เราควรทำยังไงกับชีวิต?

เรื่องของเรามีอยู่ว่า...
เราเป็นน้องคนเล็กสุดของบ้าน มีพี่ชาย(พ่อแม่เดียวกัน) 1 คน และพี่น้อง(คนละแม่) 5 คน(ขอเรียกว่าพี่ๆ) แม่เจอกับพ่อตอนที่ภรรยาอีกคนเสียไปแล้ว และพ่อก็เป็นอัมพฤกษ์และอายุเยอะมากแล้ว แม่ก็ดูแลพ่อจนถึงวันสุดท้าย ส่วนสมบัติก็แบ่งกันในบรรดาพี่น้องทั้ง 7 คน ตามพินัยกรรมที่เขียนไว้ โดยที่เรากับพี่ชายจะมี 5% ของแต่ละกิจการ ส่วนพี่ๆ 5 คนก็เป็นหัวหลักของแต่ละกิจการ เราเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ลำบาก ช่วงอนุบาลและประถมก็อยู่บ้านกับพ่อแม่ มีความสุขในวัยเด็กมากๆ พี่ชายเล่นอะไรเราก็เดินตามหลังต้อยๆและขอเล่นด้วยตลอด ก็เลยจะแก่นๆหน่อย ส่วนพี่ๆ 5 คนนั้นโตแล้วและเริ่มสร้างครอบครัว

พอช่วงที่พ่อป่วยหนัก ต้องนอนรพ.ที่ต่างจังหวัดซึ่งไกลจากบ้านมากๆ แม่ต้องไปอยู่เฝ้าพ่อตลอด พี่ชายอยู่รร.ประจำอีกจังหวัดนึง ตอนนั้นเราอยู่ป.5 จึงต้องอยู่บ้านพี่ๆ ส่วนมากจะอยู่กับพี่สาวคนเล็ก เขาดูแลเราดีมากๆ และเราช่วยเลี้ยงลูกเขาด้วย ตอนกลางคืนลูกเข้าฉี่แล้วพลิกตัวมาโดนเราเปียกไปด้วย ต้องตื่นกลางดึกทุกคืนเพราะมันชื้น นอนต่อไม่ได้ เราอดทนตลอดไม่เคยบ่นหรือทำตัวเกเรเลย ด้วยความเป็นเด็กบางครั้งก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่ เราได้ไปเยี่ยมพ่อและเจอแม่แค่ตอนปิดเทอม พอม.1 ก็ย้ายไปเรียนรร.ประจำ(คนละจังหวัดกับพี่ชาย)  ตอนนั้นพี่เขาเสนอให้เราไปเรียนที่นั่น เราก็ไม่คิดอะไรก็ไปตามที่เขาอยากให้ไป

เรียนไปได้ 1 เทอม พ่อก็เสียและแม่ก็กลับมาอยู่บ้าน จำได้ว่าตอนที่พอเสีย พี่เขามารับเราและบอกเราว่า หมอให้พ่อกลับบ้านได้แล้ว เราก็ดีใจรีบไปบอกครูและแบ่งขนม(ที่แม่เพิ่งจะส่งพัสดุมา) ให้เพื่อนๆกินและบอกว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะกลับบ้าน กินกันได้เลยนะ ระหว่างทางก็นั่งเงียบๆไปในรถเพราะไม่สนิทกับพี่คนนี้เท่าไหร่ ทุกครั้งที่อาการพ่อดีขึ้นและหมอให้กลับบ้าน จะต้องนอนพักที่รพ.จังหวัดก่อนคืนนึง แล้วค่อยกลับนอนที่บ้านได้ ช่วงหลังๆที่บ้านเราทำห้องไว้เหมือนที่รพ.ห้องนึงเลย อุปกรณ์พร้อมมาก แต่ได้ใช้ไม่กี่ครั้ง ครั้งละไม่กี่วัน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นพ่ออยู่บ้านคือ ตอนเช้าหน้าตาพ่อสดใสกว่าวันอื่นๆ มีแรงลุกขึ้นมานั่งพิงหมอน ดูทีวี ขยับแขนขาตลอด แรงดีมากๆ พอช่วงเย็นเท่านั้นแหละ อยู่ดีๆก็หน้าเขียว เหมือนมีอะไรมาอุดหลอดลม คงจะหายใจไม่ออก หลังจากนั้นก็ส่งเข้ารพ. และอยู่รพ.มาตลอดจนลมหายใจสุดท้าย และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน

วันที่เขามารับเรากลับบ้าน ก็ขับผ่านรพ.นั้นไป เราก็เอ่ะใจแล้ว พอผ่านบ้านก็ยังไม่จอด คิดว่าคงอยู่อีกรพ. ซึ่งยังไม่ถึง เราก็นั่งมองทางต่อไป เขาเลี้ยวไปคนละทางกับที่คิดไว้ ก็เลยถามไปว่า พ่ออยู่ที่ไหนหรอ เขาก็บอกว่า ไม่มีอะไร และเลี้ยวไปจอดที่ๆนึง เราไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่มองไปเห็นพนักงานเดินกันให้วุ่น ตอนนั้นเบลอไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลย ทำตัวไม่ถูก ลงรถแล้วเดินไปหาแม่ ทุกคนอยู่ในงานกันพร้อมหน้า สติเราลอยไปไกลแล้วและแม่พูดประโยคนึงว่า "แม่ทำดีที่สุดแล้ว" จากนั้นก็เหมือนได้สติกลับมา แต่ไม่มีน้ำตา ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ และเป็นการไปงานศพครั้งแรกในชีวิตในสภาพชุดนักเรียน

หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตแบบช่วยเหลือตัวเองมาตลอด มีกลุ่มเพื่อนๆที่อยู่หอพักด้วยกัน สนิทกันมากเหมือนเป็นครอบครัว กลับบ้านบ้างบางอาทิตย์ ส่วนแม่ก็อยู่บ้านและพี่ชายก็ย้ายกลับมาเรียนที่บ้าน เราเริ่มรู้สึกว่าตัวคนเดียวมาตั้งแต่ป.5 และไม่ได้สนิทกับคนในครอบครัวเหมือนเก่า ไม่ค่อยพูดหรือแสดงออก ไม่ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจหรือมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เก็บไว้คนเดียวมาตลอด พยายามไม่คิดและลืมเรื่องต่างๆไป ที่บ้านเราซัพพอร์ตเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว เราใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนจนจบม.6 และก็เข้าเรียนมหาลัย จบแล้วที่บ้านก็ให้ต่อป.โท ตอนช่วงมหาลัยเราเป็นแฟนกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน แต่เลิกกันก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เป็นเพื่อนคนเดียวที่สนิทด้วยตอนมหาลัย ช่วยเหลือเราเรื่องเรียนจนจบป.โท หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป แต่เราก็ยังไปเที่ยวและสนิทเพื่อนกลุ่มมัธยมเหมือนเดิม

ต่อมาที่บ้านเริ่มแบ่งทรัพย์สิน พี่ๆก็แบ่งกิจการกันเพราะลูกเขาเริ่มโตและกลับมาดูแลธุรกิจของพ่อแม่ เรากับพี่ชายที่มี%ส่วนเล็กๆนั้น ก็ต้องรับเงินมาแทนโดยปริยาย เขาแบ่งจ่ายด้วย ไม่ได้จ่ายก้อนใหญ่ก้อนเดียว และบ้านที่เราอยู่ตั้งแต่เด็ก พี่ชายได้ตรงนั้นไป เราก็เลยตัดสินเอาเงินไปซื้อคอนโด เพราะตอนนั้นคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องมีที่อยู่เป็นของตัวเอง เพราะไม่มีอะไรแน่นอน แต่เรามีที่นอนแน่ แฮร่! ส่วนแม่ก็ยังอยู่บ้านนั้นแหละ เรากับพี่ชายก็ให้เงินแม่ทุกเดือน เงินก็มาจากที่ได้จากพ่อ พี่ชายเริ่มทำธุรกิจและสร้างครอบครัว คราวนี้เหลือเราที่เคว้งคว้าง.

ปัญหาของเรา...
เรารู้สึกว่า แม่ พี่ชายและเรา ต่างคนต่างใช้ชีวิต นานๆจะโทรหากันและไม่เคยอยู่ด้วยกันหรือไปไหนพร้อมกันเป็นครอบครัวเลย หลังจากพี่ชายแต่งงาน ก็ย้ายออกไป แม่ก็อยู่บ้านคนเดียว แม่ไม่มีความสามารถอะไร ขับรถไม่เป็น เวลาจะไปตลาดหรือไปไหนก็ไปกับเพื่อนหรือคนที่รู้จักที่พอจ้างวานได้ ส่วนเราก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยทำงานเลย เคยทำครั้งเดียวก็ตอนฝึกงานหลังเรียนจบป.ตรี ตอนนั้นบริษัทก็รับเข้าทำต่อเลย แต่เราคิดว่างานที่ทำตอนนั้นมันหนัก อยากเที่ยวพักผ่อนหลังเรียนจบก่อน เราเริ่มออกเที่ยว อยากไปไหนก็ไปเลย จองตั๋วเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทาง เป็นแบบนี้ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นก็ต่อป.โท(พี่ๆเขาบอกว่าอยากให้เรียน)  ตอนนั้นเราก็เรียนเพราะว่างและไม่รู้จะทำอะไร หลังจบป.โทจนถึงปัจจุบัน อายุ34 ก็ยังไม่เคยหาเงินด้วยตัวเองสักบาทเลย เรียนจบมาก็ประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมาคิดและเครียดมาตลอดว่าจะทำยังไงกับชีวิตตัวเองดี ลองนึกถึงคนที่อยู่คนเดียวในคอนโด ไม่ได้ทำงานอะไร ออกไปซื้อของไม่ก็สั่งเดลิเวอรี่มากิน ทำความสะอาดห้อง ทำแบบนี้วนไปทุกวันมานานหลายปี ที่บ้านก็เป็นห่วงอยากให้มีอะไรทำเป็นของตัวเอง แต่นานๆพูดเรื่องนี้ที แต่ปกติก็ไม่ค่อยคุยกันอยู่แล้ว หลังๆเราเริ่มรู้สึกว่าแม่เปลี่ยนไป มองทุกอย่างในแง่ลบ ไม่รู้ว่าเพราะวัยทองด้วยไหม อาจจะอยู่บ้านคนเดียวแล้วเครียด เราเข้าใจดีเลยแหละ แต่เราก็ยังเอาตัวเองไม่รอด จัดการตัวเองไม่ได้เลย ถ้าให้ไปอยู่กับแม่อีกคงอาการหนักกว่านี้ แต่เราไม่ได้เกลียดหรือรู้สึกไม่ดีกับแม่นะ ความรู้สึกมันเหมือนว่างเปล่าอ่ะ คุยกันก็ถามคำตอบคำ ไม่รู้สึกว่าอยากจะเล่าหรือแชร์เรื่องราวในชีวิตประจำวันกับแม่เลย อาจจะเพราะใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด เลยชินกับการอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว นานๆเจอเพื่อนกลุ่มมัธยม บางคนก็มีครอบครัวแล้ว ก็จะเหลือคนที่โสดวนไปมาหากันบ้าง ทุกวันนี้ใช้เงินที่พ่อให้ไว้ มีเงินก้อนและทรัพย์สินที่น่าจะสามารถเริ่มทำธุรกิจเล็กๆได้ แต่เราไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ตัวเองมีความสามารถอะไร ชอบอะไร เคยลองคิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะพออยากได้ความเห็นหรือคำแนะนำ ก็ไม่มีใครให้ถามหรือช่วยชี้แนะ บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเหงา เหงาจนอาจจะเป็นซึมเศร้า มีอยู่ช่วงนึงไม่สามารถบังคับตัวเองไปทำกิจวัตรประจำวันได้ แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาทำได้แล้ว แต่ก็มีหลุดบ้างบางวัน การที่ไม่ได้ทำงาน มันรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่ามากๆ เราไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว เราควรทำยังไงดี?

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้คงรับรู้เรื่องราวของเราแล้ว อย่างน้อยเราก็ได้แชร์และบอกความรู้สึกของเราให้คนอื่นฟัง หรือจะเรียกว่าระบายก็ได้ เราก็ยังคงต่อสู้ใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน ถ้าใครมีคำแนะนำหรือพูดบอกเตือนสติเราในแต่ละเรื่อง ซึ่งเราอยู่ตรงนี้ตอนนี้ อาจจะคิดหรือมองไม่เห็น เรายินดีรับฟังและจะเอาไปคิดเพื่อพาตัวเองออกไปจากจุดนี้ จุดที่เครียดและทรมานใจมากที่สุดแล้ว ขอบคุณค่ะ

(ร้องให้จนตาบวม นั่งพิมพ์ไป ตาแทบจะติดกับคีย์บอร์ดแล้ว)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่