คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เรื่องนี้มีสองประเด็นครับ ยาวหน่อยนะครับ
ประเด็นแรก เรื่องราวแอบรักที่คั่งค้างในใจ
ขอเปรียบเทียบกับเรื่องราวในชีวิตของผมแล้วกัน
ตอนเด็กๆผมเคยมีความฝันอยากมีเครื่องเล่น PS
ไปหยอดตู้เล่นตามห้าง ภาพสวย เล่นสนุกมากก
ได้หัวเราะ มีความสุข รู้สึกรักมัน
อยากมีมันเล่นไปตลอดจนโต แต่ไม่มีเงินสู่ขอ 😂
ก่อนซื้อเครื่องเล่นมา เห็นที่ไหนก็อยากซื้อมาเล่น
แต่พอได้มีโอกาสซื้อมาจริงๆตอนทำงานแล้ว
กลับรู้สึกไม่ได้อยากเล่นมันมากอีกต่อไปแล้ว
จึงลองสำรวจตัวเองดูแล้วพบว่า
จริงๆที่ผมอยากได้..
คือเสียงหัวเราะ ความสนุก ความสุข "ณ ตอนนั้น"
ความรักของคุณคั่งค้างใจตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว
เหตุการณ์ กุรักเมิง ก่อนจะจากลาวันนั้น
คุณอยากได้ความรักจากเขา"ณ ตอนนั้น"
ช่วงเวลาที่มีความสุขและได้เป็นตัวเองเต็มที่
ชีวิตคุณกับผมต่างกันนิดหน่อยตรงที่
ผมมีโอกาสได้เล่น แต่คุณคงไม่มีโอกาสได้คบ
ที่ร้องไห้ตอนเขาแต่งงาน ไม่ใช่อยากได้เขามา
แต่เป็นเพราะฝันเมื่อสิบกว่าปีก่อนถูกทำให้สลาย
"ความฝันที่ได้เป็นตัวเอง ได้รักใครซักคน
มีชีวิตคู่ที่ดี ที่รักและยอมรับในตัวตนของเรา"
ประเด็นที่สอง คุณไม่ได้เป็นตัวของตัวเองกับสามี
อันนี้ก็ตรงตัวครับ ต้องลองสำรวจตัวเองดูว่า
สาเหตุอะไรที่ทำให้คุณไม่เป็นตัวเองกับสามี
ความบ้าๆบอๆก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เป็นความสดใส
ไม่รู้เพราะกลัวสามีไม่ยอมรับในตัวตนของคุณ
หรือประเด็นวัฒนธรรม ภาพลักษณ์ ฯลฯ
ถ้าเจอสาเหตุก็พูดคุยกัน หาทางปรับตัวและแก้ไข
แก้ไม่ได้ค่อยมาดูอีกทีว่าจะไปต่อกันได้มั้ย
สรุปว่า สองเรื่องนี้มันส่งเสริมกันเป็นวงจรครับ
คุณไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองในคสพ.กับสามี
ด้วยความที่อยากจะมีเสียงหัวเราะจากหัวใจจริงๆ
อยากมีความสุขและได้เป็นตัวเอง
ทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
หมกมุ่นกับความเป็นตัวเองในอดีตที่มีความสุขครับ
ทางแก้ก็คือหาวิธีทำให้กล้าที่จะเป็นตัวเอง
สำรวจให้เจอว่าอะไรที่ทำให้ไม่เป็นตัวเอง
ก็แก้ที่ตรงจุดนั้น เพื่อปัจจุบันของคุณครับ
ขอให้มีความสุขที่ได้เป็นตัวเอง
ได้รักสามีและมีชีวิตคู่ที่ดี
ที่เขารักและยอมรับในตัวตนของคุณนะ 😊
เพลงนี้อาจทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเด็นแรก เรื่องราวแอบรักที่คั่งค้างในใจ
ขอเปรียบเทียบกับเรื่องราวในชีวิตของผมแล้วกัน
ตอนเด็กๆผมเคยมีความฝันอยากมีเครื่องเล่น PS
ไปหยอดตู้เล่นตามห้าง ภาพสวย เล่นสนุกมากก
ได้หัวเราะ มีความสุข รู้สึกรักมัน
อยากมีมันเล่นไปตลอดจนโต แต่ไม่มีเงินสู่ขอ 😂
ก่อนซื้อเครื่องเล่นมา เห็นที่ไหนก็อยากซื้อมาเล่น
แต่พอได้มีโอกาสซื้อมาจริงๆตอนทำงานแล้ว
กลับรู้สึกไม่ได้อยากเล่นมันมากอีกต่อไปแล้ว
จึงลองสำรวจตัวเองดูแล้วพบว่า
จริงๆที่ผมอยากได้..
คือเสียงหัวเราะ ความสนุก ความสุข "ณ ตอนนั้น"
ความรักของคุณคั่งค้างใจตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว
เหตุการณ์ กุรักเมิง ก่อนจะจากลาวันนั้น
คุณอยากได้ความรักจากเขา"ณ ตอนนั้น"
ช่วงเวลาที่มีความสุขและได้เป็นตัวเองเต็มที่
ชีวิตคุณกับผมต่างกันนิดหน่อยตรงที่
ผมมีโอกาสได้เล่น แต่คุณคงไม่มีโอกาสได้คบ
ที่ร้องไห้ตอนเขาแต่งงาน ไม่ใช่อยากได้เขามา
แต่เป็นเพราะฝันเมื่อสิบกว่าปีก่อนถูกทำให้สลาย
"ความฝันที่ได้เป็นตัวเอง ได้รักใครซักคน
มีชีวิตคู่ที่ดี ที่รักและยอมรับในตัวตนของเรา"
ประเด็นที่สอง คุณไม่ได้เป็นตัวของตัวเองกับสามี
อันนี้ก็ตรงตัวครับ ต้องลองสำรวจตัวเองดูว่า
สาเหตุอะไรที่ทำให้คุณไม่เป็นตัวเองกับสามี
ความบ้าๆบอๆก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เป็นความสดใส
ไม่รู้เพราะกลัวสามีไม่ยอมรับในตัวตนของคุณ
หรือประเด็นวัฒนธรรม ภาพลักษณ์ ฯลฯ
ถ้าเจอสาเหตุก็พูดคุยกัน หาทางปรับตัวและแก้ไข
แก้ไม่ได้ค่อยมาดูอีกทีว่าจะไปต่อกันได้มั้ย
สรุปว่า สองเรื่องนี้มันส่งเสริมกันเป็นวงจรครับ
คุณไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองในคสพ.กับสามี
ด้วยความที่อยากจะมีเสียงหัวเราะจากหัวใจจริงๆ
อยากมีความสุขและได้เป็นตัวเอง
ทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต
หมกมุ่นกับความเป็นตัวเองในอดีตที่มีความสุขครับ
ทางแก้ก็คือหาวิธีทำให้กล้าที่จะเป็นตัวเอง
สำรวจให้เจอว่าอะไรที่ทำให้ไม่เป็นตัวเอง
ก็แก้ที่ตรงจุดนั้น เพื่อปัจจุบันของคุณครับ
ขอให้มีความสุขที่ได้เป็นตัวเอง
ได้รักสามีและมีชีวิตคู่ที่ดี
ที่เขารักและยอมรับในตัวตนของคุณนะ 😊
เพลงนี้อาจทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
คนเราจะแอบรักใครคนนึงได้นานแค่ไหน? ขอวิธีปลดล็อคใจหน่อยค่ะ ชีวิตขมๆ
ขอระบายความหลังสักหน่อยนะคะ
เราเคยตั้งกระทู้แอบรักเพื่อนคนนึงมานานมากแล้วเมื่อหลายปีก่อน เราสนิทกันมากมาตั้งแต่สมัยมัธยมเรียนห้องเดียวกันตัวติดกันมาตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัยถึงเรียนคนละที่แต่เราก็ยังคิดถึงและสนิทกันมาก เราไม่สามารถบอกความรู้สึกได้ค่ะเพราะเราสนิทกันเกินไป ไม่อยากเสียคำว่าเพื่อนเพราะเค้ามีค่ากับเรามากจริงๆ เลยเลือกที่จะไม่พูด เพื่อนมหาวิทยาลัยของเขาแซวว่าเราทั้งคู่เหมือนแฟนกันเลย แต่เราทั้งคู่ก็พยายามบอกกับทุกคนว่า เห้ยไม่ใช่ ไม่ดีม้างสนิทเฉยๆ อะไรแบบนี้ เก้ๆกังๆตลอด เลี่ยงมาก แต่ทำไมเรารู้สึกว่าทุกอย่างที่เรามีร่วมกันมามันจริงมาก เหมือนเราคิดเข้าข้างตัวเองยังไงไม่รู้ เราทานไอติมถ้วยเดียวกัน เค้าลูบหัวเรา ตอนเราเล่นเครื่องเล่นปลาหมึกหมุนๆงานวัดข้างมหาวิทยาลัยเค้ากลัวจนร้องกรี๊ดเรากลัวจนหัวเราะเรามองหน้ากันตลอด เราตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ เค้าเป็นคนสอนเราตีกลองชุดครั้งแรก เป็นไม้กันหมาตอนเพื่อนเค้าจะจีบเรา ดีดกีตาร์ให้กำลังใจตอนที่เราอกหัก เราเคยไปหาเค้าที่หอไปขัดห้องน้ำให้ เห็นเค้าไว้ผมยาวเราก็มัดให้แล้วบอกว่า"เมิงมัดผมแบบนี้ก็หล่อดีนะ" เราได้เห็นเค้ามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย เค้าคือพื้นที่ปลอดภัยของเรา เป็นตัวของตัวเองได้โดนที่ไม่เคยอาย และทุกครั้งที่ได้อยู๋ด้วยกันมันเหมือนโลกมีแค่เราสองคน เราจะลืมคนรอบข้างไปหมดเลยค่ะ มันมีความสุขตอนที่มีกันมากจริงๆค่ะ แต่พอมีความคิดว่าเค้าก็น่ารักแบบนี้กับทุกคนนั้นแหล่ะ เราคือเพื่อนกัน ดึงสติตลอด เราคิดค่ะว่าคิดไปเองคนเดียว อย่าเพ้อ พอๆๆๆ พยายามหนีความรู้สึกตัวเองค่ะ
ก่อนจะลากันที่เจอกันครั้งสุดท้าย10กว่าปีก่อนตอนที่เค้ามาส่งหน้าหอพัก เราสารภาพไปว่า "กุรักเมิงนะ" ทางนั้นก็ตอบมา "กุก็รักเมิง" เรากอดกัน แต่ก็ถอยห่าง ไม่กล้าพูดกว่านี้ แล้วบอกว่า เอ้อ โชคดีนะเมิง แล้วแยกย้าย เค้าคงคิดว่าเราพูดไปงั้นๆมั้งคะ
เวลาผ่านไปจากคนที่คุยกันประจำกลายเป็นค่อยๆห่างๆกันไป เค้ามีแฟน เรามีแฟน
เราพยายามยามมูฟออนและรักษาคำว่าเพื่อนไว้ ถอยห่างใช้ชีวิตของเรา เรามีแฟนที่คบมา7ปี แต่สุดท้ายเราก็เลิกกับแฟนเพราะตัวเราเองที่ทนความรู้สึกตัวเองไม่ไหวค่ะ เราพยายามแล้วค่ะ อยากมีรักดีๆ รักษารักไปเรื่อยๆแต่ก็พังค่ะ เราคิดถึงเพื่อนสนิทคนนี้มากๆแต่ทำอะไรไม่ได้ กลืนคำว่ารักลงไปซ้ำๆ บอกเลิกแฟนตอนนั้นและก้าวไปข้างหน้าค่ะ
เราตัดสินใจมาเรียนมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเลยค่ะด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ทุกอย่างไปได้ดี เราได้เรียน ได้ทำงาน ได้แต่งงาน มีชีวิตความรักที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้างตามประสาชีวิตคู่
เชื่อไหมช่วงวันก่อนแต่งงานเราลังเลมาก เราโทรหาเค้าบ่อยมาก อัพเดทนู่นนี่นั่น เพราะหวังอยากให้เค้าพูดอะไรสักหน่อย ห้ามเราหรืออะไรก็ได้แต่ก็ไม่มีค่ะ เราเลยคิดว่าเราคงต้องมูฟออนจริงๆ เพราะความรักที่เรามีให้แฟนเราก็เป็นความรู้สึกที่จริงเหมือนกัน สับสน แต่ด้วยความบ้าอะไรไม่รู้ แบบ แต่งก็แต่งว้ะ
ตอนที่เราแต่งงานใหม่ๆเราโทรหาไปหาเค้าเพราะอยากคุยด้วย เค้าตอบมาว่า "ก็เมิงมีแฟนแล้วจะคุยได้ไง" เราก็เอ่อ.... ก็จริง ควรมีระยะความเหมาะสมเราคงสนิทกันเกินไปเนาะ... แล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาเพื่อนสนิทคนนี้อีกเลย
จนวันที่เค้าเองแต่งงานก็มาถึง จากที่เราคิดว่าเราแข็งแรงมากๆกลับไม่ใช่ จริงๆก็พอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะเจ็บได้ขนาดนี้เป็นครั้งแรกที่เราเจ็บที่สุดในชีวิต เราร้องไห้และซึมไปหลายเดือน ทั้งๆที่เราก็มีคนรักแล้วเหมือนกัน ตอนนั้นเรารู้ใจตัวเองเลยค่ะ ว่าเรารักเค้ามาก รักมาตลอด แต่เราไม่เคยยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วบอกเค้าไป เราได้แต่พยายามเดินไปข้างหน้าโดยที่ทิ้งความรู้สึกในใจของตัวเองไว้ข้างหลัง เราเตือนตัวเองซ้ำๆว่าเราแต่งงานแล้ว สามีเราไม่ผิดอะไร เรารักสามีเรามากไม่ใช่หรอ สภาพจิตใจของเราพังไปเลยค่ะ เพื่อนสนิทเราชวนไปงานแต่งเค้า แต่เราก็เลี่ยงไม่ไป บอกติดภารกิจที่นี่กลับไทยไม่ได้ เราไปไม่ไหวค่ะ เรายินดีกับเค้ามากๆ นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็นที่สุดมาตลอดที่ได้เห็นเค้ามีความสุขกับคนที่เค้ารัก เราใช้เวลาฮีลใจ โฟกัสกับสามีของเรา ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆและคิดว่าทุกอย่างดีแล้ว เค้าอัพเรื่องราวชีวิตในโลกออนไลน์ได้เห็นเค้ามีภรรยาและลูกที่น่ารักเราอมยิ้มและยินดีตามตลอด เราเดินทางมาไกลมากแล้ว เรายินดี และเราแข็งแรงมาก แต่ในขณะเดียวกันการอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันเหงามากค่ะ เราไม่ได้มีเพื่อนสนิทข้างกายเหมือนเมื่อก่อนที่จะไปหาเมื่อไรก็ได้ เรามีแค่สามีกับงานแค่นี้ จนบางทีก็ลืมไปเหมือนกันว่าหัวเราะจริงๆครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
จนเราได้มีโอกาสกลับไทยเจอกันอีกครั้ง
เค้านัดมาเจอกัน แต่เราก็กลัวเจอเค้าสองต่อสอง กลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้ค่ะ เลยพาเพื่อนสนิทอีกคน และชวนเพื่อนคนอื่นๆไปด้วย
เชื่อไหม...ความพยายามที่ทำมาหลายปีทั้งหมดมันพังอีกแล้วภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เราผิดหวังในตัวเองที่สุด ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ การลืมใครสักคนมันยากอะไรนักหนาขนาดนั้น
เรานั่งคุยกันหลายชั่วโมง ตลอดเวลาที่คุยกัน เราเหมือนได้กลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง ได้หัวเราะแบบเป็นบ้าเป็นบอ จนลืมคนข้างๆไปหมด จนเพื่อนสนิทเราอีกคนทักตอนหลังว่าเราทั้งสองคนมองตากันตลอดเลย เหมือนทั้งโลกมีกันอยู่สองคนเหมือนมีอะไรบางอย่าง
เราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเนื้อหาก็อัพเดทชีวิตให้กำลังใจกันในคนวัยนี้เท่านั้น เรากลัวเพื่อนคนอื่นจะรู้ความรู้สึกของเราแม้ว่าตลอดมาเราจะเป็นห่วงเค้าขนาดไหนเราไม่เคยพูดต้องกลืนความรู้สึกลงไปให้หมด คิดมาตลอดว่าเค้ามีคนข้างกายที่ดูแลกันอยู่แล้วไม่ใช่หน้าที่เพื่อนอย่างเรา
ก่อนลากันเพราะเราจะต้องกลับต่างประเทศแล้ว เค้าก็อ้าแขนมาให้เรากอด เราก็เข้าไปกอดแบบเก้ๆกังๆ(ทั้งที่อยากกอดแน่นๆ)กลัวดูไม่เหมาะสม ไม่ลืมค่ะ เราต่างมีครอบครัวแล้ว
แต่พอเรากลับบ้านอยู่คนเดียวแล้วสิ เราอาการหนักเลย มีแต่คำด่าตัวเอง"กุไม่น่าไปเจอเมิงเลย ไม่น่าเลยจริงๆ ไม่น่าเลย"
ร้องไห้อีกแล้ว
ร้องจนเหนื่อย
ภาพอดีตที่เคยมีความสุข ความเศร้า ด้วยกันกลับมาทั้งหมด ทั้งๆที่คิดว่าลืมไปหมดแล้ว มีแต่คำว่าเสียดายที่ทำไมไม่พูดออกไป เราอึดอัดกับตัวเองมากๆค่ะ บางทีนั่งๆก็น้ำตาไหลตอนคิดถึงเค้า
ตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้วจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก อาการเราก็ไม่ดีขึ้นเหมือนต้องมาเรื่มรักษาใจใหม่อีกแล้ว ยังร้องไห้กับเรื่องเดิมๆ
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับตอนที่เราบอกเลิกแฟนที่คบ7ปีเลยค่ะ เรามีความรู้สึกอยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว อยากโฟกัสกับตัวเองไม่ต้องโฟกัสที่คนอื่นแล้ว อยากอยู่คนเดียว อยากหนีไปไกลๆ ไม่ได้อยากจะกลับไปคุยกับเพื่อนสนิทคนนั้นหรืออยากไปแย่งเค้ามาอะไรแบบนี้นะคะเพราะถ้าจะทำคงทำไปนานแล้ว เรามีชีวิตอยู่ไกลกันมากแล้วค่ะ เราแค่รู้สึกว่าเค้าเป็นคนมาจุดประกายความเป็นตัวเองของเราที่เราเองก็ลืมไปนานแล้วเหมือนกันว่าเราเคยเป็นคนที่มีความสุข ร่าเริงขนาดไหน โคตรจะบ้าได้สุดๆ แต่วันนี้เราเป็นภรรยาที่ดีของสามีในแบบที่สามีไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นคนบ้าๆบอๆได้ขนาดไหน สงสารสามีที่ไม่เคยได้เห็นเราตอนที่หัวเราะแบบมีความสุขที่สุด ทำไมเราถึงไม่เคยรู้สึกว่าสามีเราคือพืนที่ปลอดภัยที่เราจะทิ้งตัวไปที่เค้าได้ อยากปล่อยให้สามีได้เจอคนที่ดีเหมาะสมกับเค้ากว่านี้ไม่ใช่คนอย่างเรา แต่อีกใจคืออยากรักษาชีวิตคู่ของตัวเองไว้ ไม่อยากจบแบบเดิมอีก ความรักที่มีให้กับสามีคือเรื่องจริงใช่มั้ย เราผ่านอะไรกันมาตั้งเยอะหนิ เราตกหลุมรักกัน เราพยายามสร้างครอบครัวด้วยกัน เค้าไม่ได้ทำอะไรผิด
เลขอยากขอวิธีปลดล็อคใจโดยที่ไม่ต้องสารภาพความรู้สึก มีวีธีไหนหรือข้อคิดที่พอจะช่วยได้ไหมคะ อยากกลับไปเจอกันอีก10ปีหลังจากนี้แล้วไม่ต้องรู้สึกอะไรอีกแล้วนี่ผ่านมาครึ่งชีวิตแล้วก็ไม่ลืมสักที ไม่อยากมูฟออนเป็นวงกลมแล้วค่ะ หรือเราไม่ต้องไปเจอเค้าตลอดชีวิตเลยจะดีกว่า เรื่องนี้ส่งผลต่อสภาพจิตและชีวิตคู่ของเราด้วยค่ะ หรือต้องพึ่งจิตแพทย์คะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และขอบคุณสำหรับคำแนะนำล่วงหน้านะคะ