คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
ข้อมูลเรื่องโลกร้อนมันชัดเจนมานานมากแล้วครับ แค่อ่านข้อมูลจากเวป NASA ที่เดียวเขาก็สรุปข้อมูลเชิงประจักษ์ให้ทั้งหมดได้แล้ว
แต่ข้อโต้แย้งเรื่องโลกไม่ร้อนมันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
- ช่วงอากาศยังไม่เปลี่ยน ก็ไม่ยอมรับ โลกร้อนอะไรไร้สาระ นักวิทยาศาสตร์เพ้อเจ้อ
- ช่วงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็บอกว่าเป็นธรรมชาติของโลก อากาศของโลกมีวงรอบการเปลี่ยนแปลงปกติอยู่แล้ว
- ช่วงที่ความปกติมันเริ่มชัดเจนมากขึ้น ประเทศไทยไม่มีฤดูหนาวอีกต่อไป มีภัยธรรมชาติใน 10 ปีนี้รวมมากกว่า 100 ปีที่ผ่านมา ก็จะบอกว่า มันก็คงมีจริงอ่ะนะ แต่เอาน้ำมันทั้งหมดในโลกมาเผา โลกก็คงไม่ร้อนไปกว่าดาวศุกร์ ไม่ร้อนมากไปกว่านี้หรอก อะไรประมาณนี้ (ส่วนตัว wtf กับเหตุผลนี้มากๆ คนพูดมาจากดาวคริปตรอนเหรอ มนุษย์เจออากาศ 40 ร้อนแดด PM2.5 แค่นี้ก็จะตายแล้วไหม ใช้ชีวิตลำบากแล้วไหม และนี่คือแค่เริ่มต้นมากๆ)
- โลกเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดตั้งนานแล้ว พิธีสารเกียวโตจำกัดคาร์บอนตั้งนานแล้ว ถ้าโลกร้อนเพราะมนุษย์จริง ทำไมโลกไม่กลับไเหมือนเดิม
สุดท้ายกก็ลงความเห็นว่า ไม่อันตราย ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ ช่างมัน..
ไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะซิ ปัญหาคือสิ่งที่เกิดขึ้นมนุษย์ไม่มีความสามารถ หรือเทคโนโลยีที่จะทำให้มันกลับเหมือนเดิมได้เลยซักอย่างเดียว best case ที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือหยุดสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 60-70 ปีมานี้ ต่อให้เราหยุดได้ 100% พลวัตรของภูมิอากาศโลกก็ยังต้องใช้เวลาอีกซักพัก(อาจหลายสิบปี)กว่าจะกลับไปในจุดที่มนุษย์จะเริ่มทำลายมันด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรม
แต่ในความเป็นจริงเราไม่ใกล้เคียงกับการหยุด 100% เลย พิธีสารเกียวโตประเทศที่เข้าร่วมและทำตามจริงๆมีแค่ประเทศตัวท็อปๆในยุโรปเท่านั้นเอง ซึ่งประชากร พื้นที่เค้าเป็นแค่ส่วนเล็กๆของโลก สหรัฐ จีน รัซเซียกับประเทศมหาอำนาจที่เป็นผู้ที่ปล่อยคาร์บอนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าร่วม ไม่รวมกับประเทศรายได้ปานกลาง ยากจนที่ได้รับการยกเว้นที่เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรม ประชากรเติบโตขึ้นแนวโน้มจริงๆมันมีแต่เพิ่ม ในยุโรปเองที่ว่าเข้มๆผลที่ตามมาคือบริษัทในยุโรปก็เริ่มหนีออกจากยุโรป ไปที่ภูมิภาคอื่นของโลก แล้วยิ่งมีสงครามตอนนี้คือแทบจะยกเลิก เริ่มกลับไปใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศอีก จากเดิมที่ใช้ก๊าซจากรัซเซียเป็นส่วนใหญ่ การใช้ไฮโดรเจนจริงๆในยุโรปยังไม่ได้เริ่มเลย แค่การทดลองาวงแคบๆ เริ่มใช้ได้จริงๆคือเมื่อยุโรปเดินท่อก๊าซจากอาฟริกาเสร็จสิ้นอีก 2-3 ปี แล้วมันก็คือการผลักมลพิษออกไปในภูมิภาคอื่น ในอุตสาหกรรมใหญ่ โรงงาน เครื่องจักรใหญ่ ไฮโดรเจนเป็นแค่ตัวส่งผ่านพลังงาน ต้องมีการปล่อยคาร์บอนในอัตราเท่ากันที่อาฟริกาอยู่ดี มันไม่ช่วยเรื่องประสิทธิภาพเหมือนการใช้รถ EV แทนรถน้ำมัน
ยกตัวอย่างการใช้รถ EV คนที่ใช้ก็ใช้เพราะมันดีกว่ารถน้ำมันในหลายๆด้าน การรักษ์โลกมีผลน้อยมากในการทำให้คนเปลี่ยนมาใช้ EV (แต่ทำให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมได้ง่ายขึ้น) และถึงมันจะดีกว่ามันก็จะเจอการต่อต้านเพราะทำให้ธุรกิจเก่าๆตายลง และก็นี่แหละเหตุผลส่วนใหญ่ของข้อมูลเท็จเรื่องโลกร้อนทั้งหลาย คือธุรกิจเก่าๆวงจรเก่าๆมันเงินดี กำไรดีกว่ามาก และการเปลี่ยนแปลงอาจหมายถึงการเสียธุรกิจ เสียอำนาจของคนหลายๆกลุ่มไปเลย ยุคโซเชียลข่าวสารอัดฉีด เดินหน้าได้ด้วยเงินครับ
แล้วในความจริงโปรโตคอลพวกนี้ไม่ได้ให้เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่เป็นการกำจัดปริมาณลงไปเล็กน้อย เราดูโฆษณาบริษัทพลังงาน เราเห็นกังหันลม พลังงานทดแทน ท้องฟ้า น้ำทะเลสะอาด เหมือนได้กลิ่นอากาศบริสุทธิออกมาจากโฆษณา แต่จริงๆมันก็คือหนัง คือ Ads จากงบประชาสัมพันธ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ในการทำธุรกิจ จริงๆธุรกิจพวกนี้ก็คือ ขุดน้ำมัน เหมือนเดิม มีแค่ความรู้สึก ภาพลักษณ์ ความรับรู้ของเราเท่านั้นที่เปลี่ยน
ปัจจัยต่างๆเหล่านี้เราก็จะได้สภาพแวดล้อมที่สุดขั้วขึ้นเรื่อยๆแน่นอน และมันก็มีผลกับเรามาก ตอนนี้เราเริ่มชินกับสิ่งที่เป็นอยู่แต่ถ้ากลับไปมองสมัยก่อน สิ่งที่เราสูญเสียไปเยอะครับ แล้วอย่าคิดว่ามีชีวิตแค่ตื่นนอน เรียน ทำงาน กลับบ้าน ชีวิตไม่เอาท์ดอร์ ไม่ได้ไปปลูกผักปลูกหญ้าแล้วจะไม่ลำบากครับ การที่ฝนตกหนักตรงเวลาเราเลิกงานทุกครั้งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอฺิญ แต่เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่มีรถในถนนปล่อยคาร์บอนพร้อมกันเยอะที่สุดครับ
ในอนาคตอันใกล้เราอาจอยู่นอกบ้านไม่ได้อีกเลย ต้องอยู่ในอาคารปรับอากาศ ไปไหนต้องต่อท่อมีเครื่องกรองหรือซื้ออากาศกระป๋องหายใจ การขาดแคลนอาหาร โรคระบาด ภัยธรรมชาตื ในระดับที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มันมีวงจรที่เกี่ยวข้องกัน(ขอไม่อธิบาย มันยาว..) ถ้ายังมีแนวโน้มแบบนี้ต่อไป รวมกับอัตราเร่งที่เปลี่ยนจากโลกร้อนเป็นโลกเดือด สิ่งพวกนี้มันเกิดแน่ครับ คนแค่ยังเชื่อว่ายังไงก็ไม่เกิดเพราะในช่วงชีวิตเค้ามันไม่เคยเกิดมาก่อน โลกไม่ได้เปราะบาง มนุษย์ต่างหากที่เปราะบาง
แต่ในความสิ้นหวังก็มีความหวังอยู่ จริงๆช่วงโควิดอุตสหกรรมหลายส่วนของโลกหยุดชงักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วงนั้นดัชนีหลายๆอย่างจากการตรวจวัดมันดีขึ้น หลายสิ่งมันฟื้นตัวได้ในช่วงสั้นๆจริงๆ แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เราทำเป็นปกติมาหลายสิบปีแล้วถือว่าเล็กน้อยมากๆ
แต่ข้อโต้แย้งเรื่องโลกไม่ร้อนมันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
- ช่วงอากาศยังไม่เปลี่ยน ก็ไม่ยอมรับ โลกร้อนอะไรไร้สาระ นักวิทยาศาสตร์เพ้อเจ้อ
- ช่วงเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็บอกว่าเป็นธรรมชาติของโลก อากาศของโลกมีวงรอบการเปลี่ยนแปลงปกติอยู่แล้ว
- ช่วงที่ความปกติมันเริ่มชัดเจนมากขึ้น ประเทศไทยไม่มีฤดูหนาวอีกต่อไป มีภัยธรรมชาติใน 10 ปีนี้รวมมากกว่า 100 ปีที่ผ่านมา ก็จะบอกว่า มันก็คงมีจริงอ่ะนะ แต่เอาน้ำมันทั้งหมดในโลกมาเผา โลกก็คงไม่ร้อนไปกว่าดาวศุกร์ ไม่ร้อนมากไปกว่านี้หรอก อะไรประมาณนี้ (ส่วนตัว wtf กับเหตุผลนี้มากๆ คนพูดมาจากดาวคริปตรอนเหรอ มนุษย์เจออากาศ 40 ร้อนแดด PM2.5 แค่นี้ก็จะตายแล้วไหม ใช้ชีวิตลำบากแล้วไหม และนี่คือแค่เริ่มต้นมากๆ)
- โลกเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดตั้งนานแล้ว พิธีสารเกียวโตจำกัดคาร์บอนตั้งนานแล้ว ถ้าโลกร้อนเพราะมนุษย์จริง ทำไมโลกไม่กลับไเหมือนเดิม
สุดท้ายกก็ลงความเห็นว่า ไม่อันตราย ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ ช่างมัน..
ไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะซิ ปัญหาคือสิ่งที่เกิดขึ้นมนุษย์ไม่มีความสามารถ หรือเทคโนโลยีที่จะทำให้มันกลับเหมือนเดิมได้เลยซักอย่างเดียว best case ที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือหยุดสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 60-70 ปีมานี้ ต่อให้เราหยุดได้ 100% พลวัตรของภูมิอากาศโลกก็ยังต้องใช้เวลาอีกซักพัก(อาจหลายสิบปี)กว่าจะกลับไปในจุดที่มนุษย์จะเริ่มทำลายมันด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรม
แต่ในความเป็นจริงเราไม่ใกล้เคียงกับการหยุด 100% เลย พิธีสารเกียวโตประเทศที่เข้าร่วมและทำตามจริงๆมีแค่ประเทศตัวท็อปๆในยุโรปเท่านั้นเอง ซึ่งประชากร พื้นที่เค้าเป็นแค่ส่วนเล็กๆของโลก สหรัฐ จีน รัซเซียกับประเทศมหาอำนาจที่เป็นผู้ที่ปล่อยคาร์บอนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าร่วม ไม่รวมกับประเทศรายได้ปานกลาง ยากจนที่ได้รับการยกเว้นที่เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรม ประชากรเติบโตขึ้นแนวโน้มจริงๆมันมีแต่เพิ่ม ในยุโรปเองที่ว่าเข้มๆผลที่ตามมาคือบริษัทในยุโรปก็เริ่มหนีออกจากยุโรป ไปที่ภูมิภาคอื่นของโลก แล้วยิ่งมีสงครามตอนนี้คือแทบจะยกเลิก เริ่มกลับไปใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศอีก จากเดิมที่ใช้ก๊าซจากรัซเซียเป็นส่วนใหญ่ การใช้ไฮโดรเจนจริงๆในยุโรปยังไม่ได้เริ่มเลย แค่การทดลองาวงแคบๆ เริ่มใช้ได้จริงๆคือเมื่อยุโรปเดินท่อก๊าซจากอาฟริกาเสร็จสิ้นอีก 2-3 ปี แล้วมันก็คือการผลักมลพิษออกไปในภูมิภาคอื่น ในอุตสาหกรรมใหญ่ โรงงาน เครื่องจักรใหญ่ ไฮโดรเจนเป็นแค่ตัวส่งผ่านพลังงาน ต้องมีการปล่อยคาร์บอนในอัตราเท่ากันที่อาฟริกาอยู่ดี มันไม่ช่วยเรื่องประสิทธิภาพเหมือนการใช้รถ EV แทนรถน้ำมัน
ยกตัวอย่างการใช้รถ EV คนที่ใช้ก็ใช้เพราะมันดีกว่ารถน้ำมันในหลายๆด้าน การรักษ์โลกมีผลน้อยมากในการทำให้คนเปลี่ยนมาใช้ EV (แต่ทำให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมได้ง่ายขึ้น) และถึงมันจะดีกว่ามันก็จะเจอการต่อต้านเพราะทำให้ธุรกิจเก่าๆตายลง และก็นี่แหละเหตุผลส่วนใหญ่ของข้อมูลเท็จเรื่องโลกร้อนทั้งหลาย คือธุรกิจเก่าๆวงจรเก่าๆมันเงินดี กำไรดีกว่ามาก และการเปลี่ยนแปลงอาจหมายถึงการเสียธุรกิจ เสียอำนาจของคนหลายๆกลุ่มไปเลย ยุคโซเชียลข่าวสารอัดฉีด เดินหน้าได้ด้วยเงินครับ
แล้วในความจริงโปรโตคอลพวกนี้ไม่ได้ให้เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่เป็นการกำจัดปริมาณลงไปเล็กน้อย เราดูโฆษณาบริษัทพลังงาน เราเห็นกังหันลม พลังงานทดแทน ท้องฟ้า น้ำทะเลสะอาด เหมือนได้กลิ่นอากาศบริสุทธิออกมาจากโฆษณา แต่จริงๆมันก็คือหนัง คือ Ads จากงบประชาสัมพันธ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ในการทำธุรกิจ จริงๆธุรกิจพวกนี้ก็คือ ขุดน้ำมัน เหมือนเดิม มีแค่ความรู้สึก ภาพลักษณ์ ความรับรู้ของเราเท่านั้นที่เปลี่ยน
ปัจจัยต่างๆเหล่านี้เราก็จะได้สภาพแวดล้อมที่สุดขั้วขึ้นเรื่อยๆแน่นอน และมันก็มีผลกับเรามาก ตอนนี้เราเริ่มชินกับสิ่งที่เป็นอยู่แต่ถ้ากลับไปมองสมัยก่อน สิ่งที่เราสูญเสียไปเยอะครับ แล้วอย่าคิดว่ามีชีวิตแค่ตื่นนอน เรียน ทำงาน กลับบ้าน ชีวิตไม่เอาท์ดอร์ ไม่ได้ไปปลูกผักปลูกหญ้าแล้วจะไม่ลำบากครับ การที่ฝนตกหนักตรงเวลาเราเลิกงานทุกครั้งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอฺิญ แต่เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่มีรถในถนนปล่อยคาร์บอนพร้อมกันเยอะที่สุดครับ
ในอนาคตอันใกล้เราอาจอยู่นอกบ้านไม่ได้อีกเลย ต้องอยู่ในอาคารปรับอากาศ ไปไหนต้องต่อท่อมีเครื่องกรองหรือซื้ออากาศกระป๋องหายใจ การขาดแคลนอาหาร โรคระบาด ภัยธรรมชาตื ในระดับที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มันมีวงจรที่เกี่ยวข้องกัน(ขอไม่อธิบาย มันยาว..) ถ้ายังมีแนวโน้มแบบนี้ต่อไป รวมกับอัตราเร่งที่เปลี่ยนจากโลกร้อนเป็นโลกเดือด สิ่งพวกนี้มันเกิดแน่ครับ คนแค่ยังเชื่อว่ายังไงก็ไม่เกิดเพราะในช่วงชีวิตเค้ามันไม่เคยเกิดมาก่อน โลกไม่ได้เปราะบาง มนุษย์ต่างหากที่เปราะบาง
แต่ในความสิ้นหวังก็มีความหวังอยู่ จริงๆช่วงโควิดอุตสหกรรมหลายส่วนของโลกหยุดชงักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วงนั้นดัชนีหลายๆอย่างจากการตรวจวัดมันดีขึ้น หลายสิ่งมันฟื้นตัวได้ในช่วงสั้นๆจริงๆ แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เราทำเป็นปกติมาหลายสิบปีแล้วถือว่าเล็กน้อยมากๆ
แสดงความคิดเห็น
สงสัยว่าภาวะโลกร้อน global warming เป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์ที่คนแต่งขึ้นมาเพื่อล้มธุรกิจอุตสาหกรรม
จนกระทั่ง มีประธานาธิบดีของสหรัฐคนหนึ่งที่ชื่อว่า donald trump ออกมาต่อต้านนักวิทยาศาสตร์รวมถึงต่อต้านงานวิจัยเกี่ยวข้องกับสภาวะโลกร้อนทุกงาน
และก็เหมือนมีคนไทยหลายคนเชื่อโดนัลด์ทรัมป์ไปด้วย ลามมาถึงการถกเถียงในพันทิป และเพจวิทยาศาสตร์หลายเพจ บางคนก็เชื่อว่าภาวะโลกร้อน global warming เป็นเรื่องจริงบางคนก็เชื่อตามโดนัลด์ทรัมป์ว่ามันไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงบนโลก แต่มันเป็นลัทธิทำลายอุตสาหกรรมการผลิต โทษนักวิทยาศาสตร์ว่าปล่อยเรื่องนี้ออกมาเพื่อทำลายธุรกิจภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก
ซึ่งบางคนก็เชื่อบ้าๆ แบบนี้จริงๆ แต่สำหรับผมผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องแต่ง และไม่ได้มีเจตนาในการทำลายธุรกิจภาคอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้คุณก็เห็นว่าสภาพอากาศบ้านเราเป็นยังไง ผมฮิตสโตรกจะเกือบตายไป 10 รอบ 20 รอบแล้วในประเทศไทย เอาแค่เดินออกไปข้างนอกไม่ได้วิ่งไม่ได้ออกกำลังเหงื่อผมก็ออกเป็นปี๊บ กินเกลือแร่วันนึง 5-6 ขวดไม่พอชดเชยเหงื่อที่ออก แม้นั่งอยู่เฉยๆ เหงื่อก็ออกตลอดเวลา ลความร้อนมันทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายแปรปรวนจริงและทำให้คนตายจริงๆ
ทีเนี้ยผมมาได้ยินข่าวว่าปัจจุบันโลกของเราสิ้นสุดสภาวะโลกร้อนแล้ว แต่เข้าสู่สภาวะโลกเดือดแทน ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงกว่าสภาวะโลกร้อนหลายล้านเท่าตัว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะ global warming ที่หนักขึ้นได้
มาถึงปัจจุบันนี้ก็มีการถกเถียงกันหลายต่อหลายครั้ง บางคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง มีภาวะเรือนกระจกจริงๆเกิด ปรากฏการณ์ climate change จริงๆ
แต่บางคนก็บอกว่ามันไม่มีจริงหรอก
เพราะโลกของเรามันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอายุขัยของโลก
หลายหมื่นปีก่อนโลกยังเป็นน้ำแข็ง
แล้วก็กลับมาร้อนและเดี๋ยวก็จะเข้าสู่สภาวะน้ำแข็งอีกมันเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ
ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องจริงเป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อทำลายภาคงานอุตสาหกรรมเท่านั้นเอง
ซึ่งหลายคนที่เป็นคนไทยก็เชื่อแบบนี้จริงๆ แล้วผมคิดว่าความคิดนี้มันบ้ามาก ผมชื่อวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ แต่คนที่ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ก็ไม่ต่างจากคนที่หลงใหลในไสยศาสตร์จนเกิดความงมงายไปเชื่อคำพูดของประธานาธิบดีอเมริกาคนก่อนหน้า ทั้งที่มีงานวิจัยวิทยาศาสตร์ออกมาเป็นร้อยๆ ฉบับเกี่ยวข้องกับสภาวะโลกร้อน global warming หรือแม้กระทั่งสภาวะ climate change แต่คนที่ไม่เชื่อก็เท่ากับปิดหูปิดตาและเป็นการทำลายโลกไปในตัว
ผมเลยขออนุญาตมาตั้งคำถามใน pantip นิดนึงครับ ว่าชาว pantip หลายคนคิดเห็นยังไง
คำถามลก็มีประมาณว่า คุณเชื่อไหมว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องจริงและเกิดขึ้นจริงๆ?
คุณเชื่อไหมว่ามีกาสเรือนกระจกที่ทำให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สภาวะโลกเดือดจริงๆ?
และคุณเชื่อไหมว่าไอ้ภาวะ global warming นี่แหละที่ส่งผลให้เกิด climate change ทั่วทั้งโลก?
หรือว่าคุณเชื่อว่ามันไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ?
เพราะโลกก็แค่ปรับเปลี่ยนไปตามอายุขัยของมันเดี๋ยวสักพักมันก็จะกลับมาทรงตัว มันไม่มีจริงหรอกโลกร้อนเป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อทำลายธุรกิจภาคอุตสาหกรรมอย่างที่โดนัลด์ทรัมป์เคยบอกเท่านั้นเอง