- กะว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว แต่ไหน ๆ ได้โอกาสดูไปดูรอบพิเศษในโรงที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ ก็เลยขอพรรณนาไปหน่อยล่ะกัน คือ ก่อนดูรู้สรรพคุณอยู่แล้วว่าหนังฟอร์มนี้ Plot ย่อเกี่ยวกับอะไร และ ภาพรวมจะออกมาประมาณไหน ซึ่งหลังจากดูจบแล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆ ถือว่าดูไปเพื่อเสพอรรถรสกับบรรยากาศภายในกิจกรรมและเสพความบันเทิงของหนังที่ให้มาตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาทีที่ฆ่าเวลายามว่างสำหรับไม่มีอะไรทำได้ดีพอสมควร ซึ่งให้ระดับพอใช้ ดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ ไม่รู้สึกเสียดายเวลาใด ๆ
- ไม่ติติงเลยว่า Plot มันซ้ำกับเรื่องอื่น ๆ ที่เคยดูมาจริง ๆ แต่นึกไม่ออกว่าคล้ายกับเรื่องอะไรบ้าง เท่าที่ผมสัมผัสได้ในมุมของผมมันมีความเป็น Plot ยุค 90’s – 2000’s ที่มีกลิ่นไอจาง ๆ ของหนังเรื่อง The 6th Days (2000) , I Robot (2004) , Surrogate (2009) และ Blade Runner (1982,2017) อบอวลอยู่ประมาณนั้น แค่หยิบความฉาบฉวยของบรรยากาศภายนอกมาใส่ปรุงแต่งรสลงไปในบรรยากาศกับบทในเรื่องให้มีความ Sci-Fi มากขึ้น ส่วนที่เหลือก็เป็นงาน Handmade สไตล์เกรด B ตามฝีมือของทีมงานที่เรารู้ ๆ เนื้องานกันอยู่ก็ไม่ว่ากัน แต่ยอมรับว่าบางอย่างทำได้ค่อนข้างดีอยู่อย่างฉากพื้นหลังที่เป็นท้องฟ้าสีขาวโพลนปกคลุมดงตึกแล้วรายล้อมด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรมแบบยุคดิสโทเปีย หรือ อุปกรณ์ Gadget อย่างเช่น ตัวปืนที่เจ้าหน้าที่นักสืบใช้ไล่ล่าหุ่นยนต์ออกแบบได้เจ๋งดี แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ การตัดต่อฉากนึงไปอีกฉากนึงตัดข้ามไปง่าย ๆ แถมดันมาตัดในช่วงที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปอย่างไรต่อโดยเฉพาะ Part การสืบสวนคดีตามล่าคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ยังไม่ทันเสร็จสรรพจู่ ๆ ก็ตัดไปที่ Part 2 พระ-นางดื้อ ๆ มันเลยทำให้สะดุดต่อการรับชมจนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที , Effects บางช่วงลอยออกมาทะลุหน้าจอมาก , บทที่ผูกปมให้มีความซับซ้อนเงื่อนงำแต่เดาทางได้ไม่ยากพอถึงช่วงคลี่คลายตอนท้ายเรื่องไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะระหว่างที่ดูหนังได้ปล่อยไก่ออกมาแล้วถ้าสังเกตุดี ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้เราจะเห็นบ่อย ๆ จากหนังเกรดนี้ที่ทำมาเพื่อส่งตรงลงใน Streaming Online ที่ดันโชคดีมีคนซื้อมาฉายในโรง
- ในส่วนที่ผมพอใจ ไม่ใช่ตัวของ 2 พระ-นางอย่าง Robbie Amell กับ Jordana Brewster แต่เป็นพี่ Simu Lui กับ เฮีย Sam Worthington ที่เป็นตัวแบกหนังของจริง ปกติผมเฉย ๆ กับพี่ Lui ตอนดู Shang-Chi เพราะความเป็น Character ตัวตนส่วนตัวจากวีรกรรมทะเล้น เกรียน ๆ ที่เห็นได้ตามสื่อมันติดตาผมมากกว่า แต่พอดูเรื่องนี้กลับพบว่าหนังมันใช้เสน่ห์ความเป็นตัวตนของพี่ Lui ที่เกริ่นมาออกมาใช้ได้มีประโยชน์ ช่วยประคับประคองความไม่อยู่ร่องกับรอยของบทกับทิศทางการเล่าเรื่องที่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นเกรดนี้ได้น่าสนใจน่าติดตามขึ้นมาหน่อยนึง ส่วนเฮีย Sam ที่เรามักจะเห็นเฮียแสดงหนังเกรดนี้บ่อย ๆ ยังทำหน้าที่ได้ดี เพียงแต่บทที่ได้รับมันไม่เอื้อให้ตัวเฮียแสดงศักยภาพมากกว่านี้เลย ทั้ง ๆ ที่ปูพื้นตอนแรหมาอย่างเท่ห์ทีเดียว แต่ดันไปให้ค่ากับ Part 2 ผัว-เมียน่ารำคาญที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องโซเดมาคอมอย่างเดียว แล้วที่ตะลึงได้อีกคือช่วงท้าย ๆ ของเรื่องเหลือเชื่อว่าผู้กำกับจะกล้าใช้มุกละครไทยบ้านเราที่ชอบใช้เป็นประจำอีกเลยกลายเป็นการจบแบบรวบยอดกันง่าย ๆ หาทางลงแบบง่อย ๆ ไปทันที
- การเล่าเรื่องดูจะมีปมอะไรให้เล่นอยู่หน่อยแต่ผู้กำกับสาว April Mullen ยังควบคุมจังหวะของหนังได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ทิศทางการเล่าเรื่องดูสะเปะสะปะไม่เป็นทางเดียวกัน ช่วงแรกยังแบ่ง Part ออกเป็น 2 Part ไปอย่างเห็นได้ชัดคือ Part 2 พระ-นางกับการค้นหาตัวตน กับ Part เจ้าหน้าที่นักสืบที่รับบทโดยเฮีย Sam กำลังสืบคดีเกี่ยวกับพวกหุ่นยนต์ สลับไปมาจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงที่พระเอกเจอกับพี่ Lui ที่รับบทเป็นแฮกเกอร์ เป็น Keywords สำคัญแล้ว หนังก็เริ่มเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันไปจนจบ ส่วนตัวผมชอบ Part สืบสวนที่มันมีปมที่ทิ้งไว้ให้คนดูคิดตามและเล่นกับอารมณ์ของคนดูได้ง่ายอยู่แล้ว แต่พอวกกลับมาที่ 2 พระ-นาง ที่ยังมัวแต่ค้นหาว่าตนเองเป็นใครซ้ำ ๆ พระเอกวัน ๆ ก็เอาแต่คิดถึงแต่เมียไม่ดูสี่ดูแปดเลยว่าภัยกำลังมาถึงตนเองอยู่ทนโท่ ส่วนนางเอกก็ทำตัวงุบงิบลับลมคมใน คิดแต่จะซั่มผัวอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าผัวตนเองเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว ซึ่งก็สร้างมาจากน้ำมือตนเองทั้งนั้น วนเวียนอยู่แต่เรื่องพรรคนั้นไม่ไปไหนจนยืดยื้อออกไปจนไปทับ Line ในส่วนปมของการสืบสวนที่ควรใส่ใจจริง ๆ อย่างปมของเจ้าหน้าที่นักสืบ กับ แฮกเกอร์ ที่มีอะไรน่าค้นหามากกว่าไปด้วย จึงกลายเป็นความน่าเบื่อและน่ารำคาญขึ้นมาเกาด้วยความเหนื่อยใจทุกครั้งที่มีฉาก 2 ผัวเมียคู่นี้ปรากฎบนจอ
- ก่อนดูก็คิดอีกว่า ทำไมพี่ Lui กับ เฮีย Sam ถึงไม่เล่นเป็นพระเอกไปเลยวะ พอดูไปก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าคงมารับจ๊อบเสริมยามว่างในช่วงที่พวกเขาว่างเว้นจากการถ่ายเพื่อรอถ่ายหนัง Franchise ประจำของพวกเขาในภาคต่อไปเพียงช่วงเวลานึง ทั้งพี่ Lui ก็รอเข้าฉากในภาคต่อ Shang-Chi , เฮีย Sam ก็รอแสดงในภาคต่อ Avatar และ เจ๊ Jordana ก็หาจ๊อบเสริมเพื่อรอไปเล่นภาคต่อใน Fast เช่นกัน คงมีแต่ Robbie Amell นี่แหล่ะที่คิวว่างอยู่ก็เลยจับมาเป็นพระเอกซะเลย ผลที่ได้ก็ตามสภาพอย่างที่เห็น จืดจาง น่าเบื่อ เคมีกับเจ๊ Jordana ไม่เข้ากัน ไม่มีอะไรน่าจดจำเลย แถมเป็นจุดอ่อนที่พาหนังทิ้งลงเหวให้ลึกลงไปอีก นอกจากโดน 3 คนนี้กลบแสงซะมิดแล้วถ้าไม่ได้พวกเขาช่วยแบกหนังไว้จะถูกแม่น้ำธรณีสูบกลืนหายไปแน่นอน
- สรุป พอใช้ จบแล้วจบกัน ความสนุกในด้าน Action ก็ไม่มี , ฉากสืบสวนก็ทำได้ไม่สุด หรือ Part ดราม่าที่พยายามใส่ความเป็นปรัชญาตั้งคำถามเกี่ยวกับมนุษย์ลงไปเล่นก็ไม่ลึกซึ้งอีก แต่ก็สามารถดูเพื่อความบันเทิงฆ่าเวลาในยามว่างที่ไม่มีอะไรทำได้ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นสาปส่งไม่ให้ผุดให้เกิด แต่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าหนังเกรดนี้สไตล์จะเป็นอย่างไร ด้วยงบเอย ทุนเอย หรือ โปรดักชั่นอะไรเอย มันทำได้เท่านี้ก็คงได้เท่านี้ ทั้ง ๆ ที่มันก็สามารถไปต่อได้อีกหน่อยอย่างเรื่องบทและการเล่าเรื่อง เพราะความน่ารำคาญสุด ๆ ของ 2 พระ-นาง ควรเอาทั้งคู่ไปแยกชิ้นส่วนกลบฝังลงไปใต้ดินให้หายออกไปจากสาระบบ แล้วเอา 2 ดาราสมทบอย่างพี่ Lui กับ เฮีย Sam มารับบทนำร่วมกันแล้วเพิ่มความเป็น Action ไล่ยิงตัวต่อตัวเพียว ๆ ไปเลยก็ได้จะดีกว่า ง่าย ๆ ดูหนังที่ลูกพี่ Scott Adkins แสดงเป็นตัวอย่าง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.56 Simulant : โลก 2 ใบ ของ หนุ่มคิดถึง (แต่) เมีย กับ สาวผู้อยาก (ซัม) ผัว ท่ามกลางวิกฤติคดีจักรกลโกลาหล
- กะว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว แต่ไหน ๆ ได้โอกาสดูไปดูรอบพิเศษในโรงที่จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ ก็เลยขอพรรณนาไปหน่อยล่ะกัน คือ ก่อนดูรู้สรรพคุณอยู่แล้วว่าหนังฟอร์มนี้ Plot ย่อเกี่ยวกับอะไร และ ภาพรวมจะออกมาประมาณไหน ซึ่งหลังจากดูจบแล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆ ถือว่าดูไปเพื่อเสพอรรถรสกับบรรยากาศภายในกิจกรรมและเสพความบันเทิงของหนังที่ให้มาตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาทีที่ฆ่าเวลายามว่างสำหรับไม่มีอะไรทำได้ดีพอสมควร ซึ่งให้ระดับพอใช้ ดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ ไม่รู้สึกเสียดายเวลาใด ๆ
- ไม่ติติงเลยว่า Plot มันซ้ำกับเรื่องอื่น ๆ ที่เคยดูมาจริง ๆ แต่นึกไม่ออกว่าคล้ายกับเรื่องอะไรบ้าง เท่าที่ผมสัมผัสได้ในมุมของผมมันมีความเป็น Plot ยุค 90’s – 2000’s ที่มีกลิ่นไอจาง ๆ ของหนังเรื่อง The 6th Days (2000) , I Robot (2004) , Surrogate (2009) และ Blade Runner (1982,2017) อบอวลอยู่ประมาณนั้น แค่หยิบความฉาบฉวยของบรรยากาศภายนอกมาใส่ปรุงแต่งรสลงไปในบรรยากาศกับบทในเรื่องให้มีความ Sci-Fi มากขึ้น ส่วนที่เหลือก็เป็นงาน Handmade สไตล์เกรด B ตามฝีมือของทีมงานที่เรารู้ ๆ เนื้องานกันอยู่ก็ไม่ว่ากัน แต่ยอมรับว่าบางอย่างทำได้ค่อนข้างดีอยู่อย่างฉากพื้นหลังที่เป็นท้องฟ้าสีขาวโพลนปกคลุมดงตึกแล้วรายล้อมด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรมแบบยุคดิสโทเปีย หรือ อุปกรณ์ Gadget อย่างเช่น ตัวปืนที่เจ้าหน้าที่นักสืบใช้ไล่ล่าหุ่นยนต์ออกแบบได้เจ๋งดี แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ การตัดต่อฉากนึงไปอีกฉากนึงตัดข้ามไปง่าย ๆ แถมดันมาตัดในช่วงที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปอย่างไรต่อโดยเฉพาะ Part การสืบสวนคดีตามล่าคนร้ายที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ยังไม่ทันเสร็จสรรพจู่ ๆ ก็ตัดไปที่ Part 2 พระ-นางดื้อ ๆ มันเลยทำให้สะดุดต่อการรับชมจนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที , Effects บางช่วงลอยออกมาทะลุหน้าจอมาก , บทที่ผูกปมให้มีความซับซ้อนเงื่อนงำแต่เดาทางได้ไม่ยากพอถึงช่วงคลี่คลายตอนท้ายเรื่องไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะระหว่างที่ดูหนังได้ปล่อยไก่ออกมาแล้วถ้าสังเกตุดี ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้เราจะเห็นบ่อย ๆ จากหนังเกรดนี้ที่ทำมาเพื่อส่งตรงลงใน Streaming Online ที่ดันโชคดีมีคนซื้อมาฉายในโรง
- ในส่วนที่ผมพอใจ ไม่ใช่ตัวของ 2 พระ-นางอย่าง Robbie Amell กับ Jordana Brewster แต่เป็นพี่ Simu Lui กับ เฮีย Sam Worthington ที่เป็นตัวแบกหนังของจริง ปกติผมเฉย ๆ กับพี่ Lui ตอนดู Shang-Chi เพราะความเป็น Character ตัวตนส่วนตัวจากวีรกรรมทะเล้น เกรียน ๆ ที่เห็นได้ตามสื่อมันติดตาผมมากกว่า แต่พอดูเรื่องนี้กลับพบว่าหนังมันใช้เสน่ห์ความเป็นตัวตนของพี่ Lui ที่เกริ่นมาออกมาใช้ได้มีประโยชน์ ช่วยประคับประคองความไม่อยู่ร่องกับรอยของบทกับทิศทางการเล่าเรื่องที่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นเกรดนี้ได้น่าสนใจน่าติดตามขึ้นมาหน่อยนึง ส่วนเฮีย Sam ที่เรามักจะเห็นเฮียแสดงหนังเกรดนี้บ่อย ๆ ยังทำหน้าที่ได้ดี เพียงแต่บทที่ได้รับมันไม่เอื้อให้ตัวเฮียแสดงศักยภาพมากกว่านี้เลย ทั้ง ๆ ที่ปูพื้นตอนแรหมาอย่างเท่ห์ทีเดียว แต่ดันไปให้ค่ากับ Part 2 ผัว-เมียน่ารำคาญที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องโซเดมาคอมอย่างเดียว แล้วที่ตะลึงได้อีกคือช่วงท้าย ๆ ของเรื่องเหลือเชื่อว่าผู้กำกับจะกล้าใช้มุกละครไทยบ้านเราที่ชอบใช้เป็นประจำอีกเลยกลายเป็นการจบแบบรวบยอดกันง่าย ๆ หาทางลงแบบง่อย ๆ ไปทันที
- การเล่าเรื่องดูจะมีปมอะไรให้เล่นอยู่หน่อยแต่ผู้กำกับสาว April Mullen ยังควบคุมจังหวะของหนังได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ทิศทางการเล่าเรื่องดูสะเปะสะปะไม่เป็นทางเดียวกัน ช่วงแรกยังแบ่ง Part ออกเป็น 2 Part ไปอย่างเห็นได้ชัดคือ Part 2 พระ-นางกับการค้นหาตัวตน กับ Part เจ้าหน้าที่นักสืบที่รับบทโดยเฮีย Sam กำลังสืบคดีเกี่ยวกับพวกหุ่นยนต์ สลับไปมาจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงที่พระเอกเจอกับพี่ Lui ที่รับบทเป็นแฮกเกอร์ เป็น Keywords สำคัญแล้ว หนังก็เริ่มเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันไปจนจบ ส่วนตัวผมชอบ Part สืบสวนที่มันมีปมที่ทิ้งไว้ให้คนดูคิดตามและเล่นกับอารมณ์ของคนดูได้ง่ายอยู่แล้ว แต่พอวกกลับมาที่ 2 พระ-นาง ที่ยังมัวแต่ค้นหาว่าตนเองเป็นใครซ้ำ ๆ พระเอกวัน ๆ ก็เอาแต่คิดถึงแต่เมียไม่ดูสี่ดูแปดเลยว่าภัยกำลังมาถึงตนเองอยู่ทนโท่ ส่วนนางเอกก็ทำตัวงุบงิบลับลมคมใน คิดแต่จะซั่มผัวอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าผัวตนเองเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว ซึ่งก็สร้างมาจากน้ำมือตนเองทั้งนั้น วนเวียนอยู่แต่เรื่องพรรคนั้นไม่ไปไหนจนยืดยื้อออกไปจนไปทับ Line ในส่วนปมของการสืบสวนที่ควรใส่ใจจริง ๆ อย่างปมของเจ้าหน้าที่นักสืบ กับ แฮกเกอร์ ที่มีอะไรน่าค้นหามากกว่าไปด้วย จึงกลายเป็นความน่าเบื่อและน่ารำคาญขึ้นมาเกาด้วยความเหนื่อยใจทุกครั้งที่มีฉาก 2 ผัวเมียคู่นี้ปรากฎบนจอ
- ก่อนดูก็คิดอีกว่า ทำไมพี่ Lui กับ เฮีย Sam ถึงไม่เล่นเป็นพระเอกไปเลยวะ พอดูไปก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าคงมารับจ๊อบเสริมยามว่างในช่วงที่พวกเขาว่างเว้นจากการถ่ายเพื่อรอถ่ายหนัง Franchise ประจำของพวกเขาในภาคต่อไปเพียงช่วงเวลานึง ทั้งพี่ Lui ก็รอเข้าฉากในภาคต่อ Shang-Chi , เฮีย Sam ก็รอแสดงในภาคต่อ Avatar และ เจ๊ Jordana ก็หาจ๊อบเสริมเพื่อรอไปเล่นภาคต่อใน Fast เช่นกัน คงมีแต่ Robbie Amell นี่แหล่ะที่คิวว่างอยู่ก็เลยจับมาเป็นพระเอกซะเลย ผลที่ได้ก็ตามสภาพอย่างที่เห็น จืดจาง น่าเบื่อ เคมีกับเจ๊ Jordana ไม่เข้ากัน ไม่มีอะไรน่าจดจำเลย แถมเป็นจุดอ่อนที่พาหนังทิ้งลงเหวให้ลึกลงไปอีก นอกจากโดน 3 คนนี้กลบแสงซะมิดแล้วถ้าไม่ได้พวกเขาช่วยแบกหนังไว้จะถูกแม่น้ำธรณีสูบกลืนหายไปแน่นอน
- สรุป พอใช้ จบแล้วจบกัน ความสนุกในด้าน Action ก็ไม่มี , ฉากสืบสวนก็ทำได้ไม่สุด หรือ Part ดราม่าที่พยายามใส่ความเป็นปรัชญาตั้งคำถามเกี่ยวกับมนุษย์ลงไปเล่นก็ไม่ลึกซึ้งอีก แต่ก็สามารถดูเพื่อความบันเทิงฆ่าเวลาในยามว่างที่ไม่มีอะไรทำได้ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นสาปส่งไม่ให้ผุดให้เกิด แต่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าหนังเกรดนี้สไตล์จะเป็นอย่างไร ด้วยงบเอย ทุนเอย หรือ โปรดักชั่นอะไรเอย มันทำได้เท่านี้ก็คงได้เท่านี้ ทั้ง ๆ ที่มันก็สามารถไปต่อได้อีกหน่อยอย่างเรื่องบทและการเล่าเรื่อง เพราะความน่ารำคาญสุด ๆ ของ 2 พระ-นาง ควรเอาทั้งคู่ไปแยกชิ้นส่วนกลบฝังลงไปใต้ดินให้หายออกไปจากสาระบบ แล้วเอา 2 ดาราสมทบอย่างพี่ Lui กับ เฮีย Sam มารับบทนำร่วมกันแล้วเพิ่มความเป็น Action ไล่ยิงตัวต่อตัวเพียว ๆ ไปเลยก็ได้จะดีกว่า ง่าย ๆ ดูหนังที่ลูกพี่ Scott Adkins แสดงเป็นตัวอย่าง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้