........................................................................................................................................................................................
เมื่อศรีจิตราไปถึงสิงคโปร์แล้ว มหาเศรษฐีเนวินส่งรถมารับที่สนามบินชางงี
แล้วรถก็มาส่งที่คฤหาสน์ของเนวิน
พอศรีจิตราลงจากรถ ก็มีบรรดาคนรับใช้เรียนเชิญให้ขึ้นไปนั่งรอที่ห้องรับแขกสุดหรู
"เรียนเชิญเจ้าหญิงศรีจิตราที่ห้องด้านโน้นเลยค่ะ"
ศรีจิตราเดินตรงไปยังโถงกว้างจนถึงห้องรับแขกสุดอลังการ
เธอนั่งรอเนวินที่ตรงนั้น ไม่นานนัก เนวินก็โผล่มา
"สวัสดีครับเจ้าหญิงศรีจิตรา เชิญตามสบายเลยนะครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
"ต้องการอะไรเพิ่มเติมไหมครับ"
"ไม่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ของว่างอร่อยมากเลยค่ะ"
"เจ้าหญิงศรีจิตราดูเป็นธรรมชาติมากเลยนะครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
"รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวเจ้าหญิงก็จะได้พบกับพี่สาวแล้ว"
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ"
ไม่นานนัก เยาวมาลย์ พี่สาวของศรีจิตราจึงเดินเข้ามาหา
"สวัสดีค่ะ"
ศีจิตราลุกขึ้นยืนแล้วโผกอดด้วยความคิดถึง
"พี่สบายดีไหมจ๊ะ"
"ดีค่ะ ท่านเนวินดูแลดีมาก พี่เป็นแม่บ้านของท่านค่ะ"
"แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ"
"เออ ... หม่อมป้าขายพี่ให้ท่านเนวินค่ะ โชคดีที่ท่านมีเมตตา"
"ขายเหรอคะ"
"ค่ะ ตอนนั้น ถ้าใครเข้าใกล้คุณจักรพันธ์ ต้องมีอันเป็นไปทุกคนค่ะ"
"พี่ปลอดภัยก็ดีแล้วนะคะ พี่อยากกลับกับหนูมั้ย"
"ให้พี่อยู่ที่นี่เถอะค่ะ พี่กลัวหม่อมป้า อีกอย่างพี่ก็มีครอบครัวอยู่ที่นี่แล้ว"
"อ๋อ ค่ะ"
เนวินเดินเข้ามา
"เจ้าหญิงไม่ต้องห่วงนะครับ พี่สาวของเจ้าหญิง ผมดูแลอย่างดีเลยครับ"
"เดี๋ยวพี่ไปทำของว่างให้อีกชุดนะคะ เดี๋ยวมาค่ะ"
แล้วเยาวมาลย์ก็ผละจากไป
"ทรงนั่งเถอะครับ" เนวินเชื้อเชิญ
"ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องมีพิธีรีตองกับฉันก็ได้นะคะ"
เนวินส่ายหัว
"ไม่ได้นะครับ เจ้าหญิงศรีจิตราทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง
คุณงามความดีและความเสียสละ
งานช่วยผู้หญิงและเด็กที่อาคารบัวบานก็คืบหน้าไปมาก
ผมศรัทธาสิ่งที่เจ้าหญิงทำมาก ๆ เลยครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
"สิ่งสำคัญที่สุด ผมอยากทำธุระกิจร่วมกับเครือจักรพันธ์ครับ
นี่คือแผนทั้งหมด ฝากส่งต่อให้คุณธนัชด้วยนะครับ"
"ค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้นะคะ"
"ขอบคุณมากครับ"
........................................................................
คูซอน รันดรและคัวเรา ยืนจับมือกันอยู่กลางโถง
ทั้งหมดตั้งสมาธิ เพื่อสื่อสารกับเทพ
แล้วก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ ฟองอากาศโผล่ออกมา
เป็นฟองอากาศขนาดเล็ก แต่ขยายใหญ่ขึ้นจนเท่าคน
และที่สำคัญ มีเทพอยู่ในนั้น
เป็นเทพผู้ชายหน้าตาดี ราชาแห่งนูทรงกล่าวว่า
"เทพที่เราสื่อสารได้จะอยู่ในโบม โบมคือสิ่งที่คล้ายฟองอากาศ
มีลักษณะใส เทพจะอยู่ในนั้น โบมจะหดลงเล็กเท่ามดก็ได้
จะขยายใหญ่เท่าภูเขาก็ได้ เทพก็จะปรับขนาดตามโบม
และโบมจะช่วยให้เทพสื่อสารกับเราได้
โบมนี่มีอานุภาพมาก เทพแต่ละองค์ จริง ๆ แล้วพระองค์ไม่ได้เรียกตัวเองว่าเทพนะ
พวกเราต่างหากที่เรียกท่านว่าเทพ แล้วชื่อท่านก็ยาวมาก
ท่านได้นามมาตอนจุติ เราเลยขอยืมนามเทพในโลกมาเรียกท่านแทน
มันจะสะดวกกว่า ท่านก็เห็นด้วย เทพท่านนี้นามว่าศิวะ
เชิญท่านสื่อสารกับทุกท่านได้เลย"
ศิวะยิ้มให้ทุกคน
"ยินดีที่เราได้มาเจอกัน ต้องขอบคุณเหล่าผู้มีอภิญญาที่ได้เรียกข้ามา
ข้าเลยได้มารู้จักพวกเจ้า ยินดีอย่างยิ่ง
ในจักรวาลนี้ ยังมีสิ่งที่น่าค้นหาอีกมาก ถ้าท่านมีอภิญญา
ท่านจะพบว่าในจักรวาลยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านจะได้เรียนรู้
ยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านมองไม่เห็น แต่อาจสัมผัสได้
และยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านนึกไม่ถึง"
ศิวะลองบังคับโบมซึ่งเป็นทรงกลมใสให้ทุกคนดู
ตั้งแต่ทำให้โบมหดลงจนเล็กกว่ามด
และขยายตัวจนใหญ่เต็มโถง
หลังจากนั้นทรงให้โบมวิ่งวนทั่วห้องด้วยความเร็วมหาศาล
จนมาหยุดนิ่งที่กลางห้องอีกครั้งในสภาวะปกติ
โดยทำให้โบมมีขนาดเท่ามนุษย์ ศิวะเองก็จะมีขนาดเท่านั้นไปด้วย
"นอกจากโบม ท่านยังพบเทพองค์อื่นที่ไหนได้บ้างครับ" เจ้าชายจักรภพทรงถาม
ศิวะทรงตอบ "เรียกกันง่าย ๆ ว่าอาศรมสถาน ณ ที่แห่งนั้น เทพและเทพี
จะมารวมตัวกันได้ อาศรมสถานจะปรากฏอยู่ได้หลายที่หลายรูปแบบ
จะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ได้ คิดว่าที่จักรวาลอยากให้มีเทพเพราะ
เทพคืออีกสภาวะหนึ่งที่จะช่วยรักษาสมดุลให้กับจักรวาล
จริง ๆ แล้วพวกมารก็มีนะ ฤทธิ์เดชก็เยอะ แต่พวกท่านมองไม่เห็น"
"ทำไมมารถึงดูเหมือนมีฤทธิ์แบบเทพละครับ" เจ้าชายฝางถามด้วยความสงสัย
"อืม เขาเคยเป็นผู้มีอภิญญามาก่อน ก็เลยมีฤทธิ์ ไม่นานคงหมดฤทธิ์ไปเอง"
ศิวะยิ้มให้กับทุกคน "ข้าต้องไปก่อนนะ จนกว่าจะพบกันใหม่"
แล้วฟองอากาศโบมเหมือนจะแตกออก แต่จริง ๆ มันกำลังหายไปสู่อาศรมสถาน
................................................................................................................
ณ อาศรมสถานแห่งหนึ่ง ศิวะเดินเข้าไปและได้พบเทพอีก 2 องค์
"อ้าวท่านไปไหนมาเหรอ"
"ไปหาพวกหนานนูเปียที่ดาวโลก"
"แล้วท่านจะให้เราสองคนใช้ชื่อว่าวิษณุกับโพไซดอนไปก่อนเหรอ"
"ใช้ชื่อนี่แหละ ข้าขโมยนามมาจากชาวโลก อืม ..."
"มีอะไรเหรอท่าน"
"ทั้งชาวหนานนูเปียและชาวโสฬสที่ข้าไปพบมาในวันนี้
ทำไมข้าถึงรู้สึกผูกพันกับบางคนแบบแปลก ๆ
เหมือนเคยเป็นญาติกันมาก่อน"
"ญาติ"
"ใช่ เหมือนญาติ ข้าอาจเคยเกิดที่นั่นมาก่อน
แต่ข้าจำไม่ได้"
"อืม แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป"
"คงต้องปรึกษาผู้มีอภิญญาแห่งหนานนูเปีย
เพราะบางคนระลึกชาติได้"
"อืม จักรวาลมีความลับที่ต้องไขกันอีกแล้ว"
"เรื่องอาศรมสถานกับโบมก็เหมือนกัน มันพิสดารมาก
อย่างอาศรมสถานที่เรามาเจอกัน มันเหมือนภาพจำลอง
พื้นที่บนโลกเลย แต่เรารู้ว่ามันต่างกันมาก
จักรวาลมีความลับต้องไขอีกมากมายจริง ๆ"
..............................................................
"ท่านหายไปนานจัง"
"ข้าไปดาวโลกมา"
ทั้งสองเดินกันไปคุยกันไป
"จะให้ข้าเรียกท่านว่านาฟก้าเหรอ"
"ดีนะ สั้นดี แล้วก็ชื่อเดียวใช้ในทุกจักรวาล"
"พวกเขามากันแล้วนะ เรารวบรวมได้ทั้งหมด 18 ดวงดาวทั่วจักรวาล"
"แล้วเรื่องภาษาละ จะคุยกันรู้เรื่องไหม"
"ดาวดวงหนึ่งมีเทคโนโลยีขั้นสูง ถ้าท่านสวมสร้อยนี่
ท่านจะคุยกับทุกภาษารู้เรื่องหมด มันคล้าย ๆ สร้อยแปลภาษาครับ
แต่มันแปลเร็วมาก เข้าโสตประสาทเลย ต่อไปท่านจะคุยกับชาวหนานนูเปียรู้เรื่องแล้ว"
"ดีจัง"
พอเดินจากทางเดินจนไปเจอโถงใหญ่และมีคน 18 คนนั่งเหมือนนั่งอัฒจันทร์ลดหลั่นกันมา
นาฟก้างงมาก
"นี่คือพวกเขาเหรอ"
"ครับ เราเลือกเฉพาะดาวที่มีมนุษย์อยู่ก่อนเป็นอันดับแรก ๆ
นี่คือสภาจักรวาลที่อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกครับ
และทุกคนออกเสียงกันแล้ว และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นประธานสภาแห่งจักรวาลครับ"
วิมานมายา โดย ศักดา ตอนที่ 111
........................................................................................................................................................................................
เมื่อศรีจิตราไปถึงสิงคโปร์แล้ว มหาเศรษฐีเนวินส่งรถมารับที่สนามบินชางงี
แล้วรถก็มาส่งที่คฤหาสน์ของเนวิน
พอศรีจิตราลงจากรถ ก็มีบรรดาคนรับใช้เรียนเชิญให้ขึ้นไปนั่งรอที่ห้องรับแขกสุดหรู
"เรียนเชิญเจ้าหญิงศรีจิตราที่ห้องด้านโน้นเลยค่ะ"
ศรีจิตราเดินตรงไปยังโถงกว้างจนถึงห้องรับแขกสุดอลังการ
เธอนั่งรอเนวินที่ตรงนั้น ไม่นานนัก เนวินก็โผล่มา
"สวัสดีครับเจ้าหญิงศรีจิตรา เชิญตามสบายเลยนะครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
"ต้องการอะไรเพิ่มเติมไหมครับ"
"ไม่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ของว่างอร่อยมากเลยค่ะ"
"เจ้าหญิงศรีจิตราดูเป็นธรรมชาติมากเลยนะครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
"รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวเจ้าหญิงก็จะได้พบกับพี่สาวแล้ว"
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ"
ไม่นานนัก เยาวมาลย์ พี่สาวของศรีจิตราจึงเดินเข้ามาหา
"สวัสดีค่ะ"
ศีจิตราลุกขึ้นยืนแล้วโผกอดด้วยความคิดถึง
"พี่สบายดีไหมจ๊ะ"
"ดีค่ะ ท่านเนวินดูแลดีมาก พี่เป็นแม่บ้านของท่านค่ะ"
"แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ"
"เออ ... หม่อมป้าขายพี่ให้ท่านเนวินค่ะ โชคดีที่ท่านมีเมตตา"
"ขายเหรอคะ"
"ค่ะ ตอนนั้น ถ้าใครเข้าใกล้คุณจักรพันธ์ ต้องมีอันเป็นไปทุกคนค่ะ"
"พี่ปลอดภัยก็ดีแล้วนะคะ พี่อยากกลับกับหนูมั้ย"
"ให้พี่อยู่ที่นี่เถอะค่ะ พี่กลัวหม่อมป้า อีกอย่างพี่ก็มีครอบครัวอยู่ที่นี่แล้ว"
"อ๋อ ค่ะ"
เนวินเดินเข้ามา
"เจ้าหญิงไม่ต้องห่วงนะครับ พี่สาวของเจ้าหญิง ผมดูแลอย่างดีเลยครับ"
"เดี๋ยวพี่ไปทำของว่างให้อีกชุดนะคะ เดี๋ยวมาค่ะ"
แล้วเยาวมาลย์ก็ผละจากไป
"ทรงนั่งเถอะครับ" เนวินเชื้อเชิญ
"ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องมีพิธีรีตองกับฉันก็ได้นะคะ"
เนวินส่ายหัว
"ไม่ได้นะครับ เจ้าหญิงศรีจิตราทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง
คุณงามความดีและความเสียสละ
งานช่วยผู้หญิงและเด็กที่อาคารบัวบานก็คืบหน้าไปมาก
ผมศรัทธาสิ่งที่เจ้าหญิงทำมาก ๆ เลยครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
"สิ่งสำคัญที่สุด ผมอยากทำธุระกิจร่วมกับเครือจักรพันธ์ครับ
นี่คือแผนทั้งหมด ฝากส่งต่อให้คุณธนัชด้วยนะครับ"
"ค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้นะคะ"
"ขอบคุณมากครับ"
........................................................................
คูซอน รันดรและคัวเรา ยืนจับมือกันอยู่กลางโถง
ทั้งหมดตั้งสมาธิ เพื่อสื่อสารกับเทพ
แล้วก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ ฟองอากาศโผล่ออกมา
เป็นฟองอากาศขนาดเล็ก แต่ขยายใหญ่ขึ้นจนเท่าคน
และที่สำคัญ มีเทพอยู่ในนั้น
เป็นเทพผู้ชายหน้าตาดี ราชาแห่งนูทรงกล่าวว่า
"เทพที่เราสื่อสารได้จะอยู่ในโบม โบมคือสิ่งที่คล้ายฟองอากาศ
มีลักษณะใส เทพจะอยู่ในนั้น โบมจะหดลงเล็กเท่ามดก็ได้
จะขยายใหญ่เท่าภูเขาก็ได้ เทพก็จะปรับขนาดตามโบม
และโบมจะช่วยให้เทพสื่อสารกับเราได้
โบมนี่มีอานุภาพมาก เทพแต่ละองค์ จริง ๆ แล้วพระองค์ไม่ได้เรียกตัวเองว่าเทพนะ
พวกเราต่างหากที่เรียกท่านว่าเทพ แล้วชื่อท่านก็ยาวมาก
ท่านได้นามมาตอนจุติ เราเลยขอยืมนามเทพในโลกมาเรียกท่านแทน
มันจะสะดวกกว่า ท่านก็เห็นด้วย เทพท่านนี้นามว่าศิวะ
เชิญท่านสื่อสารกับทุกท่านได้เลย"
ศิวะยิ้มให้ทุกคน
"ยินดีที่เราได้มาเจอกัน ต้องขอบคุณเหล่าผู้มีอภิญญาที่ได้เรียกข้ามา
ข้าเลยได้มารู้จักพวกเจ้า ยินดีอย่างยิ่ง
ในจักรวาลนี้ ยังมีสิ่งที่น่าค้นหาอีกมาก ถ้าท่านมีอภิญญา
ท่านจะพบว่าในจักรวาลยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านจะได้เรียนรู้
ยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านมองไม่เห็น แต่อาจสัมผัสได้
และยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านนึกไม่ถึง"
ศิวะลองบังคับโบมซึ่งเป็นทรงกลมใสให้ทุกคนดู
ตั้งแต่ทำให้โบมหดลงจนเล็กกว่ามด
และขยายตัวจนใหญ่เต็มโถง
หลังจากนั้นทรงให้โบมวิ่งวนทั่วห้องด้วยความเร็วมหาศาล
จนมาหยุดนิ่งที่กลางห้องอีกครั้งในสภาวะปกติ
โดยทำให้โบมมีขนาดเท่ามนุษย์ ศิวะเองก็จะมีขนาดเท่านั้นไปด้วย
"นอกจากโบม ท่านยังพบเทพองค์อื่นที่ไหนได้บ้างครับ" เจ้าชายจักรภพทรงถาม
ศิวะทรงตอบ "เรียกกันง่าย ๆ ว่าอาศรมสถาน ณ ที่แห่งนั้น เทพและเทพี
จะมารวมตัวกันได้ อาศรมสถานจะปรากฏอยู่ได้หลายที่หลายรูปแบบ
จะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ได้ คิดว่าที่จักรวาลอยากให้มีเทพเพราะ
เทพคืออีกสภาวะหนึ่งที่จะช่วยรักษาสมดุลให้กับจักรวาล
จริง ๆ แล้วพวกมารก็มีนะ ฤทธิ์เดชก็เยอะ แต่พวกท่านมองไม่เห็น"
"ทำไมมารถึงดูเหมือนมีฤทธิ์แบบเทพละครับ" เจ้าชายฝางถามด้วยความสงสัย
"อืม เขาเคยเป็นผู้มีอภิญญามาก่อน ก็เลยมีฤทธิ์ ไม่นานคงหมดฤทธิ์ไปเอง"
ศิวะยิ้มให้กับทุกคน "ข้าต้องไปก่อนนะ จนกว่าจะพบกันใหม่"
แล้วฟองอากาศโบมเหมือนจะแตกออก แต่จริง ๆ มันกำลังหายไปสู่อาศรมสถาน
................................................................................................................
ณ อาศรมสถานแห่งหนึ่ง ศิวะเดินเข้าไปและได้พบเทพอีก 2 องค์
"อ้าวท่านไปไหนมาเหรอ"
"ไปหาพวกหนานนูเปียที่ดาวโลก"
"แล้วท่านจะให้เราสองคนใช้ชื่อว่าวิษณุกับโพไซดอนไปก่อนเหรอ"
"ใช้ชื่อนี่แหละ ข้าขโมยนามมาจากชาวโลก อืม ..."
"มีอะไรเหรอท่าน"
"ทั้งชาวหนานนูเปียและชาวโสฬสที่ข้าไปพบมาในวันนี้
ทำไมข้าถึงรู้สึกผูกพันกับบางคนแบบแปลก ๆ
เหมือนเคยเป็นญาติกันมาก่อน"
"ญาติ"
"ใช่ เหมือนญาติ ข้าอาจเคยเกิดที่นั่นมาก่อน
แต่ข้าจำไม่ได้"
"อืม แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป"
"คงต้องปรึกษาผู้มีอภิญญาแห่งหนานนูเปีย
เพราะบางคนระลึกชาติได้"
"อืม จักรวาลมีความลับที่ต้องไขกันอีกแล้ว"
"เรื่องอาศรมสถานกับโบมก็เหมือนกัน มันพิสดารมาก
อย่างอาศรมสถานที่เรามาเจอกัน มันเหมือนภาพจำลอง
พื้นที่บนโลกเลย แต่เรารู้ว่ามันต่างกันมาก
จักรวาลมีความลับต้องไขอีกมากมายจริง ๆ"
..............................................................
"ท่านหายไปนานจัง"
"ข้าไปดาวโลกมา"
ทั้งสองเดินกันไปคุยกันไป
"จะให้ข้าเรียกท่านว่านาฟก้าเหรอ"
"ดีนะ สั้นดี แล้วก็ชื่อเดียวใช้ในทุกจักรวาล"
"พวกเขามากันแล้วนะ เรารวบรวมได้ทั้งหมด 18 ดวงดาวทั่วจักรวาล"
"แล้วเรื่องภาษาละ จะคุยกันรู้เรื่องไหม"
"ดาวดวงหนึ่งมีเทคโนโลยีขั้นสูง ถ้าท่านสวมสร้อยนี่
ท่านจะคุยกับทุกภาษารู้เรื่องหมด มันคล้าย ๆ สร้อยแปลภาษาครับ
แต่มันแปลเร็วมาก เข้าโสตประสาทเลย ต่อไปท่านจะคุยกับชาวหนานนูเปียรู้เรื่องแล้ว"
"ดีจัง"
พอเดินจากทางเดินจนไปเจอโถงใหญ่และมีคน 18 คนนั่งเหมือนนั่งอัฒจันทร์ลดหลั่นกันมา
นาฟก้างงมาก
"นี่คือพวกเขาเหรอ"
"ครับ เราเลือกเฉพาะดาวที่มีมนุษย์อยู่ก่อนเป็นอันดับแรก ๆ
นี่คือสภาจักรวาลที่อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกครับ
และทุกคนออกเสียงกันแล้ว และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นประธานสภาแห่งจักรวาลครับ"