ผมพึ่งได้ดู The Third Charm ยอมรับว่า การดำเนินการเรื่องในหลายๆ จุด มีความชาญฉลาดในการหักมุมของเรื่อง
ซึ่งก็หมายถึงหักอารมณ์คนดูไปด้วย ยกตัวอย่าง ตอนที่พระเอกตอนเป็นตำรวจ พาพรรคพวกบุกไปจับผู้ร้ายคนสำคัญ
แล้วถูกผู้ร้ายล่อไปยังพื้นที่ที่ใช้ไม้เป็นอาวุธ ส่วนทีมพระเอกขับรถตามไปเสริมพรรคพวกที่วิ่งไล่ผู้ร้ายก่อนหน้านั้นไปทัน
ลูกน้องพระเอกคนหนึ่งบอกว่า พวกแกมีอาวุธพวกเราก็มี อาวุธอยู่หลังรถเจ้านาย(พระเอก)ฉันเอง ว่าแล้วก็ไปเปิดหลังรถ
กลายเป็นป้ายผ้าลูกโป่งสวรรค์ลอยขึ้นมาจากหลังรถ มีข้อความที่พระเอกขอนางเอกแต่งงาน ลอยขึ้นมาต่อหน้ากลุ่มผู้ร้าย
และบรรดาลูกน้องพระเอก รวมถึงคนดู ทำเอาทุกตะลึง เรียกว่า หักอารมณ์สุดๆ เพราะป้ายนี้กลายเป็นไม่ได้ใช้ เพราะพระเอก
ถูกนางเอกบอกเลิกพอดี ตรงนี้ผมก็ชอบนะ
แต่กลับกลายเป็นว่าความหน่วงที่เกิดขึ้นตอนท้าย มันเป็นการจับยัดของหนังไปแทน เพราะหนังเลือกที่จะใช้วิธีเซอร์ไพส์คนดู
ด้วยการกล่าวถึงชีวิตพระเอกหลังถูกนางเอกบอกเลิก ดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียด ในขณะที่หนังเลือกที่จะปิดบัง
ชีวิตนางเอกหลังบอกเลิกพระเอกไว้ โดยฉากล่าสุดที่ได้เห็นนางเอก คือ ฉากที่นางเอกแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ เพราะไปร้าน
อาหารกับเพื่อนแล้วเห็นอาหารชนิดเดียวกับที่พระเอกเคยทำให้นางกิน
จากนั้น คนดูก็ไม่เห็นนางเอกอีกเลยในตอนกลางๆ เรื่อง มีแค่ฉากที่คนดูรู้ข้อมูลนางเอกผ่านเพื่อนว่า นางเอกวิดีโอคอลมา
ทำให้รู้ว่า นางเอกลาออกจากร้านตัดผมของเพื่อน และน่าจะไปตัดผมอยู่ในเวทีโลกตามความฝันนางเอก โดยหนังเลือกปิดบัง
คนดูไว้ว่า นางเอกได้แต่งงานกับพระรองแล้ว ปล่อยให้คนดูเข้าใจไปเองว่า นางเอกไปคนเดียว เพราะก่อนหน้าที่จะไม่เห็นนางเอก
คนดูจะเห็นเพียงฉากสุดท้ายว่า นางเอกแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำเพราะเห็นอาหารแล้วคิดถึงพระเอก คนดูเห็นแค่นี้
ซึ่งเหตุที่หนังเลือกทำเช่นนี้ เพราะต้องการจะเซอร์ไพส์คนดูอีกรอบ ด้วยฉากที่พระเอกเลิกเป็นตำรวจ ไปเรียนทำอาหารเมืองนอก
แล้วกลับมาเปิดร้านอาหารคู่รักจนโด่งดัง แล้ววันหนึ่ง ก็มีคู่รักที่พระเอกรู้จักมากินอาหาร นั่นคือ พระรองกับนางเอก (หนังต้องการ
แค่ฉากนี้เอง จึงทำเนื้อเรื่องตอนต้นมาแบบนี้) แต่แล้วหนังก็หักมุมคนดูอีกว่า วันที่มากินอาหารนี้ คือ วันหย่าระหว่างพระรองกับนางเอก
หนังไม่เล่าว่า พระรองชนะใจนางเอกได้ยังไง มีแค่คำพูดของพระรองสั้นๆ ไม่กี่ประโยคว่า เขาตามตื้อนางเอกหลายรอบมากๆ
จนได้แต่งงานกับนางเอก ก่อนจะลงเอยด้วยการหย่ากัน (ซึ่งหนังมาเปิดเผยตอนท้ายว่า เป็นเพราะนางเอกเสียลูกสาว)
ด้วยการย่อชีวิตนางเอก และพระรองมากเกินไป จึงทำให้ตอนสำคัญของเรื่องในตอนท้าย คือ ดร่ามาความหน่วง มันจึงมาแบบจับยัด
เพราะหนังดำเนินไปว่า นางเอกอยู่คนเดียว จนเมาหนักโทรหาพระเอกว่า เธอไม่เหลือใครแล้ว ซึ่งผมเห็นว่า นี่คือ จับยัด เพราะความจริง
แล้ว ด้วยนิสัยพระรองที่(หนังบอกย่อๆ แค่) ตามตื้อนางเอกหลายๆ รอบมาก (เขาต้องผิดหวังหลายรอบมาก) แสดงว่า นิสัยไม่ยอมแพ้
แล้วพระรองจะมาหายไปจากชีวิตนางเอกเลย เพียงแค่คำพูดนางเอกว่า ฉันเห็นคุณแล้วนึกถึงลูกตาย เราเลิกกันเถิด แค่นี้ ผมว่ามันผิด
บุคลิกพระรอง ที่ควรจะไม่หายไปไหนไกล แต่รอจังหวะแวะเวียนมา ถ้านางเอกไม่ยอมอีก เขาต้องเป็นห่วงหนัก หาทางให้พรรคพวก
(แม้อาจถึงขั้นบอกให้พระเอก)ช่วยดูแลนางเอกแบบอ้อมๆ (เหมือนในซีรีย์หลายๆ เรื่อง) แต่นี่พระรองหายไปจากชีวิตนางเอกเลย
มันจึงกลายเป็นความหน่วงจับยัดให้คนดู เพื่อนำมาสู่ฉากนางเอกไม่เหลือใคร เลยโทรไปรบกวนพระเอก นั่นเอง หากหนังจะทำเนียนกว่านี้
ควรทำบทให้พระรองแวะเวียนมา แต่แล้วโชคร้าย อุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิต เลยไม่มาอีก เป็นต้น ถ้าอย่างนี้ ผมจึงจะรู้สึกว่า
ไม่ได้จับยัดความหน่วง
กับอีกประเด็นหนึ่ง คือ พระเอกที่เป็นคนตรงไปตรงมาตลอด คือ ไปเจอผู้หญิงอีกคน เขาก็บอกนางเอกว่า เขาไปเจออีกคนมา
แต่พอตอนท้ายเรื่อง พระองค์กลับเปลี่ยนบุคลิกไปโกหกนางรอง เพื่อนำไปสู่ความหน่วงจับยัด ในตอนที่ พระเอกกับนางเอกกลับมา
เจอกันแล้วพระเอกพานางไปทานข้าวที่ร้านอาหาร ครั้นพอนางรองมาที่ร้านพบทั้งคู่ นางถามว่า ลูกค้าเหรอ พระเอกกลับบอกว่า ใช่
ทั้งที่พระเอกควรจะบอกตรงๆ ว่า เพื่อนเก่า หรือถ้าตรงกว่านั้นอีกก็ แฟนเก่า แต่เขาเลือกที่จะโกหก ซึ่งผิดบุคลิก
อีกทั้ง พอตอนนางเอกเมาล้มแก้วบาดโทรหาพระเอกว่าไม่มีใคร พระเอกจึงไปช่วย แล้วนางรองโทรมาถามว่า อยู่บ้านเหรอ
พระเอกกลับเลือกโกหกอีกว่าใช่ เพราะความจริงพระเอกสามารถพูดตรงๆ ได้ว่า เพื่อนเกิดอุบัติเหตุ เลยรีบไปช่วยด่วน
แต่กลับไม่พูดแบบนั้น เรื่องจึงนำไปสู่ดร่ามาจับยัด ด้วยการให้นางรองกับพระเอกเลิกกัน ซึ่งผมว่า ไม่เนียนครับ
The Third Charm ที่จัดยัดความหน่วงในช่วงสำคัญของตอน
ซึ่งก็หมายถึงหักอารมณ์คนดูไปด้วย ยกตัวอย่าง ตอนที่พระเอกตอนเป็นตำรวจ พาพรรคพวกบุกไปจับผู้ร้ายคนสำคัญ
แล้วถูกผู้ร้ายล่อไปยังพื้นที่ที่ใช้ไม้เป็นอาวุธ ส่วนทีมพระเอกขับรถตามไปเสริมพรรคพวกที่วิ่งไล่ผู้ร้ายก่อนหน้านั้นไปทัน
ลูกน้องพระเอกคนหนึ่งบอกว่า พวกแกมีอาวุธพวกเราก็มี อาวุธอยู่หลังรถเจ้านาย(พระเอก)ฉันเอง ว่าแล้วก็ไปเปิดหลังรถ
กลายเป็นป้ายผ้าลูกโป่งสวรรค์ลอยขึ้นมาจากหลังรถ มีข้อความที่พระเอกขอนางเอกแต่งงาน ลอยขึ้นมาต่อหน้ากลุ่มผู้ร้าย
และบรรดาลูกน้องพระเอก รวมถึงคนดู ทำเอาทุกตะลึง เรียกว่า หักอารมณ์สุดๆ เพราะป้ายนี้กลายเป็นไม่ได้ใช้ เพราะพระเอก
ถูกนางเอกบอกเลิกพอดี ตรงนี้ผมก็ชอบนะ
แต่กลับกลายเป็นว่าความหน่วงที่เกิดขึ้นตอนท้าย มันเป็นการจับยัดของหนังไปแทน เพราะหนังเลือกที่จะใช้วิธีเซอร์ไพส์คนดู
ด้วยการกล่าวถึงชีวิตพระเอกหลังถูกนางเอกบอกเลิก ดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียด ในขณะที่หนังเลือกที่จะปิดบัง
ชีวิตนางเอกหลังบอกเลิกพระเอกไว้ โดยฉากล่าสุดที่ได้เห็นนางเอก คือ ฉากที่นางเอกแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ เพราะไปร้าน
อาหารกับเพื่อนแล้วเห็นอาหารชนิดเดียวกับที่พระเอกเคยทำให้นางกิน
จากนั้น คนดูก็ไม่เห็นนางเอกอีกเลยในตอนกลางๆ เรื่อง มีแค่ฉากที่คนดูรู้ข้อมูลนางเอกผ่านเพื่อนว่า นางเอกวิดีโอคอลมา
ทำให้รู้ว่า นางเอกลาออกจากร้านตัดผมของเพื่อน และน่าจะไปตัดผมอยู่ในเวทีโลกตามความฝันนางเอก โดยหนังเลือกปิดบัง
คนดูไว้ว่า นางเอกได้แต่งงานกับพระรองแล้ว ปล่อยให้คนดูเข้าใจไปเองว่า นางเอกไปคนเดียว เพราะก่อนหน้าที่จะไม่เห็นนางเอก
คนดูจะเห็นเพียงฉากสุดท้ายว่า นางเอกแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำเพราะเห็นอาหารแล้วคิดถึงพระเอก คนดูเห็นแค่นี้
ซึ่งเหตุที่หนังเลือกทำเช่นนี้ เพราะต้องการจะเซอร์ไพส์คนดูอีกรอบ ด้วยฉากที่พระเอกเลิกเป็นตำรวจ ไปเรียนทำอาหารเมืองนอก
แล้วกลับมาเปิดร้านอาหารคู่รักจนโด่งดัง แล้ววันหนึ่ง ก็มีคู่รักที่พระเอกรู้จักมากินอาหาร นั่นคือ พระรองกับนางเอก (หนังต้องการ
แค่ฉากนี้เอง จึงทำเนื้อเรื่องตอนต้นมาแบบนี้) แต่แล้วหนังก็หักมุมคนดูอีกว่า วันที่มากินอาหารนี้ คือ วันหย่าระหว่างพระรองกับนางเอก
หนังไม่เล่าว่า พระรองชนะใจนางเอกได้ยังไง มีแค่คำพูดของพระรองสั้นๆ ไม่กี่ประโยคว่า เขาตามตื้อนางเอกหลายรอบมากๆ
จนได้แต่งงานกับนางเอก ก่อนจะลงเอยด้วยการหย่ากัน (ซึ่งหนังมาเปิดเผยตอนท้ายว่า เป็นเพราะนางเอกเสียลูกสาว)
ด้วยการย่อชีวิตนางเอก และพระรองมากเกินไป จึงทำให้ตอนสำคัญของเรื่องในตอนท้าย คือ ดร่ามาความหน่วง มันจึงมาแบบจับยัด
เพราะหนังดำเนินไปว่า นางเอกอยู่คนเดียว จนเมาหนักโทรหาพระเอกว่า เธอไม่เหลือใครแล้ว ซึ่งผมเห็นว่า นี่คือ จับยัด เพราะความจริง
แล้ว ด้วยนิสัยพระรองที่(หนังบอกย่อๆ แค่) ตามตื้อนางเอกหลายๆ รอบมาก (เขาต้องผิดหวังหลายรอบมาก) แสดงว่า นิสัยไม่ยอมแพ้
แล้วพระรองจะมาหายไปจากชีวิตนางเอกเลย เพียงแค่คำพูดนางเอกว่า ฉันเห็นคุณแล้วนึกถึงลูกตาย เราเลิกกันเถิด แค่นี้ ผมว่ามันผิด
บุคลิกพระรอง ที่ควรจะไม่หายไปไหนไกล แต่รอจังหวะแวะเวียนมา ถ้านางเอกไม่ยอมอีก เขาต้องเป็นห่วงหนัก หาทางให้พรรคพวก
(แม้อาจถึงขั้นบอกให้พระเอก)ช่วยดูแลนางเอกแบบอ้อมๆ (เหมือนในซีรีย์หลายๆ เรื่อง) แต่นี่พระรองหายไปจากชีวิตนางเอกเลย
มันจึงกลายเป็นความหน่วงจับยัดให้คนดู เพื่อนำมาสู่ฉากนางเอกไม่เหลือใคร เลยโทรไปรบกวนพระเอก นั่นเอง หากหนังจะทำเนียนกว่านี้
ควรทำบทให้พระรองแวะเวียนมา แต่แล้วโชคร้าย อุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิต เลยไม่มาอีก เป็นต้น ถ้าอย่างนี้ ผมจึงจะรู้สึกว่า
ไม่ได้จับยัดความหน่วง
กับอีกประเด็นหนึ่ง คือ พระเอกที่เป็นคนตรงไปตรงมาตลอด คือ ไปเจอผู้หญิงอีกคน เขาก็บอกนางเอกว่า เขาไปเจออีกคนมา
แต่พอตอนท้ายเรื่อง พระองค์กลับเปลี่ยนบุคลิกไปโกหกนางรอง เพื่อนำไปสู่ความหน่วงจับยัด ในตอนที่ พระเอกกับนางเอกกลับมา
เจอกันแล้วพระเอกพานางไปทานข้าวที่ร้านอาหาร ครั้นพอนางรองมาที่ร้านพบทั้งคู่ นางถามว่า ลูกค้าเหรอ พระเอกกลับบอกว่า ใช่
ทั้งที่พระเอกควรจะบอกตรงๆ ว่า เพื่อนเก่า หรือถ้าตรงกว่านั้นอีกก็ แฟนเก่า แต่เขาเลือกที่จะโกหก ซึ่งผิดบุคลิก
อีกทั้ง พอตอนนางเอกเมาล้มแก้วบาดโทรหาพระเอกว่าไม่มีใคร พระเอกจึงไปช่วย แล้วนางรองโทรมาถามว่า อยู่บ้านเหรอ
พระเอกกลับเลือกโกหกอีกว่าใช่ เพราะความจริงพระเอกสามารถพูดตรงๆ ได้ว่า เพื่อนเกิดอุบัติเหตุ เลยรีบไปช่วยด่วน
แต่กลับไม่พูดแบบนั้น เรื่องจึงนำไปสู่ดร่ามาจับยัด ด้วยการให้นางรองกับพระเอกเลิกกัน ซึ่งผมว่า ไม่เนียนครับ