังหวัดบ้านสามี แต่ธุรกิจก็ไม่เป็นไปตามฝัน แต่ก่อนเราเคยให้เงินเดือนแม่ แต่หลังทำธุรกิจก็ไม่มีเงินให้ทางบ้าน เพราะแค่ตัวเราเองก็หมุนเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้แม่เข้าใจและช่วยให้กำลังใจเสมอมา ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่แย่ ที่สุดในชีวิต เปิดร้านอาหารมา 2 ปี เราและสามีไม่เคยได้ ซื้อเสื้อผ้าใหม่ กินอย่างประหยัด จะซื้อไก่ 1 ตัวยังต้องคิด กินเคเอฟซีก็ต้องคิด โลชั่นครีมทาหน้ากันแดด เราตัดออกหมด รองเท้าผ้าใบเราใส่จนขาด เราและสามีเลยคิดจะปิดร้านกลับมาอยู่กับพ่อแม่เรา เราถามแม่ก่อนว่า ถ้าหนูกลับไปอยู่ด้วย เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งตอนนี้หนูไม่มีเงินเลย หนูไปอยู่ด้วยได้ไหม พูดกับแม่ตรงๆว่าไปพึ่งพาอาศัย เพราะหมดเงิน แม่และพ่อเรายินดี เริ่มต้นกันใหม่ได้ พี่เราก็จะช่วยเรื่องเงิน เพราะพี่อยู่ต่างประเทศพอมีเงิน แต่เราเกรงใจ เราไม่เอา แค่อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่เราเป็นคนปากตรงๆใช้คำพูดที่ไม่ประดิษฐ์ เราเลยพูดไปว่า ญาติๆ (หมายถึง ลุง ป้า น้า อา ที่พึ่งจะมาคบหากันใหม่หลังจากต่างคนต่างไป ) ถ้าจะมารอกินกับเรา เราไม่มีนะ รอกินนะที่นี้คือ งานเลี้ยงเรากลับมา สามีมีฐานะ จะกลับมาต้องฉลองกันหน่อย ที่เราพูดออกไปเพราะเงินในกระเป๋า เหลือแค่หมื่นต้นๆ ค่าเครื่องกลับก็จะหมดแล้ว คำพูดนี้เราไม่คิดว่าแม่จะมาคิดมาก แม่บอกว่าไม่มีใครรอกินของใครหรอก ทุกคนออกกัน เราก็โอเคสบายใจ พอเรากลับมาอยู่บ้าน ค่าใช้จ่ายที่บ้านส่วนใหญ่แม่เป็นคนออก ถ้ามี100% แม่จะออกอยู่ที่ 60%-70% อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน เดือนที่ 4 สามีกลับไปอยู่บ้านตัวเองเพราะเริ่มหางานทำได้ เป็นรับจ้างทำงานเป็นโปรเจกต์ๆ ไปก่อน เรามาอยู่บ้าน เราไม่ค่อยได้ออกไปไหน แม่ชวนไปกินอะไรเราไปได้แค่ก๋วยเตี๋ยว ถ้าเป็นอย่างอื่นเราไม่ไหว แม่ก็เข้าใจว่าเราต้องประหยัด แต่วันสำคัญเราก็ไปร้านหรูดีๆเหมือนกัน นานๆทีพาพ่อแม่ไป แต่คนรอบข้างมักจะถามทำไมไม่พากันไปเที่ยวบ้าง ไม่พากันไปกินข้าวนอกบ้านบ้างเพราะเราไม่ได้พาไปไหน แม่เรา 2 ปีมานี้จะอู้ฟู่ กับเพื่อนและญาติ เพราะแม่มีพี่คอยซัพพอร์ต และเวลาที่พี่มาจากต่างประเทศ แจกเงินได้เป็นแจกทิปเป็นทิป พี่เราเป็นคนใจดี แม่ก็เล่าให้เราฟัง ไม่ว่าจะงานเลี้ยงอะไรแม่ก็จะขอตังพี่เพื่อมาเป็นเจ้าภาพได้หน้าได้ตากับญาติๆไป ญาติถ้ามีงานอะไรต้องเรียกแม่เราเพราะทุนมี เราก็พยายามบอกแม่ว่าอย่าสอนให้พี่แจกตังมาก เพราะเงินหายาก เรามีความคิดว่าถ้าเราไม่มีตัง เราไปกินเลี้ยงแบบญาติไปทั่วได้ไหม แต่เราออกตังนะ แต่อาจจะไม่ถึงกับเจ้าภาพทั้งงานเลย อยู่มาวันหนึ่งแม่อยากสอนให้เราใจกว้าง มีบทสนทนาดังนี้
แม่: คนเราจะต้องมีสังคมนะลูก มีญาติ ใจกว้าง
เรา: ใช่แต่หนูยังไม่มีตัง (ในตอนนี้มีแค่ หมื่นต้นๆ เราไม่ได้บอก)
แม่: กับญาติ ไม่มีใครมารอกินกับหนูหรอกนานๆทีเราก็ต้องเป็นเจ้าภาพบ้าง (ประมาณว่าสร้าง พาวเวอร์ บารมีบ้าง)
เรา: ตอนนี้หนูไม่มีแม่ หนูไม่สามารถ แจกเงินหรือเลี้ยงใครได้ ถ้าแม่มีทุน แม่อยากแจกก็แจกก่อนเลย แม่รู้ไหมว่าถ้าหนูไม่มีตังมาใครจะมาช่วยหนู?
แม่: ครอบครัว แม่ไง
เรา: ใช่ หนูไม่อยากรบกวนแม่ไปมากกว่านี้ กับญาติเหมือนกัน ถ้าเรามีเราค่อยให้ มันก็ไม่สาย
แม่: เข้าใจ ใช่อย่างที่เราพูดนั้นล่ะ ใช่แล้ว ใช่แล้ว ( แต่เราดูสายตาแม่แล้ว มันไม่ใช่)
เราเลยพูดต่อไปอีกว่า แม่รู้ไหม ว่าช่วงสองปีมานี้หนู อดมากแค่ไหนกับสามี เราพูดทั้งหมดที่เราอด เราทน เราสู้มา ตอนนี้เราสามารถกินแค่ทอดไข่ก็ได้
คำพูดที่หนูเคย พูดว่า ญาติๆจะมารอกินเลี้ยง หนูไม่มีให้ หนูอาจจะพูดแรงนะแม่ แต่ความหมายหนูเป็นแบบนั้นจริงๆ หนูไม่มีเงิน แต่หนูยังเป็นหนูคนเดิม ที่ยังอยากพา พ่อแม่พี่ญาติได้กินอาหารอร่อยๆเวอร์ๆ และตอนนี้ใครพูดอะไรเพื่อนแม่ ชอบนินทาว่าลูกใครดีกว่าใคร เราก็ไม่แคร์ใครแล้ว ส่วนแม่เราก็เข้าใจความรู้สึกเรา
เราพยายามให้แม่มองเห็นภาพ เราเลยพูดว่า สมัยก่อนญาติจะชอบบอกว่าแม่ขี้เหนียว เอาแต่ครอบครัวตัวเองใช่ไหม?
เพราะครอบครัวเราไม่มีตังใช่ไหม? ช่วงเราและพี่เรียน ตอนนี้หนูก็เป็นเหมือนแม่ในตอนนั้น หนูอยากให้แม่เข้าใจหนูนะ
แต่ในความรู้สึกเรา ตอนนี้เราในสายตาแม่คือคนใจแคบแล้วหรือเปล่า เพราะการกลับมาครั้งนี้เราโคตรประหยัดจริงๆ ขนมแทบจะไม่กิน กินแต่ข้าวที่บ้าน แม่ขวนไปกิน สเต็ก เราก็ว่าเก็บเงินไว้ดีกว่าแม่ และคำพูดที่เราพูดออกมาเหมือนเรากลัวญาติๆมารอกิน เราน่าจะหาคำมาพูดแบบอ้อมๆ เราต้องระวังปากเรามากกว่านี้ หรือ เรามันใจแคบจริงๆ เราเกินไปจริงๆไหม กับเพื่อนๆแม่ เราก็ไม่เคยเลี้ยง ก่อนหน้านี้แม่เราร่วมเพื่อนได้มาปาร์ตี้ที่บ้าน พอมีเราแม่ก็ต้องประหยัดช่วยเราด้วย เพราะเรามากินกับแม่ เราออกจ่อเดือนเล็กน้อย ตอนนี้เราไม่สบายใจ
เพื่อนๆคิดว่ายังไง เราควรปรับปรุงตัวไปในแนวทางไหน
เรากำลังจะกลายเป็นคน โลกแคบ ไม่มีสังคม ญาติพี่น้อง ในสายตาแม่?
แม่: คนเราจะต้องมีสังคมนะลูก มีญาติ ใจกว้าง
เรา: ใช่แต่หนูยังไม่มีตัง (ในตอนนี้มีแค่ หมื่นต้นๆ เราไม่ได้บอก)
แม่: กับญาติ ไม่มีใครมารอกินกับหนูหรอกนานๆทีเราก็ต้องเป็นเจ้าภาพบ้าง (ประมาณว่าสร้าง พาวเวอร์ บารมีบ้าง)
เรา: ตอนนี้หนูไม่มีแม่ หนูไม่สามารถ แจกเงินหรือเลี้ยงใครได้ ถ้าแม่มีทุน แม่อยากแจกก็แจกก่อนเลย แม่รู้ไหมว่าถ้าหนูไม่มีตังมาใครจะมาช่วยหนู?
แม่: ครอบครัว แม่ไง
เรา: ใช่ หนูไม่อยากรบกวนแม่ไปมากกว่านี้ กับญาติเหมือนกัน ถ้าเรามีเราค่อยให้ มันก็ไม่สาย
แม่: เข้าใจ ใช่อย่างที่เราพูดนั้นล่ะ ใช่แล้ว ใช่แล้ว ( แต่เราดูสายตาแม่แล้ว มันไม่ใช่)
เราเลยพูดต่อไปอีกว่า แม่รู้ไหม ว่าช่วงสองปีมานี้หนู อดมากแค่ไหนกับสามี เราพูดทั้งหมดที่เราอด เราทน เราสู้มา ตอนนี้เราสามารถกินแค่ทอดไข่ก็ได้
คำพูดที่หนูเคย พูดว่า ญาติๆจะมารอกินเลี้ยง หนูไม่มีให้ หนูอาจจะพูดแรงนะแม่ แต่ความหมายหนูเป็นแบบนั้นจริงๆ หนูไม่มีเงิน แต่หนูยังเป็นหนูคนเดิม ที่ยังอยากพา พ่อแม่พี่ญาติได้กินอาหารอร่อยๆเวอร์ๆ และตอนนี้ใครพูดอะไรเพื่อนแม่ ชอบนินทาว่าลูกใครดีกว่าใคร เราก็ไม่แคร์ใครแล้ว ส่วนแม่เราก็เข้าใจความรู้สึกเรา
เราพยายามให้แม่มองเห็นภาพ เราเลยพูดว่า สมัยก่อนญาติจะชอบบอกว่าแม่ขี้เหนียว เอาแต่ครอบครัวตัวเองใช่ไหม?
เพราะครอบครัวเราไม่มีตังใช่ไหม? ช่วงเราและพี่เรียน ตอนนี้หนูก็เป็นเหมือนแม่ในตอนนั้น หนูอยากให้แม่เข้าใจหนูนะ