กระทู้นี้ขออนุญาตตั้งขึ้นมาเพื่อชวนคุยกับเพื่อนๆประเด็นร้อน เรื่อง เงินดิจิตอล 10,000.- ของเพื่อไทย ซึ่งในกระทู้นี้ เราอาจจะไม่ได้ลงในดีเทลของ ด้านไอที หรือ พวก บล็อกเชน ที่ว่าทำได้หรือไม่ได้ อย่างไร แต่อยากจะคุยในด้านของ เศรษฐศาสตร์ดิจิตอลกัน
สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของเงินดิจิตอล อาจจะขอเท้าความก่อนว่า ทำไมต้องเป็นเงินดิจิตอล คือผมเห็นคนถามเยอะมากๆว่าเอา 5แสนล้านมาจากไหนๆๆ กู้มาใช่ไหม จริงๆคำตอบของเรื่องนี้ อยู่ล่างๆนะครับ ถ้าขี้เกียจอ่านยาว ข้ามไปอ่านด้านล่างเลย
คือจริงๆในมุมของผม การใช้เงินดิจิตอล เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีข้อดีอยู่หลายอย่างมากเลยนะครับ ที่เงิน fiat ทำไม่ได้ จริงๆในที่นี้ ต้องอธิบายก่อนว่า เงินดิจิตอลคืออะไร คือเงินดิจิตอล เป็นเหมือน เงินค่านึง ที่ตั้งขึ้นมา มันคือระบบการใช้จ่ายที่ซ้อนกับการใช้เงินสกุลอีกทีนึง หรือ จะบอกว่า มันเป็นอีกสกุลนึงก็ได้ ซึ่งเงินแต่ละประเภท แต่ละสกุล ไม่ว่าจะ บาทไทย ญี่ปุ่นเยน หรือ ดอลล่าสหรัฐ เขาก็นำมาใช้ชำระหนี้ค้าขายกัน แต่มูลค่าของมันก็จะขึ้นกับเสถียรภาพของเศรษฐกิจนั้นๆ หรือ สินทรัพย์ที่มาค้ำประกันของมัน
ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆขอแบบง่ายๆ ไม่ลงลึกให้คนเข้าใจนะครับ พี่ๆที่เชี่ยวชาญอยู่แล้วอาจจะข้ามไปได้ เงิน 1 ดอลล่า มีค่าเท่ากับ 35 บาท (ประมาณๆ) เพราะว่า มันมีการควบคุมด้วยธนาคาร มีสภาพคล่องที่คุณก็เอาเงิน 1 ดอลล่าไปธนาคารหรือ ที่แลกเงิน Super rich ฯลฯ คุณก็จะได้เงินกลับมา 35 บาท หรือ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น คุณไปโลตัส ซื้อคูปองศูนย์อาหาร เงิน 100 บาท และได้ 100 บาทคูปอง จริงๆตรงนี้ก็เหมือนกับเป็นเงินเสมือน เพราะถ้าคุณใช้ที่ศูนย์อาหารโลตัส มันจะมีค่า 100 บาท แต่คุณจะไปใช้ที่อื่น มันอาจจะไม่มีค่าเลย เพราะฉะนั้น งินดิจิตอลนี้ก็เหมือนกัน จริงๆ เราควรเรียกมันว่า คูปองเพื่อไทย หรือ เพื่อไทยโทเค่น จะเห็นภาพชัดกว่า พอเป็นภาพนี้ หลายๆคนจะเริ่มเห็นละ
ว่าการใช้จ่าย เพื่อไทยคูปองเนี่ย ในการนำเงินมาขึ้นหลังจากนี้ 6 เดือน มันคือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยที่ยังไม่ต้องใช้เงินสักบาทเลยก่อน เพราะคุณใช้โทเค่นนี้ไปซื้อของ เหมือนคุณซื้อในศูนย์อาหาร
แต่ปัญหามันก็คือ ในระยะเวลา 6 เดือนนั้น โทเค่นนี้มันต้องเกิดการหมุนเวียน และ มีคนต้องการจริงๆ มันถึงจะอยู่รอดได้ ยกตัวอย่าง ใน Supply chain หรือ ในแต่ละขั้นของการชำระ
ตัวอย่างที่ 1
1.คนซื้อ ซื้อของที่ร้านอาหาร >>>>> 2. ร้านอาหาร เอาโทเค่นไปจ่ายพนักงาน >>>>> 3. พนักงานนำโทเค่นนี้ไปซื้อของที่ร้านอื่น
แบบนี้ไปได้ เพราะเงินมันหมุนเวียน และเราก็ได้โทเค่นไปจับจ่ายซื้อบริหารได้เรื่อยๆ มันจะวนกลับมาเป็นคนที่ 1 แต่ถ้าเชนมันยาวกว่านั้นล่ะ
ตัวอย่างที่ 2
1. คนซื้อของใช้โทเค่นซื้ออาหาร >>>>> 2. ร้านอาหารนำโทเค่นไปซื้อหมู >>>>> 3. ร้านเขียงหมูนำโทเค่นไปจ่ายซื้อหมู >>>>>> 4.คนขายหมูนำโทเค่นไปจ่ายค่าอาหารหมู และ ซื้อลูกหมู >>>>>> 5. คนขายอาหารหมูนำไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารหมู
พอเชนมันเริ่มยาวละ มันมีโอกาส ที่จุดในจุดนึง จะไม่สามารถนำโทเค่น หรือ คูปองนี้ไปใช้ได้ คือถ้าเขารับก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่รับล่ะ ก็จะส่งผลกับความเชื่อมั่น และ การใช้จ่ายทันที และในภาพนี้ ถ้าวัตถุดิบในประเทศ ยังไม่เท่าไร เพราะว่า คนในประเทศยังใช้โทเค่นนี้ จ่ายกันเองได้ แต่ถ้าวัตถุดิบนั้นเป็นวัตถุดิบต่างประเทศล่ะ เมื่อนั้นก็คือ จบเชนทันที เพราะคนต่างประเทศเขาเอาโทเค่นนี้ ไปใช้ที่บ้านเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาไม่เอาแน่ๆ
ซึ่งพอมาในภาพนี้ จะเห็นจุดที่ทางเพื่อไทย หรือ ทีมเศรษฐกิจ ต้องระมัดระวังเลยคือ
1. ทำยังไงให้เครดิตการใช้โทเค่น ของในประเทศ มันหมุนเวียนได้มากที่สุด ไม่ให้สะดุด
2. ทำยังไงให้เศรษฐกิจในต่างประเทศ สามารถนำโทเค่นนี้ไปแลกได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่า มันจะต้องมีคนกลุ่มนึง หรือ หน่วยงานนึง หรืออะไรสักอย่างนึง เป็นคนแบกโทเค่นนี้ไว้ยาวๆ ระยะเวลา 6 เดือน ในขณะที่เขานำเงินบาทไปแปลงเป็นดอลล่า หรือ ค่าเงินต่างประเทศให้วัตถุดิบหรือบริการจากต่างประเทศไปก่อน
พอมาในภาพนี้ ในด้านเงินดิจิตอล หรือโทเค่น อย่างที่เล่าว่า มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสินทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อประคองให้เงิน เพื่อไทย โทเค่น 1 โทเค่น = 1 บาท ซึ่งโอเค ลองนึกภาพตอนรัฐบาลที่แล้ว ทำโครงการเที่ยวด้วยกัน คืออย่างที่บอกครับ พวกนี้มองอีกแง่นึง มันก็เป็นเงินอีกสกุลได้ เพราะสุดท้ายมันก็ต้องทำการแปลงสภาพเป็นเงินบาท หรือ เงินสดให้คนไปใช้จ่ายกัน อย่างที่เราเองก็ทราบว่า มันมีบางกลุ่มที่ เขารับแปลงสภาพเงินคือรับเงินจาก เป๋าตังนะ แต่จ่ายเป็นเงินบาท เช่นรับมา 1000 จ่ายเงินบาท 800 ในภาพนี้ก็คือ 1 เป๋าตัง โทเค่น = 0.8 บาทไทย อะไรแบบนี้ และเพื่อไทยจะทำอย่างไรให้ 1 เพื่อไทยโทเค่นนี้ มีมูลค่าเท่าเดิมที่ 1 บาทไทยได้ตลอด ไม่เช่นนั้น มูลค่ามันจะลดลงเรื่อยๆ และสุดท้าย เพื่อไทยโทเค่นจะไม่มีค่าในที่สุด ถ้าทำให้คนไว้ใจไม่ได้
และอย่างสุดท้าย การใช้เพื่อไทยโทเค่นนี้ ในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีข้อดีหลายๆอย่างก็จริง แต่ต้องระมัดระวัง และ ต้องเก่งมากๆ พร้อมการร่วมมือ การสนับสนุนทุกภาคส่วน ซึ่ง
ยากโคตร
ทำไมมันถึงดีในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้อดีอีกอย่างของเงินดิจิตอล หรือ คูปอง หรืออะไรก็ตามพวกนี้คือ คุณยังไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนเทียบเท่าของมัน มันคือเงินที่เขาบอกคุณว่า เนี่ย มันมีมูลค่าเท่านี้ คุณต้องเชื่อนะ ถ้าทุกคนเชื่อ และใช้มันตามมูลค่านี้ มันก็จะมีมูลค่านี้
อ่ะกลับมา ปกติถ้าคนอยู่ในตลาด Token / Crypto จะรู้ว่า มันมีสิ่งนึงเวลาเปิดตัวเหรียญใหม่ หรือ Launch เหรียญใหม่ มันคือสิ่งที่ต้อง Add Liquidity หรือก็คือ การจับคู่การแปลงเหรียญ คือเหรียญน่ะมันใช้ได้ ถ้าเพื่อไทยโทเค่น ใช้ในประเทศเพื่อไทย มันก็มีมูลค่าเท่านั้น ตราบใดที่ทุกคน ยอมรับในมูลค่าและแลกเปลี่ยนกัน แต่มันจะไม่มีค่าในโลกภายนอก เขาเลยต้องมีการทำ liquidity เช่น เพื่อไทย โทเค่น 1 เหรียญ เท่ากับ 1 บาท แล้ว เพื่อไทยต้องเตรียมเงินทำ liquidity นี้เท่าไรล่ะ คือในโลก Defi มันจะมีค่าการทำธุรกรรมเนอะ เวลาเราใช้ใน ETH chain / BNB chain / Bitkub chain มันก็ต้องใช้โทเค่นของเขาเป็นค่าธรรมเนียม ซึ่งถ้าเทียบง่ายๆก็คือภาษี คือทุกๆ transaction ที่เกิดขึ้นจะมีค่าแก๊ส ค่าภาษีที่เกิดขึ้น ของเราก็มีพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ฯลฯ ซึ่งเงิน 100 บาท ใช้ 1 ครั้ง ก็เสีย 7 บาท ถ้าคนเอา 93 บาทนั้นไปใช้ ซื้ออย่างอื่น ก็จะเสียอีก 7% มันก็จะซ้อนๆไปเรื่อยๆ
ในรายละเอียด มาตรการ เพื่อไทยโทเค่น มูลค่า 5แสนล้าน นั้นกว่าจะสามารถรับแลกเป็นเงินไทยบาทได้นั้น ก็จะใช้ระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเขาประเมินว่าจะมีการเก็บภาษี ได้ 30% แปลว่า เงินที่ต้องใช้จริงคือ 3.5 แสนล้าน หรือก็คือ 70% นี่คือเงินที่เพื่อไทยต้องเตรียมไว้ หลังจากนี้อีก 6 เดือน แต่ช้าก่อนนน!!!!! 3.5 แสนล้านนี้ มันต้องใช้เมื่อมีคนมาแลกเป็นเงินบาทจริงๆเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าเราสามารถต่อยอดและกระตุ้นให้มีการหมุนวน การใช้ โทเค่นนี้ไปเรื่อยๆๆๆ พอจะเห็นภาพไหมครับ นโยบายนี้ อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสักบาทเลยก็ได้ ถ้าเพื่อไทยโทเค่นถูกยอมรับเป็นอีกสกุลนึง และสามารถใช้จ่ายต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ โดยคนไม่ต้องการแปลงกลับเป็นเงินบาท เท่านั้นยังไม่พอ คนในวงการจะรู้ดีว่ามีอีกวิธีที่จะทำให้สภาพคล่องของโทเค่นลดลง ก็คือการนำไป Stake หรือพูดง่ายๆเหมือนการฝากประจำ ถ้าคนนำไป Stake ระยะเวลา 6 เดือน 1 ปี 5 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ liquidity ที่เพื่อไทยต้องเตรียม 3.5 แสนล้านนี้ ก็จะลดลงไปเรื่อยๆๆๆ และถ้าหมุนไปเรื่อยๆ ภาษา Defi มันคือการทำให้มี utility ใหม่อื่นๆให้ไปใช้ได้ ภาษีก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีก จนอาจจะไม่ต้องใช้เงินสดเลยก็ได้ เช่นในอนาคต การใช้จ่ายภาครัฐ ต้องใช้ผ่านตัว token นี้เท่านั้น หรือ การทำ Stake แบบ Pairing เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เช่น บริษัทเอกชน ทำการซื้อ Token นี้จากรัฐบาล เพื่อผูกค่าเงินบาท กับ โทเค่นนี้ ก็จะช่วยให้เกิดสภาพคล่องขึ้น และลดจำนวนเงิน 3.5แสนล้านที่ต้องใช้ลงไปอีก เพราะมีเอกชน หรือ รายอื่นเข้ามาเตรียมเงินไว้ให้
นี่คือความอัจฉริยะของระบบเศรษฐศาสตร์ของดิจิตอล
แต่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ตัวใหญ่ๆ นี่มันคืออุดมคติทั้งหมดครับ ถ้าทำได้
โคตรเจ๋งเลย
อุปสรรคมันเยอะมาก จากที่ไล่มาด้านบน ทำยังไงให้เงินนี้มีการหมุนเวียนกันตลอด ทำยังไงให้คนเชื่อถือ และมั่นใจในการใช้โทเค่นนี้ แต่ถ้ามันทำได้จริง นี่
คืออนาคตการเงินใหม่อีกรูปแบบนึงเลย และเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นมหาศาล ด้วย Leverage การเงิน ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนนะครับ เพราะลองไปดู Defi ต่างๆ สุดท้ายไม่ว่าจะ Luna (จริงๆ ก็พูดได้ว่า มันเป็นรูปแบบคล้ายๆแบบนี้) BNB / Cake พวกนี้คือเหรียญ Token ชื่อดังในอดีต ที่พยายามทำให้เกิด utility และ มีการใช้งานการหมุนเวียน ด้วยวิธีที่บอกไปด้านบนทั้งสิ้น ก็ต้องมาดูกันครับว่า ในภูมิภาคระดับประเทศ หรือ ระดับรัฐบาล เพื่อไทยจะทำได้ไหม ทำได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าทำได้ นี่คืออภิมหาเศรษฐศาสตร์ในอนาคต และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงิน leverage ที่ใช้เงินน้อยแต่ได้มาก แต่ถ้าทำไมได้ สุดท้ายแล้ว เพื่อไทยโทเค่นก็จะไม่มีค่าเหมือน Luna และ รัฐบาลก็จะต้องหาเงิน 5 แสนล้านบาทมาเติม และใช้คืนให้คนที่ไม่ต้องการโทเค่นนี้ ซึ่งจริงๆถ้ามองแบบนี้ worst case คือ ต้องใช้เงินทั้งหมด 5แสนล้าน - ภาษี แต่ถ้า เกิดมันปังขึ้นมา อาจไม่ต้องใช้เงินสักบาทเลย
อาจจะยาวสักหน่อย แต่อยากเสริมภาพให้คนที่ไม่เคยใช้ หรือไม่รู้จักเงินดิจิตอล ว่ามันแตกต่างอย่างไรกับเงินปกติ หรือ เงินในเป๋าตัง เงินในธนาคารของเรา เฉพาะในแง่เศรษฐศาสตร์ดิจิตอลนะครับ
เพื่อนๆว่ายังไงบ้าง ลองมาแชร์ความคิดเห็นกันนะครับ
สำหรับเพื่อนๆที่อยากอ่านเพิ่มเติมว่า เงินดิจิตอล มันเป็นยังไง มันมาจากอะไร มันทำอะไรได้บ้าง ลองหาอ่านดูนะครับ
Key word : Token , Defi , Liquidity pair, การสร้างเหรียญ Token
พวกนี้มีคนอธิบายไว้เยอะอยู่ครับ จากช่วงที่ตลาด Bull เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
เพื่อไทยโทเคน เงินดิจิตอลใหม่ของคนไทย อัจฉริยภาพด้านเศรษฐศาตร์ หรือ หายนะทางธุรกิจ
สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของเงินดิจิตอล อาจจะขอเท้าความก่อนว่า ทำไมต้องเป็นเงินดิจิตอล คือผมเห็นคนถามเยอะมากๆว่าเอา 5แสนล้านมาจากไหนๆๆ กู้มาใช่ไหม จริงๆคำตอบของเรื่องนี้ อยู่ล่างๆนะครับ ถ้าขี้เกียจอ่านยาว ข้ามไปอ่านด้านล่างเลย
คือจริงๆในมุมของผม การใช้เงินดิจิตอล เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีข้อดีอยู่หลายอย่างมากเลยนะครับ ที่เงิน fiat ทำไม่ได้ จริงๆในที่นี้ ต้องอธิบายก่อนว่า เงินดิจิตอลคืออะไร คือเงินดิจิตอล เป็นเหมือน เงินค่านึง ที่ตั้งขึ้นมา มันคือระบบการใช้จ่ายที่ซ้อนกับการใช้เงินสกุลอีกทีนึง หรือ จะบอกว่า มันเป็นอีกสกุลนึงก็ได้ ซึ่งเงินแต่ละประเภท แต่ละสกุล ไม่ว่าจะ บาทไทย ญี่ปุ่นเยน หรือ ดอลล่าสหรัฐ เขาก็นำมาใช้ชำระหนี้ค้าขายกัน แต่มูลค่าของมันก็จะขึ้นกับเสถียรภาพของเศรษฐกิจนั้นๆ หรือ สินทรัพย์ที่มาค้ำประกันของมัน
ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆขอแบบง่ายๆ ไม่ลงลึกให้คนเข้าใจนะครับ พี่ๆที่เชี่ยวชาญอยู่แล้วอาจจะข้ามไปได้ เงิน 1 ดอลล่า มีค่าเท่ากับ 35 บาท (ประมาณๆ) เพราะว่า มันมีการควบคุมด้วยธนาคาร มีสภาพคล่องที่คุณก็เอาเงิน 1 ดอลล่าไปธนาคารหรือ ที่แลกเงิน Super rich ฯลฯ คุณก็จะได้เงินกลับมา 35 บาท หรือ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น คุณไปโลตัส ซื้อคูปองศูนย์อาหาร เงิน 100 บาท และได้ 100 บาทคูปอง จริงๆตรงนี้ก็เหมือนกับเป็นเงินเสมือน เพราะถ้าคุณใช้ที่ศูนย์อาหารโลตัส มันจะมีค่า 100 บาท แต่คุณจะไปใช้ที่อื่น มันอาจจะไม่มีค่าเลย เพราะฉะนั้น งินดิจิตอลนี้ก็เหมือนกัน จริงๆ เราควรเรียกมันว่า คูปองเพื่อไทย หรือ เพื่อไทยโทเค่น จะเห็นภาพชัดกว่า พอเป็นภาพนี้ หลายๆคนจะเริ่มเห็นละ
ว่าการใช้จ่าย เพื่อไทยคูปองเนี่ย ในการนำเงินมาขึ้นหลังจากนี้ 6 เดือน มันคือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยที่ยังไม่ต้องใช้เงินสักบาทเลยก่อน เพราะคุณใช้โทเค่นนี้ไปซื้อของ เหมือนคุณซื้อในศูนย์อาหาร
แต่ปัญหามันก็คือ ในระยะเวลา 6 เดือนนั้น โทเค่นนี้มันต้องเกิดการหมุนเวียน และ มีคนต้องการจริงๆ มันถึงจะอยู่รอดได้ ยกตัวอย่าง ใน Supply chain หรือ ในแต่ละขั้นของการชำระ
ตัวอย่างที่ 1
1.คนซื้อ ซื้อของที่ร้านอาหาร >>>>> 2. ร้านอาหาร เอาโทเค่นไปจ่ายพนักงาน >>>>> 3. พนักงานนำโทเค่นนี้ไปซื้อของที่ร้านอื่น
แบบนี้ไปได้ เพราะเงินมันหมุนเวียน และเราก็ได้โทเค่นไปจับจ่ายซื้อบริหารได้เรื่อยๆ มันจะวนกลับมาเป็นคนที่ 1 แต่ถ้าเชนมันยาวกว่านั้นล่ะ
ตัวอย่างที่ 2
1. คนซื้อของใช้โทเค่นซื้ออาหาร >>>>> 2. ร้านอาหารนำโทเค่นไปซื้อหมู >>>>> 3. ร้านเขียงหมูนำโทเค่นไปจ่ายซื้อหมู >>>>>> 4.คนขายหมูนำโทเค่นไปจ่ายค่าอาหารหมู และ ซื้อลูกหมู >>>>>> 5. คนขายอาหารหมูนำไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารหมู
พอเชนมันเริ่มยาวละ มันมีโอกาส ที่จุดในจุดนึง จะไม่สามารถนำโทเค่น หรือ คูปองนี้ไปใช้ได้ คือถ้าเขารับก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่รับล่ะ ก็จะส่งผลกับความเชื่อมั่น และ การใช้จ่ายทันที และในภาพนี้ ถ้าวัตถุดิบในประเทศ ยังไม่เท่าไร เพราะว่า คนในประเทศยังใช้โทเค่นนี้ จ่ายกันเองได้ แต่ถ้าวัตถุดิบนั้นเป็นวัตถุดิบต่างประเทศล่ะ เมื่อนั้นก็คือ จบเชนทันที เพราะคนต่างประเทศเขาเอาโทเค่นนี้ ไปใช้ที่บ้านเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาไม่เอาแน่ๆ
ซึ่งพอมาในภาพนี้ จะเห็นจุดที่ทางเพื่อไทย หรือ ทีมเศรษฐกิจ ต้องระมัดระวังเลยคือ
1. ทำยังไงให้เครดิตการใช้โทเค่น ของในประเทศ มันหมุนเวียนได้มากที่สุด ไม่ให้สะดุด
2. ทำยังไงให้เศรษฐกิจในต่างประเทศ สามารถนำโทเค่นนี้ไปแลกได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่า มันจะต้องมีคนกลุ่มนึง หรือ หน่วยงานนึง หรืออะไรสักอย่างนึง เป็นคนแบกโทเค่นนี้ไว้ยาวๆ ระยะเวลา 6 เดือน ในขณะที่เขานำเงินบาทไปแปลงเป็นดอลล่า หรือ ค่าเงินต่างประเทศให้วัตถุดิบหรือบริการจากต่างประเทศไปก่อน
พอมาในภาพนี้ ในด้านเงินดิจิตอล หรือโทเค่น อย่างที่เล่าว่า มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสินทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อประคองให้เงิน เพื่อไทย โทเค่น 1 โทเค่น = 1 บาท ซึ่งโอเค ลองนึกภาพตอนรัฐบาลที่แล้ว ทำโครงการเที่ยวด้วยกัน คืออย่างที่บอกครับ พวกนี้มองอีกแง่นึง มันก็เป็นเงินอีกสกุลได้ เพราะสุดท้ายมันก็ต้องทำการแปลงสภาพเป็นเงินบาท หรือ เงินสดให้คนไปใช้จ่ายกัน อย่างที่เราเองก็ทราบว่า มันมีบางกลุ่มที่ เขารับแปลงสภาพเงินคือรับเงินจาก เป๋าตังนะ แต่จ่ายเป็นเงินบาท เช่นรับมา 1000 จ่ายเงินบาท 800 ในภาพนี้ก็คือ 1 เป๋าตัง โทเค่น = 0.8 บาทไทย อะไรแบบนี้ และเพื่อไทยจะทำอย่างไรให้ 1 เพื่อไทยโทเค่นนี้ มีมูลค่าเท่าเดิมที่ 1 บาทไทยได้ตลอด ไม่เช่นนั้น มูลค่ามันจะลดลงเรื่อยๆ และสุดท้าย เพื่อไทยโทเค่นจะไม่มีค่าในที่สุด ถ้าทำให้คนไว้ใจไม่ได้
และอย่างสุดท้าย การใช้เพื่อไทยโทเค่นนี้ ในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีข้อดีหลายๆอย่างก็จริง แต่ต้องระมัดระวัง และ ต้องเก่งมากๆ พร้อมการร่วมมือ การสนับสนุนทุกภาคส่วน ซึ่งยากโคตร
ทำไมมันถึงดีในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้อดีอีกอย่างของเงินดิจิตอล หรือ คูปอง หรืออะไรก็ตามพวกนี้คือ คุณยังไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนเทียบเท่าของมัน มันคือเงินที่เขาบอกคุณว่า เนี่ย มันมีมูลค่าเท่านี้ คุณต้องเชื่อนะ ถ้าทุกคนเชื่อ และใช้มันตามมูลค่านี้ มันก็จะมีมูลค่านี้
อ่ะกลับมา ปกติถ้าคนอยู่ในตลาด Token / Crypto จะรู้ว่า มันมีสิ่งนึงเวลาเปิดตัวเหรียญใหม่ หรือ Launch เหรียญใหม่ มันคือสิ่งที่ต้อง Add Liquidity หรือก็คือ การจับคู่การแปลงเหรียญ คือเหรียญน่ะมันใช้ได้ ถ้าเพื่อไทยโทเค่น ใช้ในประเทศเพื่อไทย มันก็มีมูลค่าเท่านั้น ตราบใดที่ทุกคน ยอมรับในมูลค่าและแลกเปลี่ยนกัน แต่มันจะไม่มีค่าในโลกภายนอก เขาเลยต้องมีการทำ liquidity เช่น เพื่อไทย โทเค่น 1 เหรียญ เท่ากับ 1 บาท แล้ว เพื่อไทยต้องเตรียมเงินทำ liquidity นี้เท่าไรล่ะ คือในโลก Defi มันจะมีค่าการทำธุรกรรมเนอะ เวลาเราใช้ใน ETH chain / BNB chain / Bitkub chain มันก็ต้องใช้โทเค่นของเขาเป็นค่าธรรมเนียม ซึ่งถ้าเทียบง่ายๆก็คือภาษี คือทุกๆ transaction ที่เกิดขึ้นจะมีค่าแก๊ส ค่าภาษีที่เกิดขึ้น ของเราก็มีพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ฯลฯ ซึ่งเงิน 100 บาท ใช้ 1 ครั้ง ก็เสีย 7 บาท ถ้าคนเอา 93 บาทนั้นไปใช้ ซื้ออย่างอื่น ก็จะเสียอีก 7% มันก็จะซ้อนๆไปเรื่อยๆ
ในรายละเอียด มาตรการ เพื่อไทยโทเค่น มูลค่า 5แสนล้าน นั้นกว่าจะสามารถรับแลกเป็นเงินไทยบาทได้นั้น ก็จะใช้ระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเขาประเมินว่าจะมีการเก็บภาษี ได้ 30% แปลว่า เงินที่ต้องใช้จริงคือ 3.5 แสนล้าน หรือก็คือ 70% นี่คือเงินที่เพื่อไทยต้องเตรียมไว้ หลังจากนี้อีก 6 เดือน แต่ช้าก่อนนน!!!!! 3.5 แสนล้านนี้ มันต้องใช้เมื่อมีคนมาแลกเป็นเงินบาทจริงๆเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าเราสามารถต่อยอดและกระตุ้นให้มีการหมุนวน การใช้ โทเค่นนี้ไปเรื่อยๆๆๆ พอจะเห็นภาพไหมครับ นโยบายนี้ อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสักบาทเลยก็ได้ ถ้าเพื่อไทยโทเค่นถูกยอมรับเป็นอีกสกุลนึง และสามารถใช้จ่ายต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ โดยคนไม่ต้องการแปลงกลับเป็นเงินบาท เท่านั้นยังไม่พอ คนในวงการจะรู้ดีว่ามีอีกวิธีที่จะทำให้สภาพคล่องของโทเค่นลดลง ก็คือการนำไป Stake หรือพูดง่ายๆเหมือนการฝากประจำ ถ้าคนนำไป Stake ระยะเวลา 6 เดือน 1 ปี 5 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ liquidity ที่เพื่อไทยต้องเตรียม 3.5 แสนล้านนี้ ก็จะลดลงไปเรื่อยๆๆๆ และถ้าหมุนไปเรื่อยๆ ภาษา Defi มันคือการทำให้มี utility ใหม่อื่นๆให้ไปใช้ได้ ภาษีก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีก จนอาจจะไม่ต้องใช้เงินสดเลยก็ได้ เช่นในอนาคต การใช้จ่ายภาครัฐ ต้องใช้ผ่านตัว token นี้เท่านั้น หรือ การทำ Stake แบบ Pairing เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เช่น บริษัทเอกชน ทำการซื้อ Token นี้จากรัฐบาล เพื่อผูกค่าเงินบาท กับ โทเค่นนี้ ก็จะช่วยให้เกิดสภาพคล่องขึ้น และลดจำนวนเงิน 3.5แสนล้านที่ต้องใช้ลงไปอีก เพราะมีเอกชน หรือ รายอื่นเข้ามาเตรียมเงินไว้ให้
นี่คือความอัจฉริยะของระบบเศรษฐศาสตร์ของดิจิตอล
แต่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ตัวใหญ่ๆ นี่มันคืออุดมคติทั้งหมดครับ ถ้าทำได้ โคตรเจ๋งเลย
อุปสรรคมันเยอะมาก จากที่ไล่มาด้านบน ทำยังไงให้เงินนี้มีการหมุนเวียนกันตลอด ทำยังไงให้คนเชื่อถือ และมั่นใจในการใช้โทเค่นนี้ แต่ถ้ามันทำได้จริง นี่คืออนาคตการเงินใหม่อีกรูปแบบนึงเลย และเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นมหาศาล ด้วย Leverage การเงิน ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนนะครับ เพราะลองไปดู Defi ต่างๆ สุดท้ายไม่ว่าจะ Luna (จริงๆ ก็พูดได้ว่า มันเป็นรูปแบบคล้ายๆแบบนี้) BNB / Cake พวกนี้คือเหรียญ Token ชื่อดังในอดีต ที่พยายามทำให้เกิด utility และ มีการใช้งานการหมุนเวียน ด้วยวิธีที่บอกไปด้านบนทั้งสิ้น ก็ต้องมาดูกันครับว่า ในภูมิภาคระดับประเทศ หรือ ระดับรัฐบาล เพื่อไทยจะทำได้ไหม ทำได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าทำได้ นี่คืออภิมหาเศรษฐศาสตร์ในอนาคต และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงิน leverage ที่ใช้เงินน้อยแต่ได้มาก แต่ถ้าทำไมได้ สุดท้ายแล้ว เพื่อไทยโทเค่นก็จะไม่มีค่าเหมือน Luna และ รัฐบาลก็จะต้องหาเงิน 5 แสนล้านบาทมาเติม และใช้คืนให้คนที่ไม่ต้องการโทเค่นนี้ ซึ่งจริงๆถ้ามองแบบนี้ worst case คือ ต้องใช้เงินทั้งหมด 5แสนล้าน - ภาษี แต่ถ้า เกิดมันปังขึ้นมา อาจไม่ต้องใช้เงินสักบาทเลย
อาจจะยาวสักหน่อย แต่อยากเสริมภาพให้คนที่ไม่เคยใช้ หรือไม่รู้จักเงินดิจิตอล ว่ามันแตกต่างอย่างไรกับเงินปกติ หรือ เงินในเป๋าตัง เงินในธนาคารของเรา เฉพาะในแง่เศรษฐศาสตร์ดิจิตอลนะครับ
เพื่อนๆว่ายังไงบ้าง ลองมาแชร์ความคิดเห็นกันนะครับ
สำหรับเพื่อนๆที่อยากอ่านเพิ่มเติมว่า เงินดิจิตอล มันเป็นยังไง มันมาจากอะไร มันทำอะไรได้บ้าง ลองหาอ่านดูนะครับ
Key word : Token , Defi , Liquidity pair, การสร้างเหรียญ Token
พวกนี้มีคนอธิบายไว้เยอะอยู่ครับ จากช่วงที่ตลาด Bull เมื่อ 2 ปีที่แล้ว